ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง – บทที่ 458 ความจริงเพียงบางส่วน

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 458 ความจริงเพียงบางส่วน

บทที่ 458 ความจริงเพียงบางส่วน

“ราชครู พวกเรากลับกันก่อนเถอะ หากมีความคืบหน้าอะไรใหม่ ข้าจะมาแจ้งให้ท่านทราบอีกที ได้โปรดท่าน…”

ก่อนที่สวี่ชีอันจะกล่าวจบก็พบว่าราชครูได้แปลงกายเป็นแสงสีทองหนีหายไปเสียแล้ว การกระทำของเขาหยุดชะงัก “ได้โปรดช่วยส่งพวกเรากลับไปด้วย” อีกครั้งแล้วที่โพล่งมันออกมาไม่ทัน

ถึงยังไงก็ช่วยส่งพวกเรากลับไปด้วยสิ ข้าไม่ได้พกเมียมาด้วยซะหน่อย!

เขาบ่นอุบอิบในใจ ก่อนหันมองไปยังเหิงหย่วนที่อยู่ข้างกาย…อืม โชคดีที่ไม่ได้พกเมียมา

ทั้งสองมุ่งไปยังกำแพงสูงของจวนป๋อ เมื่อไม่มีใครอยู่ในบริเวณโดยรอบ พวกเขาจึงรีบปีนออกไปยังถนนใหญ่แล้วกลืนเข้ากับกระแสมวลชนที่ขวักไขว่ไปมา

เมื่อถึงทางแยก ภายใต้ซุ้มประตูของถนนหย่งอัน นาฬิกาแดดบ่งบอกเวลายามเฉินสี่เค่อ (แปดโมงเช้า)

ในเมืองหลวง ทางแยกของถนนสายหลักทุกสายล้วนมีซุ้มประตูขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ซึ่งที่ด้านข้างมีนาฬิกาแดดตั้งไว้เคียงกันเพื่อให้ฝูงชนใช้ดูเวลา

“อีกครึ่งค่อนชั่วโมงคงถึงบ้าน หวังว่าฮว๋ายชิ่งจะไม่ได้ตั้งตารออยู่นะ” สวี่ชีอันพึมพำในใจ

ในเมืองหลวงไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน การเหาะเหินข้ามชายคาและกำแพงถือเป็นสิ่งต้องห้าม

ซึ่งสวี่ชีอันก็ไม่ต้องการเป็นที่สะดุดตาผู้คนมากเกินไปเช่นกัน สำหรับชื่อเสียงของเขาในตอนนี้คงเป็นการดีกว่าหากจะทำตัวเหมือนเงา มิฉะนั้นอาจดึงดูดผู้คนที่สัญจรไปมาคับคั่งจนสร้างความโกลาหลได้

โชคดีที่เขาไม่ได้สวมเครื่องแบบฆ้องเงิน ฝูงชนจึงไม่สังเกตเห็นเขา โดยส่วนใหญ่แล้วผู้คนจดจำได้เพียงลักษณะที่เด่นชัดบางอย่างเท่านั้น เช่น บุคคลสำคัญที่มีความสามารถโดดเด่นในภพชาติก่อนของสวี่ชีอัน แค่เขาสวมใส่เสื้อผ้าที่แปลกออกไปก็ไม่มีใครจดจำได้แล้ว

นอกจากนี้ประชากรในเมืองหลวงก็มีมากกว่าสองล้านคน เป็นไปไม่ได้ที่ทุกคนจะโชคดีที่ได้เห็นร่างอันองอาจของฆ้องเงินสวี่

ซึ่งหลายคนไม่เคยเห็นร่างที่แท้จริงของฆ้องเงินสวี่ด้วยซ้ำ

ขณะที่เขากำลังเดินอยู่ จู่ๆ สวี่ชีอันก็ชะงัก จากนั้นก็มองไปที่เหิงหย่วนด้วยใบหน้าเรียบนิ่งและพูดว่า “ไต้ซือ ท่านถูกขังอยู่ใต้ดินนานนับเดือน ข้าว่าท่านกลับไปดูแลคนชราและเด็กๆ ที่สถานรับเลี้ยงเด็กเถอะ”

เหิงหย่วนพยักหน้า “พักนี้พวกเขาสบายดีหรือไม่?”

สวี่ชีอันกล่าวอย่างใจเย็น “ถึงแม้ข้าจะไม่ได้ไปดูแล แต่ก็คอยให้คนส่งเงินและของใช้สามัญประจำบ้านอยู่เสมอ”

เหิงหย่วนประนมมือและโค้งคำนับ “ใต้เท้าสวี่ช่างเป็นผู้มีจิตใจดีงามที่สุดเท่าที่อาตมาเคยพบพานมา อาตมาซึ้งใจนักที่ได้รู้จักกับใต้เท้า”

สวี่ชีอันคำนับกลับ มีความสุขยิ่งที่จะได้รับการเลื่อมใสจากไต้ซือผู้มีสถานะเป็นพระอรหันต์ ในภายภาคหน้าผลประโยชน์คงบังเกิดอย่างท่วมท้น

ทั้งฉู่หยวนเจิ่นผู้มีพรสวรรค์โดดเด่น นักบุญผู้กล้าหาญแห่งนิกายสวรรค์ ลี่น่าผู้มีความสามารถไร้ขีดจำกัด ทั้งเหิงหย่วนที่มีสถานะเป็นพระอรหันต์ และองค์หญิงใหญ่ฮว๋ายชิ่งผู้มีสติปัญญาล้ำเลิศที่หาตัวจับได้ยาก

อย่างมากที่สุดสิบปี สมาชิกพรรคฟ้าดินอาจกลายเป็นกำลังสูงสุดในจิ่วโจว

อืม ตอนนี้หมายเลขเจ็ดและหมายเลขแปดยังไม่ปรากฏ หวังว่าจะไม่ทำให้ผิดหวังนะ

สายตาของเขาทอดมองเหิงหย่วนที่คล้อยหลังหายไปในฝูงชนพลุกพล่าน สวี่ชีอันถอนหายใจด้วยความโล่งอก หากเหิงหย่วนตามเขากลับไปที่จวนสกุลสวี่ละก็ ฮว๋ายชิ่งที่เป็นหมายเลขหนึ่งคงปิดฐานะของตัวเองไว้ไม่อยู่

ด้วยนิสัยของฮว๋ายชิ่ง ทุกคนได้จบเห่กันหมดแน่…

ณ จวนสกุลสวี่

ฮว๋ายชิ่งนั่งอยู่ในห้องโถงรอคอยอย่างร้อนรน อาสะใภ้ซึ่งมีศักดิ์เป็นนายหญิงพลันถูกรัศมีและสถานะอันยำเกรงของพระราชธิดาองค์โตกดดันให้อยู่ด้วยกันชั่วขณะหนึ่ง ก่อนขอตัวกลับไปที่ห้องโดยกล่าวอ้างว่ารู้สึกไม่ค่อยสบาย

ทว่าสวี่หลิงเยวี่ยกลับถูกหลี่เมี่ยวเจินเข้าขวางไว้ แม้ว่าคุณหนูใหญ่ของบ้านสกุลสวี่จะมีความรับผิดชอบมากกว่ามารดาของนาง แต่เรื่องต่อไปที่จะพูดถึงเกี่ยวข้องกับความลับสำคัญ ดังนั้นคงไม่ดีหากจะให้นางได้เข้าร่วมฟัง

หลี่เมี่ยวเจินยังคงแคลงใจในคำกล่าวอ้างของฮว๋ายชิ่งที่ว่าคดีนี้มีข้อสงสัยสำคัญยิ่งอยู่ นางเชื่อว่าความสามารถในการสันนิษฐานของอีกฝ่ายย่อมเป็นรองสวี่ชีอัน ผู้เป็นนักสืบคดีหมายเลขสองของพรรคฟ้าดิน

ในที่สุดพวกนางก็เห็นสวี่ชีอันเข้ามาในลานบ้าน เดินผ่านทางเท้าที่ปูด้วยหินสีฟ้าแล้วก้าวเข้าสู่ห้องโถง

สวี่ชีอันในฐานะนายท่านของบ้านเหลือบมองไปที่เก้าอี้สองตัวสองตำแหน่ง เมื่อเห็นว่าฮว๋ายชิ่งและหลี่เมี่ยวเจินแยกกันนั่ง เขาจึงจำใจนั่งในที่นั่งแขกด้านล่างก่อนหันมองไปยังองค์หญิงใหญ่

“องค์หญิงทรงพบเจออะไรหรือ?”

ฮว๋ายชิ่งรวบรวมคำพูดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเปล่งเสียงดังชัด “เจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าผู้นำเต๋านิกายปฐพีคือไตรวิสุทธิเทพ”

ยังต้องให้ยืนยันอีกหหรือไง? สวี่ชีอันตกตะลึงชั่วขณะหนึ่ง หากแต่ไม่รู้จะตอบอย่างไร

ฮว๋ายชิ่งมองไปที่หลี่เมี่ยวเจินอีกครั้งและถามว่า “วรยุทธ์ของลัทธิเต๋าสามารถทำให้ผู้คนทำการแยกจิตเดิมได้หรือไม่ โดยที่ไม่ต้องแปลงกายเป็นคนสามคน”

หลี่เมี่ยวเจินไม่จำเป็นต้องไตร่ตรองกับคำถามประเภทนี้นานนม ก่อนกล่าวว่า

“ไตรวิสุทธิเทพเป็นหนึ่งในวรยุทธ์สูงสุดของขอบเขตจิตเดิม มันสามารถทำให้ผู้คนแยกร่างได้เป็นคนสามคน ซึ่งทุกคนต่างมีจิตสำนึกที่เป็นอิสระ แม้แต่คนคนเดียวก็สามารถรวมสามเป็นหนึ่งได้ หากเป็นเพียงการแยกจิตเดิม ใครก็ตามที่ฝึกฝนเทพเจ้าหยินย่อมสามารถทำได้ แต่จิตเดิมที่ถูกแยกนั้นจะไม่จีรังสมบูรณ์ ไม่สามารถเทียบได้กับไตรวิสุทธิเทพ”

ฮว๋ายชิ่งพอใจกับคำตอบนี้มากพลางหันไปมองสวี่ชีอัน บัดนี้ดวงตาสุกใสกำลังลุกโหมเป็นไฟ

“เจ้าเคยบอกว่านักบวชเต๋าจินเหลียนเป็นเศษเสี้ยววิญญาณ ซึ่งนี่สอดคล้องกับสภาวะของการแยกจิตเดิม ผู้นำเต๋านิกายปฐพีอาจเพียงแยกความคิดดีออกจากความคิดชั่วก็ได้ สิ่งที่เรียกว่าไตรวิสุทธิเทพเป็นเพียงการคาดเดาของเจ้าเท่านั้นและไม่มีหลักฐาน”

สวี่ชีอันขมวดคิ้วมุ่น ยังคงรักษาน้ำเสียงที่เรียบนิ่งเอ่ยวิเคราะห์

“บางทีคนสามคนที่แยกร่างออกมาจากผู้นำเต๋านิกายปฐพีอาจถูกแบ่งแยกแล้ว อืม นี่ต้องใช่แน่ ไม่เช่นนั้นนักบวชเต๋าจินเหลียนคงถูกเฮยเหลียนพบไปนานแล้ว”

หลี่เมี่ยวเจินกล่าว “ไตรวิสุทธิเทพสามารถเป็นอิสระได้ โดยคนสามคนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องไม่ต้องแยกจากกัน”

สวี่ชีอันน้ำท่วมปากครู่หนึ่งพลันนึกถึงบันทึกชีวิตประจำวันของจักรพรรดิองค์ก่อน คำอธิบายของผู้นำเต๋านิกายปฐพีเกี่ยวกับไตรวิสุทธิเทพ

หนึ่งคนกลายเป็นสามร่าง ที่กล่าวมาก็คือกรณีนี้

สามารถเป็นคนสามคนที่เป็นอิสระต่อกันอย่างสมบูรณ์

ฮว๋ายชิ่งกล่าวต่อ “อีกประเด็นหนึ่ง เจ้าเคยบอกว่าในคดีสังหารหมู่ที่ฉู่โจว ไหวอ๋องได้ยาโลหิตและจักรพรรดิได้ยาวิญญาณ แต่ผลของยาวิญญาณนั้นไม่เพียงพอที่จะทำให้เสด็จพ่อทนกับความอัปยศต่อใต้หล้าได้”

“ใช่ นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าเริ่มสอบสวนหยวนจิ่ง” สวี่ชีอันพยักหน้า

“ข้าเคยถามไถ่ไฉ่เวยเพื่อให้ได้รู้ถึงผลของยาวิญญาณ พบว่าการซ่อมแซมเศษซากวิญญาณเป็นผลที่แข็งแกร่งที่สุด ส่วนผลกระทบอื่นๆ ไม่มีอะไรสามารถเปรียบเทียบกับมันได้ อย่างไรก็ตาม หากผู้นำเต๋านิกายปฐพีใช้ไตรวิสุทธิเทพจริงๆ ย่อมเป็นไปไม่ได้อย่างยิ่งที่จิตเดิมจะสมบูรณ์”

“หากให้ข้ากล่าวชัดเจนอีกครั้ง เป็นไปได้หรือไม่ว่ายอดฝีมือแห่งลัทธิเต๋าระดับสองไม่สามารถควบคุมไตรวิสุทธิเทพ?”

สวี่ชีอันตกตะลึงครู่หนึ่งพลางทบทวนข้อสันนิษฐานของเขาโดยเร็วแล้วผนวกกับคำพูดของฮว๋ายชิ่ง

ข้ากำลังเข้าใจผิดแล้ว หลังสงสัยว่าร่างอวตารของผู้นำเต๋านิกายปฐพีอื่นๆ อาจถูกซ่อนอยู่ในชีพจรมังกร เมื่อเชื่อมโยงเข้ากับเบาะแสของยาวิญญาณแล้วเป็นธรรมดาที่จะคิดไปว่าจุดประสงค์ที่ผู้นำเต๋านิกายปฐพีกลั่นยาวิญญาณคือการชดเชยวิญญาณที่ไม่สมบูรณ์…แต่ข้ากลับมองข้ามอิทธิฤทธิ์ของนักบวชขั้นสองไป ผู้นำเต๋านิกายปฐพีที่ใช้ไตรวิสุทธิเทพ จะแยกออกเป็นวิญญาณที่ไม่สมบูรณ์ได้อย่างไร…นักพรตเต๋าจินเหลียนต่างหากที่เป็นเศษซากวิญญาณตัวจริง…

ความคิดยุ่งเหยิงอลหม่านราวแสงไฟของตะเกียงที่เวียนวน สวี่ชีอันกลืนน้ำลาย ก่อนถอนหายใจแล้วพูดว่า

“สิ่งนี้ไม่สมเหตุสมผลก็จริงอยู่ แต่ความสงสัยในผู้นำเต๋านิกายปฐพีของข้ากับพระองค์ต่างก็เป็นเพียงแค่ความสงสัยที่ไร้หลักฐานอันเป็นรูปธรรมอยู่ดี”

ฮว๋ายชิ่งพยักหน้า ดวงตาสุกใสเหลือบหันไปมองที่ฆ้องเงินผู้ซึ่งถูกกล่าวขานว่าเป็นบุคคลในตำนานพร้อมเอ่ย

“ยังมีข้อสงสัยอีกอย่าง อืม ข้าสงสัยว่า…การลักพาตัวประชาชนเริ่มขึ้นในรัชศกเจินเต๋อที่ยี่สิบหก ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่เจ้าค้นพบสินะ”

สวี่ชีอันลังเลครู่หนึ่ง “แม้ว่าในขณะนั้นจักรพรรดิองค์ก่อนจะเป็นผู้ครองราชย์ แต่หยวนจิ่งในฐานะองค์รัชทายาทก็มีอำนาจในพระราชวังเช่นกัน เขาจึงแอบเปิดห้องลับ…”

ฮว๋ายชิ่งส่ายหัวช้าๆ “สิ่งที่ข้าจะพูดก็คือ ในตอนนั้นผิงหย่วนป๋อยังเด็กมาก มากจริงๆ เขาที่กำลังอยู่ในช่วงวัยคึกคะนอง จึงแอบก่อตั้งกลุ่มนายหน้าทำเรื่องละเมิดกฎต่อผู้เป็นบิดา ซึ่งในข้อนี้ย่อมอะลุ่มอล่วยได้อย่างแน่นอน แต่ต่อมาพระราชบิดากลับได้ขึ้นครองราชย์ประกาศตนเป็นจักรพรรดิ ทว่าผิงหย่วนป๋อยังคงเป็นผิงหย่วนป๋อ ไม่ว่าจะเป็นยศถาบรรดาศักดิ์หรือตำแหน่งทางราชการก็ไม่มีอะไรคืบหน้า และไม่ใช่เพราะว่าผิงหย่วนป๋อไม่มีความทะเยอทะยาน เพื่อที่เขาจะได้อำนาจมากขึ้นจึงร่วมมือกับพรรคเหลียงเพื่อลอบสังหารท่านหญิงผิงหยาง ซึ่งเป็นหลักฐานที่ดีที่สุด เจ้าคิดว่านี่มันสมเหตุสมผลหรือไม่? ถ้าเจ้าเป็นผิงหย่วนป๋อเจ้าจะเต็มใจไหม? เจ้าในฐานะองค์รัชทายาทที่ทำเรื่องละเมิดกฎ หลังจากที่เสด็จขึ้นครองราชย์จะยังทนยืนหยัดอยู่ได้นานกว่ายี่สิบปีหรือเปล่า”

ห้องโถงตกอยู่ในความเงียบสงัด

บรรยากาศเงียบงันพลันเริ่มหนักอึ้ง แม้ว่าหลี่เมี่ยวเจินจะฟังด้วยความรู้เพียงผิวเผินทั้งไม่เข้าใจถ่องแท้นัก แต่นางกลับตระหนักได้ทันทีว่าคดีนี้ดูเหมือนจะพลิกผันเสียแล้ว สิ่งที่ฮว๋ายชิ่งพูดนั้นสมเหตุสมผล และสวี่ชีอันก็ไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด

ฮว๋ายชิ่งเริ่มทำลายความเงียบ พลางเอ่ยถาม “เจ้าพบอะไรที่ใต้ดินของชีพจรมังกร?”

สวี่ชีอันจึงเล่าเรื่องการช่วยเหลือเหิงหย่วนให้อีกฝ่ายฟัง

“แสดงว่ามีสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวซุกซ่อนอยู่ใต้ชีพจรมังกร แต่กลับไม่ใช่ผู้นำเต๋านิกายปฐพีอย่างนั้นหรือ?” หลี่เมี่ยวเจินเหลือบมองไปที่ฮว๋ายชิ่ง ก่อนหันเหไปทางสวี่ชีอัน

“แล้วเป็นใครกัน?”

ฮว๋ายชิ่งส่ายหน้า “ไม่ ตอนนี้ยังฟันธงไม่ได้แน่ชัดว่าบุคคลนั้นไม่ใช่ผู้นำเต๋านิกายปฐพี แม้ว่ายาเม็ดวิญญาณจะไม่ได้ถูกมอบให้กับผู้นำเต๋านิกายปฐพี หรือแม้ว่าผิงหย่วนป๋อจะสงสัยที่นี่ พวกเราก็ยังไม่สามารถแน่ใจได้ว่าคนที่อยู่ในชีพจรมังกรนั้นไม่ใช่ผู้นำเต๋านิกายปฐพี”

สวี่ชีอันขบคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วขมวดคิ้วพูดว่า “หากต้องการรู้ให้แน่ชัด ย่อมทำได้โดยง่าย เหิงหย่วนเคยเห็นคนคนนั้นแล้ว ทั้งเมี่ยวเจินกับข้าก็เคยเห็นเฮยเหลียน เพียงวาดภาพออกมาให้เหิงหย่วนช่วยยืนยันก็ได้รู้แล้ว”

ดวงตาของหลี่เมี่ยวเจินและฮว๋ายชิ่งทอประกาย

จากนั้นสวี่ชีอันและหลี่เมี่ยวเจินก็กล่าวขึ้นพร้อมกัน “แต่ข้าวาดรูปไม่เป็น”

ด้วยเหตุนี้ ฮว๋ายชิ่งจึงจำต้องรับหน้าที่นี้ไป

ทั้งสามออกจากห้องโถงด้านในเข้าไปยังห้องพัก สวี่ชีอันค่อยๆ รินน้ำอย่างขะมักเขม้นเพื่อใช้ฝนหมึก ก่อนจะคลี่กระดาษออก แล้ววางแท่นหยกขาวทับกระดาษลงไป

ฮว๋ายชิ่งพับแขนเสื้อด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างจรดพู่กันลงบนกระดาษพลางเงยหน้าขึ้นเหลือบมองหลี่เมี่ยวเจินและสวี่ชีอัน “เขามีลักษณะอย่างไร?”

“เขาเป็นเงือกครึ่งคนครึ่งปลา ร่างกลับซ้ายเป็นขวา กลับบนลงล่าง มีหัวและแก่นกาย…”

สวี่ชีอันอธิบายว่า “หน้าเรียวเล็ก จมูกโด่งมาก…”

จากคำอธิบายของเขาและส่วนเสริมของหลี่เมี่ยวเจิน ฮว๋ายชิ่งวาดภาพสี่ห้าภาพติดต่อกัน จนในที่สุดก็วาดภาพชายชราคนหนึ่งซึ่งมีส่วนคล้ายคลึ่งอยู่ถึงเจ็ดแปดแห่งกับผู้นำเต๋านิกายปฐพี

“ใช้ได้แล้ว”

สวี่ชีอันคว้ากระดาษขึ้นมา ก่อนวาดมือใช้พลังปราณทำให้หมึกแห้งพลางม้วนภาพเสมือนขณะเอ่ยกระซิบ “วาดอีกหนึ่งแผ่นให้ที คนผู้นี้พระองค์น่าจะคุ้นเคยดี”

ฮว๋ายชิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง กางกระดาษออกเพื่อเริ่มวาดรูปบุคคลที่สอง

จากนั้นจึงมองไปยังร่างของสวี่ชีอันที่จากไปอย่างเร่งรีบ หลี่เมี่ยวเจินขมวดคิ้วและถามว่า “คนที่สองที่ท่านวาดคือใครกัน”

ฮว๋ายชิ่งไม่ตอบ ทว่าใบหน้ากลับครึ้มมืดเคร่งขรึม

เมืองตะวันออก ณ สถานรับเลี้ยงเด็ก

เหิงหย่วนกวาดตามองคนสูงวัยและเด็กๆ รวมทั้งเจ้าเด็กห่มขนสุนัขที่น่าสงสารผู้นั้น ก่อนจะกลับไปที่ห้องของตัวเองและเริ่มเก็บสัมภาระ

สัมภาระของเขาไม่มาก มีเพียงจีวรสองผืนและพระไตรปิฎกสองสามเล่มเท่านั้น

พระภิกษุหนึ่งเดียวท่ามกลางผู้คน ประนมมือนมัสการเล็กน้อย

เขาอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้ จักรพรรดิหยวนจิ่งจะกลับมาในไม่ช้าก็เร็ว หากจะหนีก็คงหนีไม่พ้น มีเพียงออกจากที่นี่และตัดขาดการติดต่อกับคนชราและเด็กๆ เท่านั้นที่จะช่วยปกป้องพวกเขาได้มากกว่า

เจ้าหน้าที่ชรายืนอยู่ที่ประตูห้อง ใบหน้าเศร้าสร้อย เนื้อตัวสั่นเทา

“ครั้งนี้ข้าต้องออกจากเมืองหลวงเป็นเวลานาน เลยกะจะวางแผนไปอาศัยอยู่ที่จวนสกุลสวี่ชั่วขณะหนึ่ง ในเมื่อมีแหล่งพักพิงที่ค่อนข้างปลอดภัย ในขณะเดียวกันก็จะได้เสริมพลังป้องกันของจวนสกุลสวี่ให้เข้มแข็งขึ้นด้วย หลังจากคดีสังหารหมู่ที่ฉู่โจว สถานการณ์ของเขาก็ย่ำแย่ลงมาก…ในระยะนี้ ข้าสัญญาว่าจะกลับมาเยี่ยมบ่อยๆ”

เหิงหย่วนพับจีวร เอ่ยเสียงราบเรียบ “ส่วนเรื่องเงินไม่ต้องเป็นกังวล ใต้เท้าสวี่เป็นคนจิตใจดี จะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของสถานรับเลี้ยงเด็ก”

อันที่จริงเขาก็ทำแบบนี้เช่นเดียวกัน

เจ้าหน้าที่ชรายังคงพยักหน้าพลางพูดอย่างปวดร้าว “ไต้ซือ อย่าถึงขั้นไม่กลับมาเลย พวกเราไม่อยากให้ท่านเป็นอะไรอีกแล้ว”

เหิงหย่วนเก็บข้าวของเสร็จก่อนยกมือนมัสการ แล้วเดินผ่านเจ้าหน้าที่ชราออกจากห้องไป

ภายในลานกว้างปรากฏชายชราผมหงอกแปดคน ทั้งที่ถูกเด็กพยุงไว้ทั้งที่ค้ำไม้เท้ามารวมตัวกัน ณ ที่ตรงนั้น

เด็กทั้งสิบสองคนก็มาด้วยเช่นกัน ยกเว้นเด็กที่ลานด้านหลังซึ่งเดินเหินไม่ได้แล้ว…

ใบหน้าสะอาดสะอ้านของเหล่าเด็กๆ เงยขึ้น ดวงตาใสบริสุทธิ์จ้องมองที่เหิงหย่วนอย่างไร้เสียง

“พวกเรามาส่งไต้ซือ”

ชายชราคนหนึ่งกล่าว “ไปเถอะ อย่ากลับมา ท่านช่วยพวกเรามามากเกินพอแล้ว ไม่อาจสร้างความลำบากให้ท่านได้อีกต่อไป”

เหล่าเด็กๆ น้ำตาคลอโดยไม่พูดอะไร

เหิงหย่วนประนมมือนิ่งเงียบ โค้งคำนับลง

เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้งพลันบังเอิญพบสวี่ชีอันที่เข้ามาทางประตูของสถานรับเลี้ยงเด็กด้วยท่าทางเร่งรีบ

“ใต้เท้าสวี่?”

เหิงหย่วนเอ่ยทักทายเขา ทั้งตกใจและประหลาดใจในเวลาเดียวกัน

“ไต้ซือเหิงหย่วน ท่านเคยเห็นคนที่อยู่ใต้ดินใช่หรือไม่!”

เมื่อเห็นเหิงหย่วนพยักหน้า สวี่ชีอันจึงเปิดภาพเสมือนของเฮยเหลียนออก พลางจ้องมองอีกฝ่ายด้วยดวงตาวาวโรจน์ “คือเขาใช่หรือไม่?”

เหิงหย่วนจดจ่ออยู่กับการระบุตัวตนครู่หนึ่ง ก่อนส่ายหัวแล้วเอ่ย “ไม่ใช่เขา!”

ไม่ใช่เขา…จริงสิ เหิงหย่วนเองก็เคยเห็นเฮยเหลียนและเขาก็เข้าร่วมการต่อสู้เมล็ดบัวในเจี้ยนโจวด้วย ถ้าเป็นเฮยเหลียนจริงๆ ตอนอยู่ที่ใต้ดินเขาก็น่าจะชี้ให้เห็นตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ข้าละเลยรายละเอียดนี้ไปเสียได้…อืม เป็นไปได้ว่ารูปลักษณ์ร่างอวตารอาจแตกต่างไปจากนักบวชเต๋าจินเหลียน ท้ายที่สุดแล้วรูปลักษณ์ของจินเหลียนและเฮยเหลียนก็ไม่เหมือนกัน…

สวี่ชีอันสะบัดมือเผาภาพเสมือนของเฮยเหลียนทิ้ง ก่อนจะเปิดภาพที่สองที่วาดโดยฮว๋ายชิ่งขึ้นมา เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเทา “ชะ ใช่เขาหรือเปล่า?”

ใบหน้าของเหิงหย่วนพลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ตอบเสียงหนักแน่น “เจ้ามีภาพเสมือนของเขาได้อย่างไร เป็นคนผู้นี้แหละ”

นี่มัน…รูม่านตาของสวี่ชีอันเบิกกว้างในทันใด จู่ๆ ก็รู้สึกขนลุกซู่ เย็นวาบไปทั้งแผ่นหลัง

จักรพรรดิองค์ก่อน!

ภาพที่ฮว๋ายชิ่งวาดคือจักรพรรดิองค์ก่อนนี่!

คนที่อยู่ใต้ดินในชีพจรมังกรคือจักรพรรดิองค์ก่อนงั้นหรือ!

ขณะนี้ความรู้สึกในใจของสวี่ชีอันยุ่งเหยิงไปหมด ทั้งไร้เหตุผลและเปี่ยมเหตุผล ทั้งตกใจและไม่ตกใจ

หลังจากที่ฮว๋ายชิ่งชี้ให้เห็นถึงข้อสงสัยสองจุด เขาจึงหันเหความสงสัยไปที่จักรพรรดิองค์ก่อน ดังนั้นเขาจึงขอให้ฮว๋ายชิ่งวาดภาพชิ้นที่สอง และแล้วฮว๋ายชิ่งก็วาดภาพเสมือนของจักรพรรดิองค์ก่อนออกมาจริงๆ ซึ่งหมายความว่าฮว๋ายชิ่งเองก็สงสัยในตัวจักรพรรดิองค์ก่อนเช่นกัน

“ที่แท้ในปีนั้นก็ไม่ใช่ทั้งไหวอ๋องและหยวนจิ่งที่ถูกผู้นำเต๋านิกายปฐพีป้ายสี แต่เป็นจักรพรรดิองค์ก่อน…ใช่แล้ว จักรพรรดิองค์ก่อนมักกล่าวถึงไตรวิสุทธิเทพและอายุยืนยาวอยู่หลายครั้ง เขาเป็นคนที่ลุ่มหลงกับการมีอายุขัยที่ยาวนาน”

สวี่ชีอันค่อยๆ เดินไปที่โต๊ะหินก่อนจะนั่งลง รายละเอียดทีละอย่างทยอยผุดขึ้นในใจของเขา

“ไตรวิสุทธิเทพ สามกลายเป็นหนึ่ง สามกลายเป็นสาม หนึ่งกลายเป็นสาม หนึ่งคนสามารถแปลงเป็นคนสามคนได้ จักรพรรดิองค์ก่อนเป็นได้ทั้งตัวเองซ้ำยังเป็นไหวอ๋องหรือแม้แต่หยวนจิ่งได้ด้วย

“ที่จริงแล้วพวกเขาสามคนพ่อลูกคือคนคนเดียวกัน ด้วยเหตุนี้หยวนจิ่งที่ถูกสงสัยจึงทุ่มให้กับไหวอ๋อง โดยมอบดาบสยบดินแดนและหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งต้าฟ่งให้กับเขาเพื่อแสดงความไว้วางใจว่าเขาไม่เกี่ยวข้องกับอุบายของจักรพรรดิ

“ข้านึกออกแล้ว พระมเหสีเคยพูดครั้งหนึ่งว่าครั้งที่หยวนจิ่งพบนางครั้งแรก เขาลุ่มหลงในความงามของนางเป็นอย่างมาก[1]…ไม่แปลกใจเลยที่เขาเต็มใจมอบพระมเหสีให้กับไหวอ๋อง หากแต่ไหวอ๋องเป็นตัวเขาเองล่ะ?

“ด้วยวิธีการแบบนี้ เหตุการณ์ที่หนานย่วนในปีนั้น แม้ว่าไหวอ๋องและหยวนจิ่งจะไม่ตาย แต่ก็มีบางอย่างผิดพลาด พวกเขาถูกควบคุมและป้ายสีโดยผู้นำเต๋านิกายปฐพี หลังจากนั้นพวกเขาก็ถูกหลอมรวมโดยจักรพรรดิองค์ก่อนให้เหลือเพียงคนคนเดียว นี่คงเป็นความลับของพวกเขาทั้งสาม นี่สินะความลับที่ผู้นำเต๋านิกายปฐพีบอกกับจักรพรรดิองค์ก่อน? หลังจากวาทกรรมนั้น พวกเขาก็อาจจะเริ่มวางแผนแล้ว

“คนที่นอนอยู่ใต้ชีพจรมังกรก็คือร่างของจักรพรรดิองค์ก่อน…ท่านโหราจารย์รู้ทุกอย่างแต่เขากลับเพิกเฉย เพราะคนที่ก่อความวุ่นวายไม่ใช่ผู้นำเต๋านิกายปฐพี แต่เป็นจักรพรรดิแห่งต้าฟ่ง ไม่สิ ท่านโหราจารย์อาจมีแผนของเขา เพียงแต่เดาไม่ออกก็เท่านั้น

“ผิงหย่วนป๋อทำเรื่องลักพาตัวประชาชนแต่กลับไม่กล้าที่จะยอมรับ นั่นเป็นเพราะเขาทำตามพระบัญชาของจักรพรรดิองค์ก่อน เขาคิดว่าตัวเองกำลังช่วยเหลือจักรพรรดิองค์ ก่อนไม่ใช่หยวนจิ่ง

“แล้วเหตุใดจักรพรรดิองค์ก่อนถึงต้องการคนเหล่านั้น? คดีสังหารหมู่ที่ฉู่โจวได้ให้คำตอบแก่ข้าแล้ว…เพราะยาโลหิตและยาวิญญาณไงล่ะ!

“จักรพรรดิองค์ก่อนไม่ใช่นักบวชลัทธิเต๋าโดยแท้จริง ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถควบคุมไตรวิสุทธิเทพได้อย่างสมบูรณ์ เขายอมสละตัวเองเพื่ออันตรายที่ซุกซ่อนอยู่ในสิ่งนี้เช่นจิตเดิมที่ไม่สมบูรณ์ เขาจึงต้องการยาวิญญาณเพื่อซ่อมแซมมัน…”

สวี่ชีอันเริ่มหวาดกลัวขึ้นมาบ้างแล้ว

…………………………………………………………

[1] ดูรายละเอียดได้ในบทที่ 164

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Status: Ongoing
ตั้งแต่ข้ามเวลามาเขาตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในสังคมที่ไร้ซึ่งคำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ นี้ แต่ทำไมเขาถึงต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องการเมือง และอำนาจลึกลับที่อยู่เบื้องหลังราชวงศ์ต้าฟ่งแห่งนี้ด้วย!Top 5 นิยายยอดนิยมในเว็บจีนต่อเนื่อง 10 เดือน! นิยายแปลจีน สืบสวน ไขคดี ใช้ความรู้ยุคปัจจุบันผสมกับแอ็คชั่นกำลังภายในสวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท