บทที่ 482 ความโกรธของคนผู้หนึ่ง (1)
เวลาล่วงเลยผ่านไป ประมาณสองเค่อก่อน ณ หน่วยลาดตระเวนยามวิกาล
‘ตึง ตึง ตึง’…สวี่ชีอันในชุดครามก้าวเดินลงมาจากบันไดช้าๆ รายล้อมด้วยเจ้าพนักงานที่มีสีหน้าซับซ้อน
หอเฮ่าชี่นั้นเป็นสถานที่ทำงานของเว่ยเยวียน ในหอมีเจ้าพนักงานและผู้รอบรู้จำนวนมากที่ทำการส่งข้อมูลข่าวสารและวิเคราะห์รายงานอยู่
หยวนสยงกำลังเห่อกับตำแหน่งใหม่และอำนาจเพิ่งจะลามถึงหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเท่านั้น พวกเจ้าพนักงานในหอเฮ่าชี่ยังไม่ได้รับผลกระทบ แต่หากหยวนสยงไม่ตาย คบเพลิงนี้คงจะเผาไหม้มาจนถึงศีรษะของพวกเขาแน่
เพราะพวกเขาล้วนเป็นกลุ่มคนสนิทของเว่ยเยวียน
เพียงแต่ไม่คิดเลยว่าเมื่อวานหยวนสยงเพิ่งจะมารับตำแหน่งของเว่ยกงและได้เป็นเจ้านายแห่งหอเฮ่าชี่ ทว่าวันนี้กลับต้องมาตายด้วยน้ำมือของสวี่ชีอันเสียแล้ว
เหล่าเจ้าพนักงานยืนอยู่เต็มทุกมุมของบันไดแล้วมองเขาอยู่เงียบๆ มองดูชายชุดครามผู้นี้ค่อยๆ เดินลงมาจากชั้นบน
ในแววตาแต่ละคู่มีทั้งความเคารพ ความเจ็บปวด ความซาบซึ้ง และประกายแวววาวของน้ำตา
การเปลี่ยนแปลงราชสำนักในช่วงหลายวันนี้และเรื่องที่เกิดขึ้นในที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเมื่อวาน พวกเขาล้วนเห็นกับตาและรู้ดีแก่ใจ
ภายนอกไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ในใจย่อมมีความเคียดแค้นอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ถือปากกาอยู่ย่อมไม่อาจถือดาบ ส่วนผู้ที่สามารถถือดาบ กลับไม่อาจคว้าจับความกล้าที่หายวับไปได้
เว่ยกงบัญชาการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลมายี่สิบเอ็ดปี ผู้ที่ได้รับความเมตตาจากเขามีมากมาย ตอนนี้พอเขาตาย ต้นไม้ล้มลิงแยกย้าย แต่ละฝ่ายล้วนพากันมองอยู่ข้างๆ ด้วยสายตาเย็นชา
สุดท้ายกลับเป็นชายหนุ่มที่เข้ามาในหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลไม่ถึงปีที่โกรธเกรี้ยวแทนตัวเขา
เจ้าพนักงานทั้งหลายมองเขา ความโศกเศร้าก่อตัวขึ้นในความเงียบงัน
สวี่ชีอันออกจากหอเฮ่าชี่แล้วมาที่หน้าศพของหยวนสยง ชักดาบออกมาแล้วฟันคอของศพ ก่อนถือไว้ในมือ
เจ้าต้องการทำลายชื่อเสียงของเว่ยกง ข้าไม่ยอมหรอก!
เหล่าเจ้าพนักงานพุ่งออกมาจากหอเฮ่าชี่แล้วรวมตัวกันอยู่ด้านนอก
เมื่อสวี่ชีอันหันกายจากไป ด้านหลังก็มีเสียงสะอื้นดังขึ้น “ฆ้องเงินสวี่ ท่านหนีไปเถอะ…”
นั่นก็คือทหารคุ้มกันที่รักษาการณ์อยู่หน้าหอเฮ่าชี่
“ฆ้องเงินสวี่ ไปเถอะ ท่านไปเถอะ”
“ฆ้องเงินสวี่ โยนหัวคนทิ้งไปเสีย แล้วรีบหนีเถอะ”
“ข้าขอร้องท่านล่ะ…”
แต่ละคนเอ่ยโน้มน้าวออกมาราวกับล่วงรู้อะไรบางอย่าง
เสียงดังวุ่นวาย แต่ทุกถ้อยคำล้วนกินใจ
ฝีเท้าของสวี่ชีอันชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินจากไป
เขาเดินออกจากที่ทำการเงียบๆ ตลอดทางพวกหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลต่างจดจ้องมาที่เขา แต่ไม่มีใครพูดอะไร และไม่มีใครกล้าขวางเขาด้วย
สายตาหลายคู่หยุดอยู่ที่แผ่นหลังของเขา จากนั้นก็เหลือบมองไปยังศีรษะที่ถูกถือเอาไว้
ทุกคนพลันหน้าเปลี่ยนสี
ชายชุดครามผู้นี้ออกจากที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลอย่างรวดเร็ว เส้นทางที่เดินไปนั้นมุ่งตรงไปยังพระราชวัง
ท่ามกลางความเงียบงัน ฆ้องเงินคนหนึ่งตะโกนขึ้น “เป็นแบบนี้ไม่ได้”
บุกรุกมาสังหารคน จบเรื่องแล้วก็ไม่ได้หนีไปทันที แต่กลับถือหัวคนออกนอกประตูไปยังเขตพระราชวัง…
จู่ๆ ก็มีคนตะโกนร้องขึ้นมา “เขาจะไปก่อเรื่องที่พระราชวัง!”
“แบบนี้ไม่ได้นะ เว่ยกงไม่อยู่แล้ว ไม่มีใครปกป้องเขาได้เหมือนคราวก่อนแล้ว เขาสังหารหยวนสยง นี่เป็นโทษถึงขั้นยึดบ้านสังหารตระกูลเชียว เขาจะสร้างเรื่องต่อไม่ได้แล้ว ต้องรีบหนีไป”
“ใครจะขวางเขาได้ ขวางเขาไม่อยู่หรอก”
เขาบุ่มบ่ามเกินไป คราวก่อนที่เขาสามารถสังหารกั๋วกงได้เพราะมีเว่ยกงอยู่ เมื่อมีความเห็นชอบจากขุนนางหลายคน ขุนนางบุ๋นบู๊กลุ่มนี้จึงเจอกับแรงกดดันเหนือศีรษะ เขาจึงรอดออกมาได้ครบสมบูรณ์
แต่สถานการณ์คราวนี้ไม่เหมือนกัน ถ้าเขากล้าก่อเรื่องจะต้องเรียกกองทัพและยอดฝีมือมาปราบปรามแน่
ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวกุมดาบตามไปเป็นอันดับแรก
หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่เหลือมองหน้ากัน ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี
“พวกเรามีลูกมีภรรยากันแล้ว จะบุ่มบ่ามไม่ได้”
“ปะ…ไปดูก็พอ แค่ไปดูเท่านั้น”
“เอาเป็นว่าอยู่เฉยๆ ไม่ได้หรอก”
ส่วนพอถึงเวลานั้นแล้วจะทำอย่างไรต่อ พวกเขายังไม่ได้คิด
หลังจากหาเหตุผลให้ตัวเองเรียบร้อยแล้ว ก็มีคนก้าวเท้าพุ่งออกไปจากที่ทำการ
ต่อจากนั้น คนแล้วคนเล่าก็เดินตามไป…จนเดินตามกันออกมาเป็นกลุ่มใหญ่
…
ในช่วงเวลายามเหมา ลมหนาวยามฤดูใบไม้ร่วงพัดมาพร้อมน้ำค้างหนาหนัก ชาวเมืองส่วนใหญ่ต่างก็ยังไม่ตื่น
หน้าร้านขายอาหารเช้าข้างทาง เจ้าของร้านคนหนึ่งถือน้ำเต้าหู้ร้อนๆ เอาไว้ด้วยมือสองข้างแล้วเดินไปหาลูกค้าที่โต๊ะ
ตอนนี้เอง เขาก็มองไปที่ถนนแล้วเบิกตาโต ชามในมือของเขาตกลงบนพื้นและแตกเป็นเสี่ยงๆ น้ำเต้าหู้ร้อนๆ สาดไปทั่วพื้น
เหล่าลูกค้ามองตามสายตาของเขาไป ท่ามกลางแสงแดดยามเช้าตรู่ ชายชุดครามผู้หนึ่งกุมดาบเดินไปข้างหน้า ขณะที่มือซ้ายหิ้วหัวคน
ด้านหลังของเขามีหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลร้อยคนเดินตามไป
เจ้าของร้านค่อยๆ ถอนสายตากลับแล้วมองลูกค้า “นั่นคือฆ้องเงินสวี่ใช่หรือไม่?”
“อ่า เขาก็คือฆ้องเงินสวี่หรือ”
และยังมีคนที่ไม่เคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของฆ้องเงินสวี่ด้วย
“ชะ ใช่แล้ว ไม่ผิด เขานั่นแหละฆ้องเงินสวี่ เขาจะทำอะไรน่ะ”
“มือถือหัวเอาไว้ด้วย ซี๊ด ฆ้องเงินสวี่สังหารขุนนางอีกแล้วหรือ”
“ข้างหลังก็มีหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลตามมาเยอะแยะด้วย…”
พ่อค้าแม่ค้าข้างถนนเข้าเมืองมาแต่เช้า และมีชาวบ้านบางส่วนที่ออกมาดูข้างนอก ต่างก็โชคดีได้เจอกับภาพนี้เข้า
เมื่อพบว่าฆ้องเงินสวี่กำลังเดินไปตามถนนสายหลักและตรงไปยังทิศทางของพระราชวัง ชาวบ้านที่มองดูอยู่ข้างๆ ก็หันมาพูดคุยกันอย่างอดไม่ได้
“หัวคนที่ฆ้องเงินสวี่ถือไว้เป็นของใครกัน”
“ใครจะรู้เล่า จะต้องไม่ใช่คนดีแน่ ไม่อย่างนั้นฆ้องเงินสวี่ก็คงไม่ฆ่าเขาหรอก สถานการณ์ยิ่งใหญ่สะเทือนขวัญเช่นนี้ ข้าจำได้ว่าคาวก่อนเหมือนจะตัดหัวกั๋วกงสองคนที่ไช่ซื่อโข่ว แต่น่าเสียดาย คราวนี้ข้าไม่ได้ไปเห็นกับตา…”
จู่ๆ เสียงก็หยุดลง
ผ่านไปพักหนึ่งก็มีคนตะโกนขึ้นมา “ตามไปเร็ว ตามไปดูกันเถอะ”
ชาวบ้านที่เดิมทีมีเพียงความตื่นตะลึงสงสัยก็พลันรับรู้ได้ถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ จึงรีบเรียกพรรคพวกแล้วเดินตามหลังหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลไป
ระหว่างทางที่เดิน คนที่ผ่านไปมาก็ชี้ไม้ชี้มาเอ่ยถามกันและกัน
“นี่ทำอะไรกันหรือ”
“พวกเจ้าตามหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลกลุ่มนี้ทำไมหรือ”
ชาวเมืองในกลุ่มก็เอ่ยว่า “หัวแถวคือฆ้องเงินสวี่ จำไม่ได้หรือ พวกเจ้าตาไม่ดีกันแล้วนะ”
“อย่าพูดไร้สาระเลย พวกเราก็ไม่รู้เหมือนกัน แค่ตามไปดูก็พอแล้ว อย่าลืมล่ะว่าคราวก่อนฆ้องเงินสวี่ระดมผู้คนมากมายเช่นนี้ไปก็เพราะคดีสังหารล้างเมืองฉู่โจว”
ชาวเมืองที่ไม่เข้าใจต่างตะลึงจนหน้าถอดสี ดังนั้นจึงเข้าร่วมด้วย
…
เขตพระราชฐาน บนกำแพงเมือง
หน่วยองครักษ์ราชวัลลภคุ้มกันประตูทางใต้มองเห็นว่ามีฝูงชนมากมายอยู่ที่ถนนสายหลักอันกว้างขวาง เมื่อมองลงไปก็มีแต่ศีรษะมนุษย์
ผู้ที่เดินนำหน้าคือชายชุดคราม ด้านหลังมีหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลร้อยคน และสุดท้ายจึงเป็นชาวบ้านที่รวมตัวกันกระจัดกระจาย
กลุ่มคนมีเกือบพัน เมืองหลวงเจริญรุ่งเรืองและร่ำรวยเช่นนี้ ประชาชนทั่วไปจึงเกียจคร้านและนอนตื่นสายเล็กน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง อากาศก็เริ่มหนาวขึ้น ในตอนนี้ครอบครัวที่ไม่ถูกชีวิตบีบคั้นให้ลำเค็ญจึงคงยังนอนหลับสนิทอยู่และม้วนตัวอยู่ในผ้าห่มอุ่นๆ
ดังนั้น กลุ่มคนที่รวมตัวกันได้เกือบพันคนเหล่านี้ ในช่วงเวลาแบบนี้จึงเกิดขึ้นได้ยากเป็นพิเศษ
ไม่นานเหล่าหน่วยองครักษ์ราชวัลลภก็ไม่แยแสพวกชาวบ้าน พวกเขามองดูหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลพักหนึ่ง และจดจ้องเขม็งไปที่ชายชุดครามตรงๆ
อดีตฆ้องเงินสวี่ชีอัน ที่เอวแขวนหัวคนเอาไว้
หน่วยองครักษ์ราชวัลลภที่ประตูเมืองทางใต้เอ่ยสั่งเสียงเข้ม “เตรียมปืนใหญ่และคันธนู ฟังคำสั่งข้า…”
เมื่อเผชิญหน้ากับดาวร้ายดวงนี้ ต่อให้ประเมินสูงยังไงก็ยังไม่พอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงนี้สถานการณ์ราชสำนักยังตึงเครียด ราชสำนักต้องการลงโทษเว่ยเยวียน แต่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ สวี่ชีอันก็ดันโผล่มาแบบไม่คิดให้ดี เพราะถ้าคิดดีคงไม่มาแน่
หัวหน้าหน่วยองครักษ์ราชวัลลภยืนอยู่บนกำแพงเมืองและตะโกนขึ้น “เขตพระราชฐานเป็นสถานที่สำคัญ ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องห้ามเข้า”
ขณะที่เอ่ยเขาก็ยกมือขึ้นมา หน่วยองครักษ์ราชวัลลภที่กำแพงเมืองก็ปรับกระบอกปืนเพื่อยิงข่มขู่
บ้างก็ยกหน้าไม้ขึ้นแล้วขึงสาย
รอเพียงแค่คำสั่งจากหัวหน้าเท่านั้น จึงจะเริ่มยิงโจมตี
ชายชุดครามผู้นั้นหยุดเดินแล้วจริงๆ
เมื่อเห็นดังนั้น หัวหน้าหน่วยองครักษ์ราชวัลลภก็ถอนหายใจ พอเว่ยกงตายไป ชายหนุ่มผู้ดื้อรั้นคนนี้ก็ต้องเก็บงำความไร้กฎไร้เกณฑ์ของตนบ้าง
ตอนนี้เองเขาก็เห็นสวี่ชีอันปลดหัวที่แขวนไว้ตรงเอวแล้วชูขึ้นเองพลางตะโกนก้องว่า
“เมื่อยี่สิบเอ็ดปีก่อน เว่ยเยวียนนำกองทัพออกรบไปยังด่านซานไห่และสู้รบกับพวกชนเผ่าปีศาจ ชนเผ่าหนานหมาน และสำนักพ่อมดที่ด่านซานไห่ พร้อมทั้งกลับมาด้วยชัยชนะอันยิ่งใหญ่ ศึกครั้งนี้หากไม่มีเว่ยเยวียน ก็จะไม่มีต้าฟ่ง แต่ทว่าคุณงามความดีอันสูงส่งนี้ องค์จักรพรรดิกลับไม่ยอมรับ จึงถูกบีบให้สละพลังฝึกตน ชิงอำนาจทหาร และขับให้ออกจากท้องพระโรง”
หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่อยู่ด้านหลังมีท่าทางไม่พอใจ ต่างร้องบอกว่านี่เป็นสิ่งที่ไม่ยุติธรรมต่อเว่ยกง
ในหมู่ชาวบ้าน คนหนุ่มสาวไม่มีความรู้สึกใดเป็นพิเศษ ส่วนพวกที่อายุเยอะหน่อยก็รู้ว่าสิ่งที่ฆ้องเงินสวี่พูดนั้นเป็นความจริง
หัวหน้าหน่วยองครักษ์ราชวัลลภหรี่ตา มือยังคงยกขึ้น
“วันนี้หลังจากผ่านมายี่สิบเอ็ดปี เว่ยเยวียนได้นำทัพไปปราบสำนักพ่อมด ด้วยความกลัวว่าจะกลับมาอย่างมีชัยและยากจะสยบได้อีก จึงได้สมรู้ร่วมคิดกับขุนนางชั่ว ทำการตัดเสบียงของทหารกว่าแสนนาย ทั้งยังร่วมมือกับสำนักพ่อมดที่เมืองจิ้งซานเพื่อสังหารเว่ยเยวียนและทำลายกองทัพให้สิ้น จากนั้นก็สมคบคิดกับขุนนางชั่วหยวนสยงทำให้ชื่อเสียงของเขาแปดเปื้อนและทำลายเกียรติของเขา ทั้งยังเหยียบย่ำชัยชนะที่ทหารแสนนายที่ใช้ชีวิตตัวเองเพื่อแลกมา”
น้ำเสียงดังกึกก้อง แต่ละคำล้วนสลักเข้าไปในหูของประชาชนแต่ละคน
จนเกิดความโกลาหลวุ่นวายขึ้นมา
กองทัพที่ออกไปรบเพื่อปราบสำนักพ่อมดล้มตายและสูญเสียอย่างหนัก นี่เป็นหัวข้อที่พูดกันอย่างแพร่หลายในช่วงนี้ แม้แต่พวกพ่อค้าเร่หรือคนรับใช้ ในยามที่มาพักผ่อนดื่มชาด้วยกันก็จะก่นด่าขันทีผู้นั้นที่สร้างความผิดพลาดให้กับอาณาจักร
แต่ในเรื่องเดียวกัน เมื่อออกมาจากปากของฆ้องเงินสวี่กลับกลายเป็นคนละเรื่อง
จักรพรรดิร่วมมือกับขุนนางชั่วเพื่อตัดเสบียงกองทัพทหาร…และร่วมมือกับสำนักพ่อมดสังหารแม่ทัพผู้บัญชาการรบ…บนถนน เมื่อชาวเมืองได้ยินคำพูดนี้ก็เกิดความสับสนโกลาหลขึ้นในหัว
ขอบตาของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลแดงก่ำ ไม่ใช่เพราะความเจ็บปวด แต่เป็นเพราะว่าโกรธเกรี้ยว
หากสิ่งที่สวี่หนิงเยี่ยนพูดมาเป็นความจริง สำหรับพวกเขาแล้ว นี่เป็นเรื่องที่รับไม่ได้อย่างยิ่ง และเป็นความผิดที่ไม่อาจให้อภัย
“ยิงธนู!”
หัวหน้าหน่วยองครักษ์ราชวัลลภออกคำสั่ง
เสียงสายธนูสั่นสะเทือน เสียงปืนใหญ่พุ่งออกจากปล้องดังขึ้นเป็นระลอก
กระสุนปืนใหญ่คำรามก้องและลูกศรหน้าไม้ถูกห่อหุ้มด้วยแสงสีขาว ทั้งหมดล้วนพุ่งตรงมาหาสวี่ชีอันโดยไม่สนว่าประชาชนคนธรรมดาจะอยู่หรือตาย
พวกชาวเมืองร้องเสียงดังลั่นและวิ่งหลบกันจ้าละหวั่นเพื่อหาที่กำบังร่างกาย
‘ตู้ม ตู้ม ตู้ม!’
กระสุนปืนใหญ่และลูกศรระเบิดกลางอากาศ ราวกับเจอกับสิ่งกีดขวางไร้รูปร่าง
“ข้าเสียใจเป็นอย่างยิ่ง และทนไม่ได้ที่รากฐานหกร้อยปีซึ่งบรรพชนสร้างมาจะต้องถูกทำลายด้วยน้ำมือของจักรพรรดิผู้อ่อนแอและขุนนางชั่วช้า…”
สวี่ชีอันยืนนิ่งไม่ขยับ โยนหัวคนไปอย่างแรงก่อนจะโกนก้องราวกับสายฟ้าฟาด “ดังนั้นในวันนี้ ความโกรธของชายผู้หนึ่ง จะทำให้เลือดกระเซ็นเป็นทางยาวห้าก้าว ทุกคนในใต้หล้าจะต้องสวมชุดไว้ทุกข์!”
บนกำแพงเมือง หน้าไม้และปืนใหญ่พลันระเบิดขึ้นเป็นเสียงตอบรับ
เมื่อโยนหัวคนผ่านเขตพระราชฐานไป ชายชุดครามก็ทำลายประตูเมืองแล้วเข้าไปในพระราชวัง
…
“ไอ้…จักรพรรดิ…ชาติหมา…”
ในตำหนักกระดิ่งทอง หลังจากเสียงคำรามอันน่าสยดสยองนี้ดังขึ้น ดาบไท่ผิงก็กรีดร้องแหวกอากาศหมายสังหารชายในชุดคลุมมังกรให้ตายคาเก้าอี้
สายตาของขุนนางทั้งหลายมองตามประกายดาบไป พวกเขาจ้องมองไปยังจักรพรรดิผู้ครอบงำราชสำนักมาเกือบสี่สิบปีผู้นั้น
เห็นเพียงแค่จักรพรรดิหยวนจิ่งโบกมือ จับคมดาบของอาวุธวิเศษนั่นไว้ด้วยร่างกายของมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อ
ดาบไท่ผิงแผ่ปราณดาบออกมา มันส่งเสียงหึ่งๆ และสั่นไหว แต่กลับไม่อาจหลุดออกจากพันธนาการฝ่ามือที่สะอาดราวกับหยกข้างนั้นได้เลย
“เจ้าคิดว่าข้าที่บำเพ็ญเต๋ามายี่สิบเอ็ดปี จะต้านทานของเช่นนี้ไม่ได้จริงๆ หรือ”
จักรพรรดิหยวนจิ่งมองมาที่สวี่ชีอันคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม น้ำเสียงราบเรียบราวกับวิญญาณเทพยดาที่มองลงมาจากที่สูงและครอบงำทุกสิ่ง
ทั้งคู่ห่างกันเพียงท้องพระโรงกั้น สายตาสองคู่ปะทะกัน สวี่ชีอันรู้ดีว่าเจินเต๋อและหยวนจิ่งหลอมรวมเข้าด้วยกันแล้ว
หนึ่งปราณกลายเป็นไตรวิสุทธิเทพ สามคนในหนึ่งเดียว หนึ่งคนมีสามร่าง ทั้งแยกและรวมได้
“เจ้าคิดว่าข้ามาสังหารเจ้าโดยอาศัยแค่ความโกรธของคนผู้หนึ่งเท่านั้นหรือ”
สวี่ชีอันเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบเช่นเดียวกัน น้ำเสียงเน้นย้ำทุกคำ “จักรพรรดิเจินเต๋อ!”
“เจ้ากลับรู้ฐานะของข้าด้วย!”
จักรพรรดิหยวนจิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อยราวกับตกใจนิดหน่อย
‘วิ้ง!’
ดาบไท่ผิงปลดปล่อยปราณดาบสายแล้วสายเล่าออกมา ทำให้โต๊ะที่คลุมด้วยผ้าไหมสีเหลืองแตกขาดออกจากกัน ขั้นบันไดสีทองปรากฏเห็นเป็นรอยดาบ ปราณดาบสายหนึ่งฟันแผ่นทองแดงแปดทิศจนแตก
แผ่นทองแดงแปดทิศกลายเป็นปราณสีใสแสบตา ต่อจากนั้นจักรพรรดิหยวนจิ่งก็หายไปจากตำหนักกระดิ่งทองพร้อมกับดาบไท่ผิง
อาวุธเวทมนตร์ย้ายตำแหน่ง!
ฆ่าจักรพรรดิ มิใช่เพียงฆ่าหยวนจิ่ง แต่ยังหมายถึงเจินเต๋อ
เจินเต๋อคือยอดฝีมือหายนะ สวี่ชีอันนั้นก็อยู่ขั้นสาม การต่อสู้จึงไม่อาจเกิดขึ้นได้ในเมืองหลวง
ไม่อย่างนั้น ชีวิตของชาวเมืองต้องถูกกำจัดราบแน่
สวี่ชีอันกวาดตามองขุนนางในท้องพระโรง สีหน้าของพวกเขาแข็งทื่อ แววตาฉายความสับสน
“จักรพรรดิไร้คุณธรรม ผู้แซ่สวี่จะตัดชีวิตเขาในวันนี้ พวกท่านทั้งหลายโปรดรอผลลัพธ์อย่างสงบอยู่ในท้องพระโรงให้ดี”
พูดจบเขาก็หยิบแผ่นทองแดงแปดทิศออกมาแล้วบีบจนแตก
ปราณใสครอบคลุมตัวเขา จากนั้นก็หายลับไป
…
จัตุรัสประตูอู่เกิดความโกลาหล เสียงแตรและเสียงกลองดังไปทั่วทั้งพระราชวัง ทหารรักษาพระองค์ชั้นในรีบแก่กันไปที่ประตูอู่ทันที
ฮว๋ายชิ่งอาศัยช่วงที่ทหารคุ้มกันอ่อนแอนำทหารรักษาพระองค์ตรงไปยังตำหนักจิ่งหยาง ที่ประทับของจักรพรรดิหยวนจิ่ง
“ล้อมไว้!”
พระราชธิดาองค์โตผู้เย็นชาสูงส่งโบกมือ
ทหารรักษาพระองค์ที่มีพลังฝึกตนชั้นยอดยี่สิบนาย สามารถปราบทหารรักษาพระองค์นอกห้องบรรทมได้อย่างง่ายดาย
ฮว๋ายชิ่งหยิบกองกระดาษที่เขียนด้วยลายมือในอกเสื้อออกมาแล้วก้าวเดินอย่างรวดเร็วจนชายกระโปรงพลิ้วไหว ก่อนเข้าไปในห้องบรรทมของจักรพรรดิหยวนจิ่งเพียงลำพัง
เมื่อข้ามผ่านธรณีประตูสูงมา ฮว๋ายชิ่งก็ตรงไปยังห้องทรงพระอักษร แต่แล้วกลับหยุดอย่างกะทันหันราวกับสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง จึงหันหน้าเดินไปทางห้องบรรทม เห็นค่ายกลสลักเอาไว้บนพื้นพร้อมกับไข่มุกที่ลอยอยู่กลางอากาศ
นางเห็นมังกรทองดิ้นรนด้วยความเจ็บปวด กำลังถูกดูดซับพลังออกไปทีละนิดๆ
‘มังกรทองใต้ดิน…เส้นเลือดมังกร? นี่คือแผนการของเสด็จพ่อหรือ? เขาคิดจะทำอะไร?’
เกิดความสงสัยมากมายขึ้นในใจของฮว๋ายชิ่ง นางกำลังคิดจะเข้าไปใกล้ก็เห็นลูกตาในไข่มูกหมุนจ้องมาที่นางอย่างมาดร้าย
เมื่อถูกจ้องมองด้วยตาข้างนี้ หัวใจของฮว๋ายชิ่งก็สั่นสะท้าน ขณะเดียวกัน สัญชาตญาณของจอมยุทธ์ขั้นหลอมวิญญาณผู้ได้รับการฝึกฝนอย่างดีก็ร้องเตือนอย่างบ้าคลั่ง
ฮว๋ายชิ่งเป็นสตรีที่ฉลาดและเด็ดขาด นางหันกายกลับไปยังห้องทรงพระอักษรโดยไม่ลังเลแล้วเปิดอ่านจดหมายลายมือแต่ละฉบับบนโต๊ะ พร้อมทั้งประทับตราราชลัญจกรลงไป
เนื้อหาในจดหมายลายมือมีอยู่สองประเภท ประเภทแรกคือคำสั่งปิดประตูเมือง ประเภทที่สองคือคำสั่งเคลื่อนพลทหารรักษาวัง
จดหมายลายมือถูกประทับตราด้วยตราประทับสำนักราชเลขาธิการแล้ว แค่ประทับตราราชลัญจกรของจักรพรรดิลงไป ก็จะสามารถปิดประตูทั้งหมดของเมืองหลวงและตรึงกองทัพที่อยู่ในเมืองหลวงไว้ในเมืองได้
ตอนนั้นสมาชิกพรรคฟ้าดินประชุมกันในหนังสือปฐพีและมีความเห็นพ้องต้องกันว่า การสังหารกษัตริย์จะต้องเป็นไปตามข้อกำหนดสองข้อนี้
หนึ่ง การต่อสู้ไม่อาจเกิดขึ้นในเมือง
สอง กองทัพทหารรักษาวังทั้งห้าที่จักรพรรดิหยวนจิ่งเป็นผู้บัญชาการโดยตรงไม่อาจมาแทรกแซงการต่อสู้ได้
ทัพทหารรักษาวังทั้งห้าประกอบด้วยกองทัพควบคุมปืนใหญ่และหน้าไม้บุกเมืองและป้องกันเมือง กองทัพทหารม้าติดอาวุธอย่างดีและมีอานุภาพดุจเปลวไฟ กองทัพบุกทะลวงที่มีทหารม้าหนัก กองทัพร้อยศึกที่มีทหารราบหนัก รวมถึงทัพปรมาจารย์ฮวงจุ้ย
นี่คือกองทัพที่ยอดเยี่ยมที่สุดของต้าฟ่ง ไม่ว่าจะเป็นความสามารถในการรบ อาวุธยุทโธปกรณ์ หรือว่ายอดฝีมือในกองทัพ ล้วนแต่อยู่ในชั้นยอดทั้งสิ้น
หากกองทัพนี้สามารถเคลื่อนพลออกมาได้ อย่าว่าแต่ภายในต้าฟ่งเลย ในทั่วทั้งจิ่วโจว กองทัพที่สามารถต่อกรกับพวกเขาได้ก็มีจำนวนน้อยนิดจนนับด้วยนิ้วได้
การมีอยู่ของพวกเขาก็เพื่อปกป้องเมืองหลวง เป็นการรับประกันว่าเมืองของอาณาจักรแห่งนี้จะไม่ถูกบุกยึด
เมื่อประทับตราเรียบร้อย ฮว๋ายชิ่งก็ออกมาจากตำหนักบรรทมแล้วเรียกทหารรักษาพระองค์มาสั่งว่า
“รีบไปที่ทัพทหารรักษาวัง แล้วนำจดหมายลายมือห้าฉบับนี้มอบให้กับผู้บัญชาการกองทัพ
“ส่วนจดหมายที่เหลือ ให้คนไปส่งในสำนักราชเลขาธิการ และมอบให้สมุหราชเลขาธิการหวาง”
นางออกคำสั่งอย่างมีระเบียบแบบแผน
……………………………………………….