รพบุรุษของตระกูลโม่ทุ่มทรัพยากรจำนวนมากเพื่อหาตัวเงาทมิฬและตระกูลใหญ่ที่อยู่เบื้องหลัง อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ไม่คิดว่าฆาตกรจะเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่มีระดับผู้ฝึกยุทธ์เท่านั้น
ดังนั้นไม่ว่าตระกูลโม่จะสืบหาอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ เพราะว่าพวกเขานั้นจะไม่เจออะไรทั้งสิ้น
ด้วยเหตุที่ว่าเงาทมิฬนั้นได้ตายไปแล้ว พวกเขาจะตามหาตัวเงาทมิฬเจอได้อย่างไร?
อาจกล่าวได้ว่าตราบใดที่เย่เทียนไม่ได้จงใจเปิดเผยดาบดำที่เป็นอาวุธของเงาทมิฬ หรือใช้พรสวรรค์เงาทมิฬอย่างโจ่งแจ้ง ตระกูลโม่ก็ไม่มีทางเชื่อมโยงเหตุการณ์มายังเขา
หลังจากสังหารโม่เฉาเป่ย เย่เทียนก็ทุ่มเทฝึกฝนทักษะหลอมกายาในทุกๆวันเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ในฐานหลินไห่กลับกำลังโกลาหลเนื่องจากการตายของโม่เฉ่าเป่ย
การตายของอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์ระดับกลางทําให้ตระกูลโม่บ้าคลั่ง พวกเขาต่อสู้กับหลายตระกูลและมีการฆ่าเกิดขึ้นอย่างลับลับ แต่ในที่สุดข้อพิพาทก็ต้องหยุดลงเพราะการแทรกแซงของตระกูลหลิน
เวลาผ่านไป ตระกูลโม่ก็ยังไม่ได้ข่าวเงาทมิฬ พวกเขาต่างคิดว่าเงาทมิฬนั้นได้หลบหนีออกจากฐานหลินไห่ไปแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงทําได้เพียงยอมรับความพ่ายแพ้เท่านั้น แต่รางวัลค่าหัวของเงาทมิฬนั้นไม่ได้ลดลงเลย
เมื่อใดก็ตามที่เงาทมิฬโผล่หัวออกมา เขาก็จะต้องเผชิญหน้ากับการแก้แค้นที่บ้าคลั่งของตระกูลโม่
สิบวันต่อมา ฐานหลินไห่ก็สงบลง ในขณะเดียวกันเย่เทียนก็เตรียมจะออกจากฐานหลินไห่เดินทางไปยังพื้นที่ป่าเพื่อล่าสัตว์ร้าย โดยอ้างเหตุผลว่าจะออกไปตามหาฆาตกรเหมือนกับคนอื่นๆ
เลือดสัตว์ร้ายและเลือดสัตว์อสูรเป็นวัตถุดิบที่จำเป็นต่อการบ่มเพาะพลังของเขาให้ก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็วในระยะเวลาอันสั้น ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้เขาจะกลายเป็นนักรบแล้ว หากต้องการที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งอย่างรวดเร็วก็ต้องใช้เลือดของสัตว์อสูรคอยช่วยเหลือ
เย่เทียนต้องออกจากฐานเป็นเวลาหลายวัน เขาจึงจำเป็นต้องหาข้ออ้างบอกกับเย่หยู น้องสาวของเขาให้เรียบร้อย
เย่เทียนได้อธิบายเหตุผลมาอย่างลวกๆ ว่าทางสถาบันได้นํากลุ่มศิษที่โดดเด่นออกไปฝึกฝนอย่างลับๆ และจะไม่ได้กลับบ้านอีกหลายวัน เย่หยูก็ยอมเข้าใจแต่โดยดี
ครั้งนี้เย่เทียนนําดาบสองเล่มติดตัวไปด้วย ดาบเล่มแรกคือดาบดำที่ได้จากหลี่ฉุนเขาจะใช้มันในตอนที่ไม่มีใครเห็น อีกเล่มคือดาบเหล็กบริสุทธิ์ที่เพิ่งซื้อมา และยังมีของใช้ที่จําเป็นบางอย่าง
เมื่อทุกอย่างพร้อมเย่เทียนก็เดินออกจากฐานไป
ประตูเมืองตะวันออก
ทหารคนหนึ่งกําลังลาดตระเวน ทหารเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ มีเพียงหัวหน้าเท่านั้นที่เป็นนักรบ
เนื่องจากนักรบนั้นมีสถานะสูงส่งเกินกว่าจะรับหน้าที่เฝ้าประตูได้ ภายในฐานหลินไห่นั้นมีทหารผู้ฝึกยุทธ์จํานวนมาก เนื่องจากมีสัตว์ร้ายโจมตีฐานทัพอยู่เสมอ จึงจำเป็นต้องมีทหารที่เพียงพอต่อการป้องกันสัตว์ร้ายเหล่านั้น และผู้ที่จะรับมือกับสัตว์ร้ายหรือสัตว์อสูรได้ก็มีเพียงแต่ทหารที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์เท่านั้น
ทหารเป็นหนึ่งในอาชีพที่มีหน้ามีตาที่สุดของฐานหลินไห่ แน่นอนว่าย่อมต้องแลกกับความเสี่ยงที่สูงเช่นกัน ในแต่ละปีมีทหารมากมายที่ตายภายใต้เงื้อมมือของสัตว์ร้าย
เย่เทียนเดินผ่านประตูเมืองออกไป ทหารคนหนึ่งก็มองไปยังเย่เทียนและส่ายหัว
“เป็นอีกคนที่อยากร่ำรวยเพียงชั่วข้ามคืน คิดว่าฆาตกรจะยังรอให้จับกุมอยู่แถวนี้อีกหรือไง? คงไม่เกินหนึ่งวัน เจ้าเด็กนี่ต้องตายแน่นอน! ”
เห็นได้ชัดว่าเขาคิดว่าเย่เทียนเป็นผู้ฝึกยุทธ์ประเภทที่เอาชีวิตไปเสี่ยงเพื่อเงินรางวัล
แน่นอนว่าในความเป็นจริงแม้ไม่เกี่ยวกับค่าหัวของเงาทมิฬ การออกไปล่าในป่านั้นผู้ฝึกยุทธบางคนก็โชคดีได้พบศพของสัตว์ร้ายและนำกลับมาขายในฐานหลินไห่ ทำให้คนเหล่านั้นไม่ต้องทำงานหนักไปอีกหลายปี
แต่ภายใต้ผลกําไรที่มหาศาลเช่นนี้ ย่อมแลกมากับความเสี่ยงที่อันตรายถึงชีวิต
……
ในระยะ 1-2 กิโลเมตรจากฐานหลินไห่นั้นค่อนข้างจะปลอดภัย เพราะถ้ามีสัตว์ร้ายเข้ามาใกล้ฐาน พวกมันจะถูกทหารจัดการอย่างรวดเร็ว เว้นเสียแต่ว่าเมื่อมันโจมตีเป็นฝูง แถวนี้จึงจะไม่ปลอดภัย
หากต้องการล่าสัตว์ร้าย เย่เทียนต้องออกไปไกลกว่านี้
ปลายทางของเย่เทียนคือที่ที่สัตว์อสูรอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก — ภูเขาเขียวขจี
ว่ากันว่าเมื่อร้อยปีก่อน ภูเขาเขียวขจีเป็นเพียงภูเขาลูกเล็กๆ แต่เมื่อโลกนี้ขยายใหญ่ขึ้นหลายร้อยเท่า และภูเขาเขียวขจีก็กลายเป็นภูเขาขนาดใหญ่ ท่ามกลางภูเขามีต้นไม้โบราณสูงตระหง่าน มียังมีสัตว์ร้ายและสัตว์อสูรอาศัยอยู่หนาแน่น ที่นี่จึงกลายเป็นสวรรค์ของสัตว์ร้ายและสัตว์อสูรอย่างแท้จริง
“มีข่าวลือว่าสัตว์อสูรระดับสูงอาศัยอยู่ในส่วนลึกของภูเขาเขียวขจี ฉันสงสัยว่ามันจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่?”
เย่เทียนคิดขณะที่กําลังเดินทาง
สัตว์อสูรระดับสูงเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวที่มีเพียงนักรบที่ยิ่งใหญ่เท่านั้นที่สามารถรับมือกับมันได้ หากพบเจอกับพวกมัน แม้แต่นักรบชั้นยอดก็ยังยากที่จะหลบหนี
เป้าหมายของเย่เทียนไม่ใช่ส่วนลึกของภูเขาเขียวขจี เขาแค่ต้องการล่าสัตว์ร้ายอยู่บริเวณรอบนอก
อย่างไรก็ตามเขาเพิ่งออกจากฐานได้ไม่ถึง 10 นาที สายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นสัตว์อสูรตัวหนึ่ง
“กระทิงเกราะเหล็ก!”
เย่เทียนมองไปยังกระทิงที่มีขนาดใหญ่กว่า 3 เมตร ด้วยสีหน้าจริงจัง
กระทิงเกราะเหล็กไม่ใช่สัตว์อสูรอย่างงูหลามใบไม้เขียวในการทดสอบก่อนหน้านี้ กระทิงเกราะเหล็กมันเป็นสัตว์อสูรระดับต่ําที่แท้จริง ไม่ว่าจะเป็นพละกําลังหรือการป้องกันของมันล้วนเหนือกว่างูหลามใบไม้เขียวมาก แม้แต่นักรบชั้นต้นทั่วไปที่พบเจอกับกระทิงเกราะเหล็กก็ยังไม่สามารถทำอะไรมันได้
โดยปกติมีเพียงกลุ่มนักรบที่รวมตัวกันล่าเท่านั้น ที่จะสามารถจัดการกระทิงเกราะเหล็กได้
เย่เทียนถือดาบเหล็กชั้นดีและเปิดใช้พรสวรรค์ด้านความเร็ว โจมตีไปตรงที่คอของกระทิงเกราะเหล็ก
ปัง!!!
ดาบเหล็กบริสุทธิ์ราวกับปะทะเข้ากับแผ่นเหล็ก ตรงคอของกระทิงเกราะเหล็กปรากฏเพียงรอยสีขาวเท่านั้น ผิวหนังของมันไม่เป็นอะไรเลย
“ดาบเหล็กชั้นดีเล่มนี้คุณภาพต่ําเกินไป พละกำลังของเรานั้นก็มีเพียง 800 จิน ไม่สามารถทําลายการป้องกันของกระทิงเกราะเหล็กได้!” เย่เทียนพึมพำอย่างหมดทาง
จากนั้นเขาก็หยิบดาบสีดำออกมา
ดาบดำเล่มนี้คมกว่าดาบเหล็กชั้นดีมาก อย่างน้อยมันก็สามารถทําลายการป้องกันของกระทิงเกราะเหล็กได้ ในตอนนี้รอบๆไม่มีผู้คน เย่เทียนจึงไม่กลัวที่จะถูกเปิดเผยความลับ
“ตาย!”
เย่เทียนเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วจนเกิดภาพติดตา โจมตีไปยังกระทิงเกราะเหล็กด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ
สัตว์อสูรกระทิงเกราะเหล็กต้องการที่จะเหยียบเย่เทียนจนตาย แต่ความเร็วของมันกลับเป็นข้อบกพร่องอย่างใหญ่หลวง มันไม่สามารถตามความเร็วของเย่เทียนได้ทัน
หลังจากโจมตีออกไปหลายครั้ง ไม่กี่นาทีต่อมาในที่สุดกระทิงเกราะเหล็กก็ล้มลงกระแทกพื้นและแน่นิ่งไป
ต้องรีบเก็บเลือดมันก่อน!
เย่เทียนหยิบขวดน้ำออกมาและเก็บเลือดของกระทิงเกราะเหล็กจนเต็มขวด และทิ้งส่วนที่เหลือไป ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากเก็บมันไปด้วย แต่ขวดของเขามีไม่เพียงพอ
อย่างไรก็ตามเขาก็ยังตัดเนื้อของกระทิงเกราะเหล็กออกมาส่วนหนึ่ง ว่ากันว่าเนื้อของมันมีคุณภาพสูงและรสชาติก็ไม่เลวเลย
หลังจากรวบรวมทุกอย่างเสร็จสิ้น เย่เทียนก็ออกเดินทางต่อ
หนึ่งชั่วโมงต่อมาเขาก็มาถึงบริเวณเนินเขาของภูเขาเขียวขจี
ตลอดเส้นทางเย่เทียนสัมผัสได้ว่าจำนวนสัตว์อสูรเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด มีแม้กระทั่งสัตว์อสูรที่ทำให้เย่เทียนรู้สึกกดดัน
หลายครั้งที่เขาต้องเปิดใช้พรสวรรค์เงาทมิฬหลบซ่อนตัวในเงามืด มิฉะนั้นเขาคงต้องตายด้วยน้ํามือของสัตว์ร้ายไปแล้ว
เย่เทียนค่อยๆตระหนักถึงความอันตรายของพื้นที่ภายนอกฐานทัพหลินไห่ อาจกล่าวได้ว่าหากไม่มีทีมในการออกมาล่า มีโอกาสมากกว่า 50% ที่อาจต้องนำชีวิตมาทิ้ง แม้แต่การจัดทีมล่าก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีอันตรายเสมอไป
แม้นักรบที่มีประสบการณ์บางคนจะจัดตั้งทีมเล็กๆเพื่อออกล่า แต่ก็ยังมีข่าวการหายสาบสูญของพวกเขาอยู่เสมอ
รอบๆฐานหลินไห่ ไม่ได้มีสัตว์อสูรระดับสูงมากนัก แต่ถึงกระนั้นสำหรับคนธรรมดาแล้วมันก็เปรียบได้ดั่งขุมนรกดีๆนี่เอง
เย่เทียนเคยได้ยินพ่อแม่ของเขาพูดถึงมันมาก่อน ฐานหลินไห่นั้นเป็นแค่มุมเล็กๆของโลกใบนี้เท่านั้น มีทรัพยากรน้อยนิดในละแวกนี้ สัตว์อสูรที่แข็งแกร่งก็ยากที่จะพบเจอ ไม่อย่างนั้นฐานหลินไห่คงถูกทําลายไปแล้ว
เมื่อมาถึงภูเขาเขียวขจีเย่เทียนไม่ได้รีบร้อนที่จะออกล่าทันที
ตอนนี้เขาพึ่งได้รับเลือดสัตว์อสูรระดับต่ํามา เขาจึงเตรียมจะฝึกฝนอีกสองสามวันก่อนจะเริ่มออกล่า
ดังนั้นเขาจึงเริ่มค้นหาพื้นที่ปลอดภัยเพื่อซ่อนตัวและใช้เป็นที่พักชั่วคราว