ในถุงเก็บสมบัติทั้งสองใบมีสิ่งของมากมาย เช่นสมุนไพรล้ำค่าที่อายุมากกว่า 100 ปีแต่ละอย่างล้วนมีมูลค่าสูง
อย่างไรก็ตามจางไคและอีก 5 คน มายังเขตแดนลับไม่ได้พกพาสิ่งของมามากมายสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดของพวกเขามีแค่หญ้าวิญญาณเพลิงเท่านั้น
นอกจากนี้แค่ได้รับถุงเก็บสมบัติสองใบก็นับว่าคุ้มค่าแล้วเช่นกัน ราคาของถุงเก็บสมบัติใบเดียวนั้นไม่ได้เลยมันไม่สามารถซื้อได้หากไม่มีช่องทางซื้อขายถึงแม้จะมีมูลค่าของมันก็สูง ถึง 2 พันล้านหยวน
เย่เทียนได้รับสมบัติมากมายและถุงเก็บสมบัติสองใบเพื่อแลกกับหญ้าวิญญาณเพลิงที่ไร้ประโยชน์กับเขา!
หลังจากนั้นเย่เทียนก็เริ่มจัดเรียงสมบัติของถุงเก็บสมบัติทั้งสองใบของที่มีมูลค่าสูงเขาแอบส่งมันเข้าไปในมิติส่วนตัว ส่วนสิ่งของอื่นๆเขาใส่มันลงในถุงเก็บสมบัติถุงเก็บสมบัติ 1 ใบเขาใส่ ไว้ในกระเป๋าเป้และอีกใบเก็บไว้ด้านนอก
เย่วหลิงหยิบหญ้าวิญญาณเพลิงอย่างทะนุถนอม เพราะกลัวว่ามันจะสูญเสียประสิทธิภาพไฟ ท่าทางแบบนี้ทําให้เย่เทียนรู้สึกว่าเย่วหลังให้ความสําคัญกับเรื่องนี้มากเกินไป ราวกับว่าเธอไม่ เคยเห็นโลกภายนอกมาก่อน
หลังจากที่ทั้งสองได้จัดแจงติดต่างๆเสร็จสิ้น พวกเขาก็มุ่งหน้าต่อไประหว่างทาง
ในที่สุดเย่วหลิงก็อดพูดออกมาไม่ได้ “เย่เทียน ฉันไม่อยากจะค้นหาสมบัติอีกแล้วหญ้าวิญญาณเพลิงมันสําคัญกับตระกูลเย่วมาก ฉันอยากออกจากที่นี่ก่อนถึงกําหนดเขตแดนลับนั้นอันตรายเกินไปบางทีฉันอาจจะตกอยู่ในอันตรายลําพังฉันคนเดียวแม้จะตายก็ไม่เป็นไรแต่หญ้าวิญญาณเพลิ้งนี้ฉันไม่สามารถสูญเสียมันไปได้!”
เย่เทียนมองเย่วหลิงอย่างลึกซึ้ง เขารู้ว่าเย่วหลิงคิดอะไรอยู่
นี่เป็นวิธีที่ปลอดภัย ถ้าออกไปก่อนก็จะไม่เกิดอุบัติเหตุ ส่วนสมบัติอื่นๆเย่วหลิงล้วนไม่สนใจ”ตกลงผมจะส่งคุณไปที่นั่น!แต่ผมจะยังไม่ออกไปข้างนอก!ผมจะออกไปก็ต่อเมื่อถึงเวลาที่กําหนด!”
เย่เทียนกล่าว
“ตกลง ด้วยความแข็งแกร่งของคุณ ตราบใดที่คุณไม่ไปยั่วยุสัตว์อสูรที่ร้ายกาจหรือหยุนเฟิงในเขตแดนลับคุณย่อมจะไม่ตกอยู่ในอันตราย!” เย่วหลังกล่าวอย่างเข้าใจ
ถึงอย่างไรเธอก็ไม่ยอมให้เย่เทียนสละเวลาที่เหลือออกไปพร้อมเธอ นั่นมันไม่มีประโยชน์อะไร
และการที่เย่เทียนยังคงอยู่ในเขตแดนลับเขาจะได้รับประโยชน์มากขึ้น หลังจากตกลงกันได้แล้วเย่เทียนก็พาเย่วหลิงไปยังรอยแยกมิติ
แต่สิ่งที่เย่วหลังไม่รู้ก็คือ ตอนนี้เย่เทียนมีความสุขอย่างมาก
เขาต้องการที่จะเคลื่อนไหวตามลําพังมานานแล้ว แต่เนื่องจากข้อตกลงของเขากับเย่วหลิงเขาจึงไม่สามารถกล่าวอะไรได้
ตอนนี้เย่วหลิงเป็นฝ่ายเสนอที่จะออกจากเขตแดนลับก่อน ตอนนี้เขาสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ
ด้วยพลังฝีมือของเขา ความเร็วในการเก็บเกี่ยวทรัพยากรจะต้องรวดเร็วมากอย่างแน่นอน
บางที่การเก็บเกี่ยวครั้งนี้อาจจะเพียงพอสนับสนุนการฝึกฝนของเขากับน้องสาวได้อีกหลายปี
สองวันต่อมา
ในที่สุดเย่เทียนก็พาเย่วหลิงมาถึงรอยแยกมิติ
แม้ว่าระหว่างทางจะพบเจอกับอันตรายอยู่หลายครั้ง และหนึ่งในนั้นก็เป็นฝูงสัตว์อสูรที่น่ากลัวสัตว์อสูรทุกตัวล้วนแข็งแกร่งมากพลังโจมตีของพวกมันแต่ละตัวก็แข็งแกร่งกว่าเย่วหลิง
เย่เทียนมีความสามารถพอที่จะหนีไปอย่างง่ายดาย แต่เย่วหลิงไม่สามารถทําเช่นนั้นได้
เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากรับปากเย่วหลิงว่าจะพาเธอหนีออกไปอย่างปลอดภัยให้ได้
หลังจากผ่านวิกฤติครั้งแล้วครั้งเล่าเย่วหลิงก็รู้สึกประหม่าเธออยู่ในอาการตึงเครียด
แต่เมื่อเธอมองเห็นรอยแยกของมิติเหนือศีรษะ เธอก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย
“ไม่มีใครอยู่แถวนี้!”
เย่เทียนตรวจสอบรอบๆ
ตอนนี้ยังเหลือเวลาอีกแค่เดือนเดียว คนอื่นๆ ยังคงมองหาสมบัติและโชควาสนาอยู่ดังนั้นพวกเขาจึงยังไม่จากไปก่อนกําหนดเหมือนกับเย่วหลิง
หลังจากพักผ่อนครึ่งชั่วโมง เย่วหลิงก็ฟื้นตัว และกล่าวคําอาลาเย่เทียน
“เย่เทียน ระวังตัวด้วย ฉันจะออกไปก่อน”
“ตกลง!”
เย่เทียนโบกมือ
เย่วหลังกระโดดเบาๆ และเข้าไปในรอยแยกของมิติที่อยู่กลางอากาศร่างของเธอหายไปในพริบตา
ก่อนที่เย่เทียนจะมีพรสวรรค์ด้านมิติ เย่เทียนไม่สามารถสัมผัสถึงการโคจรของพลังแห่งมิติได้แต่ตอนนี้เขากลับมองเห็นมันได้อย่างชัดเจน
เมื่อเย่วหลิงเข้าไปในรอยแยกมิติ พลังมิติก็ห่อหุ้มตัวเย่วหลิงและส่งเธอออกไป
เขายังไม่สามารถทําเช่นนี้ได้!
แต่เขาเชื่อมั่นว่าตราบใดที่พรสวรรค์ด้านมิติของเขาพัฒนาขึ้น ในอนาคตเขาจะสามารถทําเช่นนั้นได้อย่างง่ายดาย
โลกภายนอก
เย่วหลิงออกมาจากรอยแยกมิติ แต่พลังของเขตแดนลับไม่สามารถส่งผลกระทบต่อโลกภายนอกได้ดังนั้นเย่วหลิงจึงไม่ได้ถูกโยนออกไปแบบสุ่มเหมือนตอนเข้าไปแต่ออกมาตรงจุดเดิมแทน
ทันใดนั้น เหล่าปรมาจารย์จากตระกูลใหญ่ต่างก็มองไปยังเย่วหลิง
พรึบ!
“เย่วเฟิง” รีบเข้าไปปกป้องเย่วหลิงทันที
“เย่วหลิง ทําไมเจ้าถึงออกมาก่อนล่ะ?”
เย่วเฟิงขมวดคิ้วและถาม
“ท่านผู้อาวุโส ข้าได้พบกับสัตว์อสูรที่น่ากลัวและบังเอิญข้าวิ่งตรงมายังรอยแยกมิติเพื่อเอาชีวิตรอด!สัตว์อสูรตัวนั้นมีขนาดใหญ่มาก ข้าไม่สามารถอยู่ต่อได้อีก”เย่วหลิงกล่าวอย่างจนปัญญานางโกหกปรมาจารย์จากตระกูลอื่นๆด้วยใบหน้าที่มืดมนไร้หนทาง
ทันใดนั้น ปรมาจารย์แต่ละคนก็แอบดีใจกับความโชคร้ายของตระกูลเย่วพวกเขาเยาะเย้ยกับความไร้ความสามารถของตระกูลเย่ว
“กลับไปที่เรือเหาะเหินวายุก่อนแล้วค่อยว่ากัน!”
เย่วเฟิง” พาเย่ว์หลังไปยังเรือเหาะเห็นวายุ มันคือเรือเหาะของตระกูลเย่ว
หลังจากที่เย่วหลิงและคนอื่นๆได้เข้าสู่เขตแดนลับแล้ว คนจากตระกูลใหญ่ก็ไม่ได้จากไปพวกเขากลัวว่าจะมีคนในตระกูลออกมาก่อนกําหนดและไม่มีใครปกป้องพวกเขา
ถึงอย่างไรที่นี่ก็อยู่ในป่าที่ห่างไกล มีสัตว์อสูรมาโจมตีที่นอยู่บ่อยครั้งพวกเขาต้องปกป้องทางเข้าของรอยแยกมิติไว้
ในเวลานี้เรือเหาะเหินวายุไม่ได้อยู่บนท้องฟ้า แต่อยู่บนพื้นดิน ดังนั้นจริงไม่จําเป็นต้องสูญเสียพลังงาน
เมื่อเข้าไปในเรือเหาะเหินวายุ
เย่วเฟิงก็เปิดขายอาคมกันเสียงภายในเรือเหาะ
“เย่วหลิง ไม่มีใครอยู่ที่นี่แล้ว ทําไมเจ้าถึงโกหกข้า ข้าสามารถสัมผัสได้ว่าเลือดของเจ้าไหลเวียนอย่างรวดเร็วแสดงว่าเจ้ากําลังตื่นเต้นมาก”
เย่วเฟิง กล่าว
“ผู้อาวุโส รบกวนท่านเชิญท่านบรรพบุรุษมาที่นี่!”
เย่วหลิงพูดสิ่งที่ทําให้เย่วเฟิงต้อง ตกใจ
“เชิญท่านบรรพบุรุษ? เจ้าไม่รู้หรอกว่าท่านบรรพบุรุษมีฐานะเป็นอย่างไร?ทําไมต้องเชิญท่านมายังที่นี่?เจ้าพบอะไรกันแน่?”
เย่วเฟิงกล่าวด้วยความตกใจ
“หญ้าวิญญาณเพลิง!
”
เย่วหลิงพูดขึ้นมาตรงๆ
เธอไม่กลัวว่าเย่วเฟิงจะโลภ เพราะเธอรู้ว่าอุปนิสัยของเย่วเฟิงเป็นอย่างไรเขาเป็นผู้ที่ภักดีต่อตระกูลมากที่สุด นอกจากนี้บรรพบุรุษยังเป็นปู่ของเธอดังนั้นเย่วเฟิงจึงไม่อาจปิดบังท่านปู่ได้
“เป็นหญ้าวิญญาณเพลิงจริงๆหรือ? มันระดับไหน?”
เย่วเฟิงก็ตื่นเต้นเช่นกัน
“ระดับสาม!”
เย่วหลังกล่าวตามความจริง
“ระดับสามหายากมาก มันจะช่วยให้จอมยุทธ์ระดับราชาได้รับพรสวรรค์ที่เกี่ยวข้องกับไฟระดับเริ่มต้นหรือระดับรองท่านบรรพบุรุษไม่มีพรสวรรค์พิเศษถ้าเขาได้กลั่นหญ้าวิญญาณอัคคีนี้ ความแข็งแกร่งของเขาจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างมากและสถานะของตระกูลเย่วเราก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย”
เย่วเฟิงไม่พูดพร่ำทําเพลงอีก เขาใช้อุปกรณ์สื่อสารเพื่อแจ้งให้บรรพบุรุษตระกูลเย่วทราบ
ไม่ถึง 3 วินาที
ฟูม!!!!
กลิ่นอายระดับราชาก็แผ่กระจายออกมาจากที่ไกลๆ ทําให้ทุกตระกูลต้องตกใจ”มีราชาปรากฏตัวอีกแล้วหรือ?”
ปรมาจารย์หลายคนประหลาดใจ
“พี่เย่ว ทําไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่?”
ราชาหยุนเหอปรากฏตัวขึ้นและยืนอยู่กลางอากาศ และมองไปที่จอมยุทธ์วัยกลางคนที่บินมาจากที่ไกล ๆ เขามาถึงด้านหน้าของทุกคนอย่างรวดเร็วคนผู้นี้คือคือบรรพบุรุษของตระกูลเย่วเขาคือเย่วหมิงผู้ที่อยู่ในระดับราชา
“ราชาหยุนเหอ ข้ามีธุระที่นี้และไม่ได้คิดจะแหกกฏ!”
เมื่อเย่วหมิงพูดจบ เขาก็พุ่งตัวเข้าไปในเรือเห็นวายุของตระกูลเย่ว
ณ จุดนี้เอง
ทุกคนคาดเดาได้ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น
มันต้องเกี่ยวข้องกับเย่วหลิงอย่างแน่นอน!
“หรือว่าเย่วหลิงจะนําสมบัติที่ทําให้แม้แต่ระดับราชายังต้องหวั่นไหวออกมา?”
ปรมาจารย์หลายคนคาดเดาเช่นนี้ทันที