ตอนที่ 151 ดรอปของแบบจัดเต็ม
อ๋าวป้ายที่อยู่ในสถานะราชครูเลเวลสี่สิบห้า เห็นได้ชัดว่าร่ำรวยกว่าตอนอยู่ในสถานะนักโทษเลเวลสามสิบห้ามาก พอใช้เท้าเตะลงไปบนศพ ของที่ดรอปออกมาไม่ว่าจะเป็นจำนวน หรือคุณภาพก็ไม่เลวเลย
[สือซานไท่เป่า (ระดับกลาง): เคล็ดวิชาปกป้องร่างกายที่ฝึกภายนอก ฝึกจนร่างกายแข็งแกร่งดุจเหล็ก แต่เมื่อฝึกวิชาแข็งกร้าวนี้จนถึงระดับสุดยอดแล้ว กลับต้องสละการโจมตีและความเร็วบางส่วนอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก]
เงื่อนไขการฝึก:
พละกำลัง: 50
รากกระดูก: 100
[ปืนไฟยุโรป (ทองคำ): อาวุธประเภทโจมตีระยะไกลแบบต่อเนื่อง]
ความจุกระสุน: 7
ความเร็วเติมกระสุน: 3 วินาที
ระยะยิงที่มีผล 50 เมตร
โจมตี +280
มองข้ามการป้องกัน 30%
[จี้ประกาศิตมังกรหยก (ทองคำ): จี้หยกงดงามที่ทำจากอำพัน แค่เห็นก็รู้ว่าเป็นของที่มีมูลค่าไม่น้อย]
ป้องกัน +30
กำลังภายในสูงสุด +1000
[เกราะอ่อนลวดทองแดง (ทองคำ): เกราะภายในแนบลำตัวที่ถักทอจากลวดทองแดง]
ป้องกัน +200
พลังชีวิตสูงสุด +300
กำลังภายในสูงสุด +200
[รองเท้าราชสำนัก (สีฟ้า): รองเท้าราชสำนักที่ขุนนางสวมใส่ตอนเข้าประชุมขุนนาง งานละเอียดประณีต เป็นสิ่งที่แสดงถึงฐานะเช่นกัน]
ป้องกัน +20
ท่าร่าง +20
เงิน: 300 เหรียญทอง!
……
ตำราลับกำลังภายในระดับกลางหนึ่งเล่ม อุปกรณ์สี่ชิ้นซึ่งแบ่งเป็นคุณภาพทองคำสามชิ้นกับคุณภาพสีฟ้าหนึ่งชิ้น เมื่อเทียบอ๋าวป้ายครั้งนี้กับครั้งก่อน เรียกได้ว่าอัตราดรอปสูงจนน่าตกใจ
ราวกับว่าอุปกรณ์ที่นักโทษอ๋าวป้ายติดค้างไว้ครั้งก่อน ตอนนี้ชดเชยกลับมาให้ภายในครั้งเดียว
ขณะมองอินปู้คุยที่กำลังจ้องอ๋าวป้ายดรอปของจนตาแดง เยี่ยเว่ยหมิงกลับเก็บของทั้งหมดไว้ในอึดใจเดียว “หลังจากเล่นดันเจี้ยนนี้สำเร็จแล้ว จะมีเวลาจำกัด รอให้ออกไปก่อน แล้วพวกเราค่อยปรึกษาเรื่องแบ่งของกัน”
เมื่อกล่าวจบ ก็หยิบโลงศพไม้สนใบหนึ่งออกมาแล้วบรรจุศพของอ๋าวป้ายใส่เข้าไป
ได้รับ ‘ตระหนักรู้กำลังภายใน’ +1 ได้รับ ‘ตระหนักรู้วิชาดรรชนี’ +1!
เรียบร้อย!
เยี่ยเว่ยหมิงแอบกดไลก์ให้อ๋าวป้ายผู้ร่ำรวยในใจหนึ่งที แล้วเขากับอินปู้คุยก็ถูกระบบส่งออกมาจากดันเจี้ยน
ตอนที่เพิ่งออกมาจากดันเจี้ยน เยี่ยเว่ยหมิงก็เห็นเงาคนแวบผ่านตรงหน้า กลับเป็นเหวยเสี่ยวเป่าที่แสดงท่าร่างอันว่องไวให้ดู พออีกฝ่ายมาถึงตรงหน้าเขา ก็ยกนิ้วหัวแม่มือให้ พร้อมกล่าวด้วยสีหน้าเกินจริง “พี่ใหญ่เยี่ย นึกไม่ถึงว่าแม้แต่อ๋าวป้ายที่เป็นเช่นนี้ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า เจ้าเก่งกาจเกินไปแล้ว!”
เป็นอย่างที่คาดไว้ เหวยเสี่ยวเป่าคนนี้ดูเหมือนเยาะเย้ยถากถางสังคม แต่ความจริงก็ยังมีความสามารถ
อาศัยแค่ท่ารางที่เพิ่งแสดงให้เห็น เยี่ยเว่ยหมิงก็รู้ตัวแล้วว่าเทียบไม่ติด
เพียงแต่ท่าร่างนี้ของเขา ทำไมถึงดูคุ้นๆ!
เยี่ยเว่ยหมิงรู้สึกว่าเคยเห็นท่าร่างของเหวยเสี่ยวเป่ามาจากที่ไหนสักแห่ง แต่นึกไม่ออกไปชั่วขณะ อีกทั้งเจ้าตัวก็เป็นฝ่ายพูดก่อนแล้วด้วย เขาก็เพียงถือโอกาสตอบตามสถานการณ์ “ที่จริงนี่ก็ไม่ใช่ผลงานของข้าคนเดียวหรอก ที่เอาชนะอ๋าวป้ายได้ ก็เป็นเพราะข้ากับสหายปู้คุยร่วมแรงร่วมใจกัน”
“แน่นอน สหายปู้คุยก็ยอดเยี่ยมมากเช่นกัน” เหวยเสี่ยวเป่าวางตัวเป็นมาก พอได้ยินแบบนี้ ก็ชมอินปู้คุยด้วยเช่นกัน จากนั้นก็กดเสียงต่ำ “แต่ถ้าจะให้พูดตามจริง ในฐานะที่ข้าเป็นผู้ออกโจทย์ ก็ได้เห็นการเปรียบเทียบค่าผลงานของพวกเจ้าสองคนในระหว่างสังหารอ๋าวป้ายแล้ว เหอะๆ…”
ปัญหาก็คือแม้เจ้าจะกดเสียงต่ำ แต่อินปู้คุยก็ยังได้ยินอยู่ดี
เพื่อไม่ให้อินปู้คุยอึดอัด เยี่ยเว่ยหมิงจึงรีบเปลี่ยนประเด็นสนทนา “แต่สหายเหวยบอกความจริงข้ามาเถอะ เจ้ารู้ตั้งนานแล้วใช่ไหมว่าอ๋าวป้ายเปลี่ยนจุดอ่อนแล้ว”
เหวยเสี่ยวเป่าพยักหน้าอย่างจนใจ ตามด้วยอธิบายว่า “ข้ารู้จริงๆ แต่เป็นเพราะกติกา ทำให้ข้าไม่สะดวกจะบอกเจ้าตรงๆ พี่ใหญ่เยี่ย เจ้าคงเข้าใจนะ”
ก็เป็นเพราะกติกาของระบบ เรื่องนี้เยี่ยเว่ยหมิงย่อมเข้าใจอยู่แล้ว
ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอีกครั้งอย่างไม่ลังเล ถามว่า “สหายเหวย เงื่อนไขการท้าสู้ในดันเจี้ยนของเจ้ามีอะไรบ้าง…
…ทุกครั้งที่ข้ามาทำงานให้เจ้า ก็จะท้าสู้ได้ทุกครั้งใช่ไหม…
…หรือว่า ต่อให้ข้าไม่มาของานเจ้าทำ ก็ยังเข้ามาท้าสู้ได้โดยตรง…
…กติกาของการท้าสู้คืออะไรกันแน่…
…ต้องฆ่าตัวต่อตัว หรือว่าทำเป็นกลุ่มได้…
…ถ้าสู้เป็นกลุ่มได้ กลุ่มหนึ่งจำกัดกี่คน”
หากไม่ใช่เพราะคำกล่าวที่ว่า ‘หากตบรางวัลอย่างงามก็ย่อมมีผู้กล้าออกมาทำงานให้’ ครั้งแรกที่โจมตีอ๋าวป้ายแต่แทบกลับไปมือเปล่า เยี่ยเว่ยหมิงก็ย่อมไม่สนใจดันเจี้ยนนี้มากอยู่แล้ว แต่เมื่อเห็นสิ่งที่ได้รับในครั้งนี้ เขากลับรู้สึกหวั่นไหวโดยสมบูรณ์แล้ว!
สังหารครั้งหนึ่งก็ได้เคล็ดวิชาระดับกลางหนึ่งเล่ม อุปกรณ์ทองคำสามชิ้น แล้วถ้ามาที่สี่ดันเจี้ยนนี้วันละครั้งล่ะ…
เด็กดี นั่นคือจังหวะเริ่มต้นของความร่ำรวยชัด!
ต่อให้ในภายหลังรีเฟรช แต่ก็ใช่ว่าทุกครั้งจะได้ผลตอบแทนอุดมสมบูรณ์ขนาดนี้ แต่ต่อให้เป็นรางวัลทั่วไป ก็เพียงพอที่จะทำให้เขาไม่เกียจคร้านแล้ว
อะไรนะ
เจ้าบอกว่าอ๋าวป้ายเป็นเพียงอุบัติเหตุอย่างนั้นหรือ
ค่าสเตตัสของเขาถูกเยี่ยเว่ยหมิงข่มพอดี แต่อีกสามดันเจี้ยนอาจจะสู้ไม่ไหวก็ได้
ปัญหาที่เรียบง่ายขนาดนี้ เยี่ยเว่ยหมิงจะคิดไม่ถึงได้อย่างไร
ดังนั้นเขาจึงถามถึงกติกาที่เกี่ยวข้องกับการตั้งทีม เมื่อถึงตอนนั้น หากดึงตัวคนในทีมสำนักมือปราบเทพมาด้วยกัน ไม่ว่าจะอย่างไรก็เพียงพอที่จะฆ่า BOSS ได้
ต่อให้ทำอย่างนั้นแล้วยังสู้ไม่ไหว แต่ก็ยังมีอ๋าวป้ายที่เป็นหลักประกันขั้นต่ำไม่ใช่หรือ
เมื่อเห็นเยี่ยเว่ยหมิงสนใจสี่ดันเจี้ยนขนาดนี้ ท่าทีของเหวยเสี่ยวเป่าก็เปลี่ยนเป็นกระตือรือร้นมากขึ้นแล้วเช่นกัน
แต่สำหรับคำถามเรื่องดันเจี้ยน เขาก็ยังตอบตามความจริงว่า “ที่จริงแล้วดันเจี้ยนพวกนี้ ข้าก็หวังให้พี่ใหญ่เยี่ยมาเล่นทุกวัน มารีเฟรชพวกเขาวันละสิบรอบแปดรอบสิถึงจะดี แต่ตามกติกาแล้ว ดันเจี้ยนเหล่านี้ล้วนจำกัดจำนวนครั้งในการท้าสู้เอาไว้”
หลังจากเงียบไปครู่เดียว เหวยเสี่ยวเป่าก็อธิบายต่อว่า “เหมือนเวอร์ชั่นง่ายก่อนหน้านี้ ผู้เล่นแต่ละคนจะท้าสู้ได้คนละหนึ่งครั้งเท่านั้น อีกทั้งเมื่อรวมทั้งหมดแล้วก็ท้าสู้ได้เพียงหนึ่งครั้ง ก็เหมือนกับพี่ใหญ่เยี่ย เป็นเพราะก่อนหน้านี้เคยสังหารอ๋าวป้ายไปแล้ว เจ้าถึงไม่มีทางท้าสู้เวอร์ชั่นง่ายของด่านอื่นได้อีก ถ้าอยากท้าสู้อีก ก็ทำได้เพียงเริ่มจากโหมดธรรมดา”
สำหรับเรื่องนี้ เยี่ยเว่ยหมิงแสดงออกว่าไม่เป็นไร
ใครจะไปแยแสเวอร์ชั่นง่ายที่ไม่มีทรัพยากรให้ตักตวงอย่างนั้น
ถ้าข้าท้าสู้เวอร์ชั่นธรรมดา ก็จะเหมือนกับอ๋าวป้ายที่เพิ่งดรอปของออกมามหาศาลเมื่อครู่นี้
ตอนนี้ กลับได้ยินเหวยเสี่ยวเป่าอธิบายต่อไปว่า “ส่วนจำนวนครั้งการท้าสู้เวอร์ชั่นธรรมดา ก็จะผ่อนปรนขึ้นเล็กน้อย ในแต่ละดันเจี้ยน ทุกคนจะท้าสู้ได้หนึ่งครั้ง ไม่ว่าจะเป็นแบบทีมหรือแบบเดี่ยว”
เมื่อลองคำนวณดูอย่างนี้ โอกาสก็เป็นสิ่งที่มีค่า รอให้ความสามารถเพิ่มขึ้นก่อนดีกว่า ผลประโยชน์จากการเล่นแบบเดี่ยวต่างหากถึงจะเยอะที่สุด
ในใจเขาจดจำกติกาสองข้อนี้เอาไว้เงียบๆ ส่วนเหวยเสี่ยวเป่าก็พูดต่อไปว่า “และนอกจากระดับความยากสองแบบนี้ ยังมีการท้าสู้ในระดับความยากสูงของเวอร์ชั่นสุดยอดอีก…
…ในเวอร์ชั่นนั้น ผู้ท้าสู้จะเผชิญหน้ากับศัตรูที่ถูกปรับให้เป็นสภาพปกติ ไม่ว่าจะเป็นสติปัญญา หรือความสามารถก็ไม่ถูกลดทอนให้น้อยลงเลยแม้แต่น้อย”
ขณะที่เขาพูดก็แบมือ “และศัตรูที่อยู่ในสภาพปกติ เจ้าเองก็รู้ว่าเป็นอย่างไร มีโอกาสท้าสู้เพียงหนึ่งครั้งเท่านั้น ที่ข้าบอกไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะท้าสู้ได้หนึ่งครั้งนะ ข้าหมายความว่าถ้า BOSS ที่อยู่ในสภาพปกติถูกสังหารไปเมื่อไร ดันเจี้ยนที่ระดับความยากนี้ก็จะไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้ว
ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ น่าจะเป็นโอกาสหนึ่งในการโจมตีสังหารตอนที่ผู้เล่นอยู่ในระดับสูงสุด ซึ่งเป็นโอกาสที่ผู้เล่นทุกคนมีร่วมกัน ใครไปก่อนก็ได้ก่อน ทั้งยังต้องประเมินกำลังด้วย”
หลังจากบอกกติกาการท้าสู้ของสี่ดันเจี้ยนนี้เรียบนร้อย เหวยเสี่ยวเป่าก็พลันเปลี่ยนประเด็นสนทนา “ตามที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ ในเมื่อพวกเจ้าท้าสู้ในดันเจี้ยนสำเร็จแล้ว ก็นับว่าผ่านการทดสอบของค่าแรง เช่นนั้นในตอนนี้อรหันต์เหล็กก็เป็นของพวกเจ้าแล้ว”
“ไปกันเถอะ ข้าจะพาพวกเจ้าไปรับของสิ่งนั้น”