ตอนที่ 307 ลานกระดูกของอสูรกระบี่
เฟิงชิงหยางมองสถานการณ์ออกตั้งแต่แรก ตอนนี้เลิกดิ้นรนโดยสิ้นเชิงแล้ว
เขามองศพเย็นเฉียบสองร่างของสาวน้อยอีกแวบหนึ่ง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่าเล็กน้อย “วันนี้ข้าแพ้แล้ว เป็นข้าเองที่ผิด ก่อนหน้านี้เพียงอยากจะให้ลิ่งหูชงรักษาความสบายใจของตัวเองเอาไว้ แต่กลับมองข้ามความรู้สึกเหยื่อที่ถูกเถียนปั๋วกวงทำร้ายเหล่านั้น เรื่องนี้…”
“เถียนปั๋วกวงอยู่ตรงนี้แล้ว พวกเจ้าอยากจะจัดการอย่างไรก็ตามสบาย เรื่องเดียวที่ข้าอยากรู้ก็คือ จอมยุทธ์น้อยเยี่ยจะให้ทำอย่างไรถึงจะยอมปล่อยสำนักหัวซานไป”
ที่จริงแล้ว หากจะถามว่าลิ่งหูชง เฟิงชิงหยาง หรือแม้กระทั่งทั้งสำนักหัวซานมีความเกี่ยวพันกับเรื่องของเถียนปั๋วกวงมากขนาดนั้นเชียวหรือ
คำตอบก็คือต้องดูว่าผู้ที่กุมอำนาจจะพูดอย่างไร
ถ้าจะบอกว่าพวกเขากับเถียนปั๋วกวงมีความเกี่ยวข้องกันมาก ก็จะเหมือนกับที่เยี่ยเว่ยหมิงพูดไว้ก่อนหน้านี้ มองว่าพวกเขาเป็นร่มคุ้มครองให้เถียนปั๋วกวงได้เลย ถึงตอนนั้นเกรงว่าทั้งยุทธภพคงไม่มีที่ให้พวกเขาอยู่อีกแล้ว!
ถ้าจะบอกว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกันมาก ที่จริงก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันขนาดนั้น
อย่างไรเสีย แม้พวกเขาจะมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม แต่ก็ยังไม่ทำให้เกิดผลที่ไม่ดีตามมา
อีกทั้งก่อนที่จะเกิดเรื่องไม่ดี ก็ยังเจรจาทุกอย่างกันก่อนได้
แต่ปัญหาก็คือ ตอนนี้ผู้ที่มีอำนาจตัดสินรูปแบบของเรื่องนี้ก็คือเยี่ยเว่ยหมิง
ดูจากท่าทีของเขาตั้งแต่เริ่มปรากฏตัวก็รู้แล้วว่าจุดยืนของทั้งสองฝั่งไม่ได้เป็นมิตรกันขนาดนั้น
แต่ยังดีที่ก่อนจะเกี่ยวเนื่องไปถึงปัญหาเรื่องหลักการที่ต้องยึดถือ เยี่ยเว่ยหมิงยังเป็นคนที่พอซื้อตัวได้
หากจะถามว่าอะไรคือปัญหาเรื่องหลักการที่ต้องยึดถือ
ก็ยกตัวอย่างเช่นเรื่องที่อยู่ตรงหน้านี้
เถียนปั๋วกวงคนนี้ปล่อยไปไม่ได้แน่นอน นี่คือปัญหาเรื่องหลักการที่ต้องยึดถือ ส่วนลิ่งหูชงกับเฟิงชิงหยางก็ขึ้นอยู่กับราคาแล้ว
เฟิงชิงหยางที่ปราดเปรื่องเพราะอายุมากรับรู้จุดนี้ชัดเจน ดังนั้นตอนที่ขายเถียนปั๋วกวงที่ถูกหั่นจนกลายเป็นมนุษย์กระบองทิ้ง (เรียกสั้นๆ ว่ากระบองเถียนปั๋วกวง) ก็ถือว่าแสดงท่าทีชัดแล้วว่ายินดีจะจ่ายเงินเพื่อเลี่ยงภัย
ในเมื่อผู้อาวุโสบู๊ลิ้มอย่างเฟิงชิงหยางรู้ความขนาดนี้ เยี่ยเว่ยหมิงก็ย่อมไม่เลอะเลือนจนไม่รู้เจตนาแฝงของอีกฝ่ายเช่นกัน
ดังนั้นเยี่ยเว่ยหมิงจึงกล่าวออกมาอย่างไม่ลังเลว่า “เก้ากระบี่เดียวดาย!”
“ไม่ได้!”
เฟิงชิงหยางตอบอย่างเด็ดขาดมากเช่นกัน ไม่มีความลังเลใดๆ
เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินคำตอบแล้วเลิกคิ้ว “ไม่ได้จริงหรือ”
เฟิงชิงหยางมองเยี่ยเว่ยหมิงด้วยสีหน้าลำบากใจ “คนฉลาดยังเจ้าน่าจะรู้ดีว่า ‘เก้ากระบี่เดียวดาย’ ไม่อาจรับได้ด้วยวิธีการนี้แน่นอน นี่คือกฎการทำงานขั้นพื้นฐานที่สุดของโลกนี้ ข้าก็เพียงทำตามกฎ ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้”
สำหรับสูตรความเท่าเทียมระหว่างการจ่ายและการรับผลตอบแทน เยี่ยเว่ยหมิงย่อมเข้าใจชัดเจนอยู่แล้ว เขาเองก็ไม่คิดจะหลับหูหลับตาวุ่นวายอยู่กับปัญหานี้เช่นกัน
สำหรับคำอธิบายของเฟิงชิงหยาง เขาพยักหน้าสื่อว่าเข้าใจแล้วบอกว่า “ผู้อาวุโสเฟิงปฏิเสธข้อเสนอของข้าแล้ว เช่นนั้นก็เชิญท่านเสนอเงื่อนไขที่ทุกคนยอมรับได้เถอะ”
สาเหตุที่ก่อนหน้านี้เขาเอ่ยถึง ‘เก้ากระบี่เดียวดาย’ ก็เพราะจะตั้งราคาให้สูงไว้ก่อนเท่านั้น ตอนนี้ถึงคราวที่เฟิงชิงหยางต้องจ่ายคืนแล้ว
เฟิงชิงหยางได้ยินแล้วครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นบอกว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าได้เก้ากระบี่เดียวดายมาจากไหน”
เยี่ยเว่ยหมิงส่ายหน้าน้อยๆ สื่อว่าตัวเองไม่รู้ แต่กลับเผยสีหน้าสนใจมาก
เมื่อได้ตัวยอดฝีมือจากภายนอกที่กุมเคล็ดกระบี่ระดับสุดยอดวิชาเอาไว้อย่างเฟิงชิงหยาง เดิมทีเยี่ยเว่ยหมิงเตรียมจะให้เขาช่วยตนเพิ่มเลเวล ‘เคล็ดกระบี่วีรสตรี’ ให้ถึงสิบ หรือไม่ก็เพิ่มเลเวล ‘เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน’ ให้ถึงเก้า แบบนั้นเขาพอจะรับไหว
อย่างไรเสียหากประหยัดค่าตบะได้ก็ควรประหยัด
แต่ฟังจากที่เฟิงชิงหยางพูด ดูเหมือนจะได้รับผลตอบแทนอย่างอื่นเป็นพิเศษด้วย!
“ตอนที่ข้ายังเป็นหนุ่ม ลานกระดูกของตู๋กูฉิวไป้[1]บนภูเขารกร้างแห่งหนึ่ง…
…ที่นั่นนอกจากตำรา ‘เก้ากระบี่เดียวดาย’ ก็ยังมีตำราอีกมากมายที่ผู้อาวุโสตู๋กูฉิวไป้ทิ้งไว้ในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต ตำราเหล่านั้นแม้จะไม่เหมือน ‘เก้ากระบี่เดียวดาย’ ที่คนอ่านแล้วล้วนฝึกฝนได้เอง แต่ทุกตัวอักษรที่อยู่ในนั้นล้วนแฝงความตระหนักรู้และเข้าใจที่ผู้อาวุโสตู๋กูมีต่อกระบี่ ความล้ำค่าของมันใช่ว่าจะสู้ตำราลับ ‘เก้ากระบี่เดียวดาย’ เล่มเดียวไม่ได้…
เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที “พูดจริงหรือ”
“หึ!” เฟิงชิงหยางกลับทำเสียงฮึดฮัด “คนที่มีอุบายอย่างเจ้าน่ะ ถ้าข้ากล้าหลอกเจ้า เจ้าจะไม่ใช้สารพัดวิธีมาทำให้ข้าเสียใจหรอกหรือ”
“เหอะๆ” เยี่ยเว่ยหมิงหัวเราะแห้ง “ผู้อาวุโสก็พูดถูก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้อาวุโสก็เชิญบอกที่ตั้งของสถานที่นั้นมาเถอะ ส่วนเรื่องของเถียนปั๋วกวง ผู้น้อยย่อมไม่โยงไปถึงสำนักหัวซานอยู่แล้ว”
“ดูแผนที่เอาเองแล้วกัน!” พอพูดจบ เฟิงชิงหยางก็แบกลูกศิษย์ที่ถนัดเรื่องวางกับดักอาจารย์ปู่ซึ่งตอนนี้ยังสลบไสลเดินเข้าไปทางถ้ำ ตอนที่เดินก็พูดไปด้วยว่า “สถานที่นั้นลึกลับมาก ทุกคนมีโอกาสเพียงครั้งเดียวในชีวิตที่จะเข้าไป ข้ารับประกันได้ว่าไม่ได้บอกข่าวนี้กับคนอื่นอีก”
ขณะที่พูด เงาร่างของเฟิงชิงหยางก็หายไปตรงปากถ้ำของภูเขาแล้ว แต่เสียงของเขาราวกับยังดังอยู่ข้างหูเยี่ยเว่ยหมิง “ในปีนั้นหลังจากข้าได้สมบัติที่ผู้อาวุโสตู๋กูทิ้งไว้ก็กลับเข้าเมืองไปซื้อโลงศพดีๆ สักใบหนึ่ง เดิมทีคิดจะกลับไปเก็บกระดูกให้เขา ให้เขาพักผ่อนอยู่ในดินอย่างสงบ ช่วยไม่ได้ที่กลับไปหาอีกก็ไม่พบแล้ว…
…อีกทั้งในถ้ำภูเขานั้น นอกจากโครงกระดูกกับตำราแล้ว ก็ไม่มีอาวุธกับตำราลับอะไรอีก เจ้าต้องเตรียมใจไว้ให้ดี หากตอนนั้นไม่เจอสิ่งที่ตัวเองอยากได้ ก็อย่าย้อนมาว่าข้าหลอกลวงเจ้า”
ลานกระดูกของตู๋กูฉิวไป้?
ตู๋กูฉิวไป้ เก้ากระบี่เดียวดาย…
ฟังชื่อแล้วเหมือนสุดยอดมาก!
เดิมที เยี่ยเว่ยหมิงแค่หวังจะอาศัยโอกาสนี้บีบให้เฟิงชิงหยางชี้แนะเคล็ดกระบี่ให้เขา แต่กลับนึกไม่ถึงว่าเฟิงชิงหยางจะโยนผลประโยชน์ที่ใหญ่ขนาดนี้มาให้!
ดูจากท่าทางของผู้เฒ่าเฟิง สงสัยจะเดาขอบเขตของเยี่ยเว่ยหมิงไม่ออก การที่เขายอมถอยให้ถึงขนาดนี้ อาจเป็นเพราะศพของสาวน้อยสองคนทำให้เขาอดรู้สึกผิดไม่ได้กระมัง
ยืนรออยู่ที่เดิมอีกครึ่งนาที กระทั่งแน่ใจแล้วว่าเฟิงชิงหยางพูดจบหมดแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงถึงแนะนำแผนที่ยุทธภพของตัวเองขึ้นมาแล้วเริ่มดูอย่างละเอียด
แผนที่นี้เป็นการตั้งค่าของระบบที่ผู้เล่นทุกคนมี แต่สถานที่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นสีดำ ดังนั้นไม่ว่าจะไปจุดไหนก็ต้องหาซื้อแผนที่บริเวณนั้นใกล้ๆ กับจุดพักม้าเพื่อทำให้บริเวณนั้นสว่าง เป็นวิธีการหนึ่งที่ระบบใช้สำหรับเก็บเหรียญเกมเช่นกัน
ในแผนที่ระบบของเยี่ยเว่ยหมิงตอนนี้ นอกจากสถานที่ที่เขาเคยไปมาแล้ว ก็ยังมีอีกบริเวณหนึ่งที่ถูกทำให้สว่างแล้ว ด้านบนของบริเวณนั้นยังมีวงกลมสีแดงระบุพิกัดไว้ด้วย
คงจะเป็นลานกระดูกของตู๋กูฉิวไป้ที่เฟิงชิงหยางบอกกระมัง
เขามองตำแหน่งที่ระบุพิกัดไว้อีกครั้ง…
เสินหนงจย้า?
เป็นสถานที่ที่น้อยคนนักจะไปถึง!
ตรงใจกลางของที่ราบลุ่มภาคกลาง ระหว่างแม่น้ำและภูเขาแต่ละแห่งมีเมืองและหมู่บ้านมือใหม่ของระบบกระจายตัวอยู่ไม่น้อย ขอเพียงผู้เล่นรู้เส้นทาง ไม่ว่าจะอยากไปที่ไหน ก็จะนั่งรถม้าไปที่จุดพักม้าใกล้ๆ แล้วค่อยเดินต่อได้ โดยส่วนใหญ่ถ้าเป็นระยะทางที่ไกลที่สุด เยี่ยเว่ยหมิงก็ใช้เวลาเดินเท้าไม่ถึงครึ่งวันก็ถึงแล้ว
แต่เสินหนงจย้ากลับเป็นข้อยกเว้น
เมื่อเทียบกับที่ราบลุ่มภาคกลาง ที่นี่กลับเหมือนเป็นทุ่งหญ้านอกเมือง ถึงขั้นอันตรายกว่านั้นด้วยซ้ำ จะมีมอนสเตอร์ที่ไม่ใช่มนุษย์โผล่มาบ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลก!
จนกระทั่งตอนนี้ พวกผู้เล่นก็ทำได้เพียงโจมตีมอนสเตอร์อัปเลเวลอยู่บริเวณรอบนอกสุดของเสินหนงจย้าเท่านั้น ไม่มีทางเข้าไปลึกกว่านั้นได้เลย
หลังจากวัดระยะทางตรงของหมู่บ้านมือใหม่ที่อยู่ใกล้ที่นั่นที่สุดกับตำแหน่งที่ระบุไว้แล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็ต้องจนใจเพราะพบว่าต่อให้อาศัยพลังเท้าของตอนนี้ ถ้าอยากจะหาลานกระดูกของตู๋กูฉิวไป้ตามแผนที่ให้เจอ อย่างน้อยก็ต้องวิ่งหนึ่งวันหนึ่งคืน
นี่ยังเป็นระยะทางที่เขาคำนวณไว้ตอนที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีที่สุดด้วย
สิ่งที่เรียกว่าสภาพแวดล้อมที่ดีที่สุดตอนเดินทาง ก็คือทุ่งหญ้านอกเมืองที่เป็นพื้นราบจนม้าวิ่งตะบึงได้เหมือนถนน ระหว่างทางไม่มีมอนสเตอร์ที่สร้างภัยคุกคามใดๆ ให้เขาได้มารบกวน
แต่เห็นได้ชัดว่านั่นคือสิ่งที่มีอยู่ในจินตนาการเท่านั้น
ถ้าเสินหนงจย้าเป็นมิตรกับผู้เล่นขนาดนั้นจริงๆ ก็คงไม่ถึงขั้นทำให้ไร้ผู้เล่นที่เข้าไปได้ลึกกว่านี้
ดูท่าแล้ว ถ้าอยากจะเจอสถานที่ลับที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนตามต้นฉบับเดิม คงจะต้องเตรียมตัวให้มากพอก่อน
พอเก็บแผนที่ของระบบแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็ก้มลงประคองศพหญิงสาวสองคนขึ้นมาจากพื้น วางพวกนางให้หลังผิงบนหน้าผาสำนึกตน แล้วก็ปรับมุมเล็กน้อยให้แน่ใจแล้วว่าดวงตาของพวกนางกำลังจ้องเถียนปั๋วกวง
จากนั้นเขาจึงถอยหลังก้าวหนึ่ง แล้วพูดกับศพสองร่างด้วยสีหน้าจริงจัง “ขอให้วิญญาณของแม่นางทั้งสองไปสู่สุคติ ข้าจะจัดการโจรชั่วเถียนปั๋วกวงต่อหน้าพวกเจ้า ถือว่าล้างความอัปยศให้พวกเจ้า”
สิ้นคำ เยี่ยเว่ยหมิงก็หันตัวเดินไปตรงหน้าเถียนปั๋วกวง ชูกระบี่ยาวในมือขึ้นมา แทงลงไปที่หัวใจของเถียนปั๋วกวง “แทงหัวใจแล้ว เหล่าเถียน!”
ฉึก!
กระบี่แสงทองแทงทะลุหัวใจของเถียนปั๋วกวงทันที
-16728!
ไม่ตาย!
แต่จุดนี้ไม่สำคัญ เยี่ยเว่ยหมิงถึงขั้นไม่ใช้ไท้ซัวเป็นไฉนยั่วยุอารมณ์ด้วยซ้ำ ได้แต่ชักกระบี่ล้ำค่าออกมาจากร่างของเถียนปั๋วกวงเบาๆ จากนั้นก็เสียบงซ้ำจุดเดิมอีก
-17006!
ระหว่างที่เสียบเข้าเสียบออก ก็พรากพลังชีวิตของเถียนปั๋วกวงไปอีกเกือบสองหมื่นแต้มแล้ว
แต่เถียนปั๋วกวงก็ยังไม่ตาย ใครใช้ให้เขาเป็น BOSS ใหญ่เลเวลเจ็ดสิบเอ็ดล่ะ พลังชีวิตเยอะมาก!
เยี่ยเว่ยหมิงก็ไม่รีบเช่นกัน เสียบแล้วเสียบอีกทันที…
น่าสงสาร BOSS เลเวลเจ็ดสิบเอ็ดอย่างเถียนปั๋วกวง หลังจากสูญเสียความสามารถในการขัดขืนแล้ว ยังถูกเยี่ยเว่ยหมิงใช้กระบี่แสงทองเสียบหัวใจซ้ำไปซ้ำมา
บางทีอาจเป็นเพราะหลักธรรมชาติแห่งสวรรค์ กรรมตามสนองกระมัง
ในที่สุด หลังจากเยี่ยเว่ยหมิงเสียบกระบี่ล้ำค่าเข้าหัวใจเถียนปั๋วกวงเป็นครั้งที่ห้า รูม่านตาของเถียนปั๋วกวงก็เริ่มแตกลงแล้ว ค่อยๆ สูญเสียแววตาที่เป็นสัญลักษณ์ของความมีชีวิต
[ติ๊ง! คุณสังหารเถียนปั๋วกวง ฉายาเดินเดี่ยวหมื่นลี้ BOSS เลเวลเจ็ดสิบเอ็ดโหมดปกติสำเร็จ ได้รับรางวัล:
ค่าประสบการณ์ 550000 แต้ม
ค่าตบะ 180000 แต้ม!]
[ประกาศระบบ: ผู้เล่นเยี่ยเว่ยหมิงแห่งสำนักมือปราบเทพสังหารเถียนปั๋วกวง ฉายาเดินเดี่ยวหมื่นลี้ BOSS เลเวลเจ็ดสิบเอ็ดโหมดปกติสำเร็จ]
เนื่องจากเถียนปั๋วกวงเป็น BOSS โหมดปกติ หลังจากสังหารครั้งนี้จะรีเฟรชใหม่ไม่ได้อีก
จากนี้ไป ในเกม ‘วีรบุรุษนิรันดร์กาล’ จะไม่มีเถียนปั๋วกวงอีก!
[ผู้เล่นเยี่ยเว่ยหมิงบุกเดี่ยวโจมตีสังหาร BOSS ได้รับรางวัลสังหารสิ้นซาก
ค่าชื่อเสียงยุทธภพ: 260000 แต้ม
ค่าผลงานสำนัก 33000 แต้ม
ค่าวีรบุรุษ 1000 แต้ม!]
[ประกาศระบบ: สำนักมือปราบเทพผู้เล่นเยี่ยเว่ยหมิง…]
เสียงประกาศระบบแจ้งเตือนต่อเนื่องสามรอบ ทำให้ชื่อของเยี่ยเว่ยหมิงดังก้องยุทธภพอีกครั้ง!
ตอนที่เสียงประกาศระบบดังนั้น ดวงตาของสาวน้อยทั้งสองก็เหมือนได้รับผลกระทบจากลมเย็นบนหน้าผา พวกนางหลับตาลงอย่างเป็นธรรมชาติ
[1] ตู๋กูฉิวไป้ หรือ ต๊กโกวคิ้วป้าย หรือเดียวดายแสวงพ่าย เป็นตัวละครอุปโลกน์ที่มีการกล่าวถึงจากตัวละครในนวนิยายกำลังภายในของกิมย้ง