ตอนที่ 313 ยอดฝีมือสุดยอดวิชา เชิญร่ำสุรา
สุดยอดวิชาคืออะไร
ลองคิดดูว่า ‘ไท้ซัวเป็นไฉน’ ของเยี่ยเว่ยหมิงเป็นวิชาที่โรคจิตขนาดไหน ‘มังกรซ่อนกบดาน’ หน้าเนื้อใจเสือขนาดไหนก็จะรู้แล้ว
นั่นคือเครื่องมือสังหารที่ใช้งานแล้วจะท้าสู้บอสข้ามเลเวลได้เลย!
และสองสุดยอดวิชาที่เยี่ยเว่ยหมิงเคยเรียน ก็เป็นกับดักเหมือนข้อสอบจำลองเข้ามหาวิทยาลัย ถ้ารออยู่เฉยๆ ก็เปิดใช้งานไม่ได้เลย ส่วนอีกวิชาหนึ่งก็เป็นฉบับไม่สมบูรณ์ที่มีกระบวนท่าเพียงหนึ่งในสิบแปดท่า
แต่ที่น้องดาบเจอ ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นสุดยอดวิชาฉบับสมบูรณ์!
พูดแบบนี้หมายความว่า ในเกมนี้กำลังจะมียอดฝีมือที่เก่งกว่าเยี่ยเว่ยหมิงปรากฏตัวขึ้นมาอีกคนอย่างนั้นหรือ
คำตอบก็คือ…เป็นไปไม่ได้!
ถ้าผู้ที่เรียนสุดยอดวิชานั้นมีความสามารถเหนือกว่าเยี่ยเว่ยหมิงจริงๆ ก็คงไม่ถูกน้องดาบฟันตายง่ายๆ อย่างนี้หรอก
ฟังจากน้ำเสียงสุดผ่อนคลายของนางก็รู้แล้วว่าตอนที่ฟันอีกฝ่ายตายไม่ได้เปลืองแรงมากเท่าไร อย่างน้อยก็ไม่ทำให้นางตกอยู่ในการต่อสู้ที่ยากลำบาก
แต่สำหรับสุดยอดวิชาฉบับสมบูรณ์เล่มแรกของเกมที่ตกอยู่ในมือผู้เล่น ทั้งสามก็ยังอยากรู้อยากเห็นมาก
ส่วนน้องดาบที่พอได้ยินคำถามของเยี่ยเว่ยหมิง นางกลับจงใจตอบเหมือนมีลับลมคมใน “เจ้าจำตอนที่ตัวเองได้ ‘สุราเพลิงหยกน้ำแข็งลึกลับ’ ได้หรือเปล่า ตอนนั้นได้ยินประกาศระบบว่ามีคนทำเฟิร์สคิลฉีฉางฟ่าฉายา ‘โซ่ขวางแม่น้ำ’”
เยี่ยเว่ยหมิงจำได้อยู่แล้ว
เหมือนวิธีการของเจ้าหมอนั่นจะขัดกับแผนการบางอย่างของน้องดาบมาก หลังจากน้องดาบได้ยินประกาศนั้นแล้ว ก็รีบร้อนกลับไปกู้สถานการณ์ทันที
อย่าบอกนะว่าคนที่กำจัดฉีฉางฟ่าก็คือเจ้าของสุดยอดวิชาที่น้องดาบพูดถึง
พอนึกถึงตรงนี้ เยี่ยเว่ยหมิงก็ขมวดคิ้ว “ข้าจำได้ว่าเจ้าหมอนั่นชื่อว่าอะไรสักอย่าง เหมือนจะชื่อห้วงคำนึงยามดึก ไม่ใช่สิ ไม่ถูก…ชื่อด่านภูพระจันทร์เหรอ ก็ไม่ใช่…”
เยี่ยเว่ยหมิงพูดชื่อออกมาหลายชื่อต่อเนื่องกัน แต่ไม่ทันรอให้น้องดาบตอบก็ปัดตกเองก่อน
พอน้องดาบเห็นดังนั้น ในที่สุดก็ให้คำตอบที่ถูกต้อง “ชื่อเชิญร่ำสุรา”
“ใช่ๆๆๆ ถ้าจำได้ว่าชื่อของเขาเหมือนบทกวีของหลี่ไป๋ แต่กลอนอะไรก็ลืมไปแล้ว” เขาชะงักไปครู่หนึ่งแล้วถามอีกคำถามที่เขาสนใจมากกว่า “แล้วเขาใช้สุดยอดวิชาอะไร”
พอได้ยินเยี่ยเว่ยหมิงถามคำถามนี้อีกครั้ง น้องดาบก็กระปรี้กระเปร่าทันที บนใบหน้าเผยรอยยิ้มชวนหลงใหล ขยิบดวงตาโตฉ่ำน้ำ แล้วเอ่ยคำที่กลั่นกรองมานาน ซึ่งรู้ว่าต้องรอวันนี้ถึงจะหาโอกาสพูดออกมาได้
“เจ้าเดาสิ!”
ยัยเด็กคนนี้เจตนาจะล้างแค้นชัดๆ!
เยี่ยเว่ยหมิงกลอกตามองบน พอเห็นว่าตัวเองไม่ได้ส่วนแบ่งเมล็ดทานตะวัน ก็นำไก่ขอทานออกมากัดเสียเลย แล้วตอบเสียงอู้อี้ตอนที่กำลังเคี้ยว “เดาแบบนี้ไม่สนุก เรามาเดิมพันกันสักตั้งดีไหม ถ้าข้าเดาออก เจ้าแพ้ให้ข้าข้าหนึ่งพันเหรียญทอง แต่ถ้าข้าเดาไม่ออกหรือว่าเดาผิด ข้าก็ชนะเจ้าหนึ่งพันเหรียญทอง”
น้องดาบได้ยินแล้วสับสนทันที “เจ้าพูดผิดแล้ว ควรจะเป็นแบบนี้สิ ถ้าเจ้าเดาออก ข้าก็แพ้ให้เจ้าหนึ่งพันเหรียญทอง แต่ถ้าเดาผิดเจ้าก็แพ้ข้าหนึ่งพันเหรียญทองสิถึงจะถูก!”
เยี่ยเว่ยหมิงตาเป็นประกาย “ตกลงตามนี้”
“หึหึ!”
น้องดาบยิ้มแล้วกินเมล็ดทานตะวันต่อไป
แม้นางจะไม่เชื่อว่าเยี่ยเว่ยหมิงจะทำนายแม่นจริงๆ แต่ทุกครั้งที่พลาดก็จะฉลาดขึ้น ประสบการณ์ถูกหลอกหลายครั้งทำให้นางรู้ว่า ขอเพียงนางกล้าพยักหน้าตกลง สุดท้ายคนที่เสียเปรียบก็ต้องเป็นนางแน่นอน
ขณะที่พูดคุยกัน สินค้าประมูลอีกหลายชิ้นก็ถูกนำขึ้นมาแสดงวางแล้ว ราคาซื้อขายเฉลี่ยหลายร้อยจนถึงหลายพัน ไม่มีสักชิ้นที่การประมูลขายล้มเหลว
ตอนนี้เอง พนักงานนำถาดใบหนึ่งที่มีผ้าสีแดงคลุมมาวางบนโต๊ะตรงหน้าผู้ดำเนินรายการประมูลอีกแล้ว
“ต่อไป สินค้าที่พวกเราจะประมูลขายก็คือยาเม็ดชุดหนึ่ง ยาลูกกลอนโชคลาภอมตะสามเม็ด!” ตอนที่ประกาศ ผู้ดำเนินรายการประมูลก็เปิดผ้าคลุมสีแดงออกจากถาด เผยให้เห็นขวดยาใบเล็กที่แกะสลักจากหยกที่มีสีขาวเหมือนไขมันแพะ “ยาลูกกลอนโชคลาภอมตะเป็นยาเทวดาที่ช่วยรักษาบาดแผลและต่อชีวิต ไม่ว่าจะบาดเจ็บสาหัสขนาดไหน หรือถูกพิษร้ายแรงขนาดไหน ขอเพียงกินยานี้หนึ่งเม็ด ก็จะฟื้นตัวกลับมาอยู่ในสภาพที่ดีที่สุดภายในชั่วพริบตาเดียว! ขีดจำกัดเพียงข้อเดียวก็คือกินได้วันละหนึ่งเม็ด ถ้ากินอีกจะไม่ได้ผล…
…สังเกตดีๆ นะ ข้าบอกว่ากำจัดสถานะติดลบทั้งหมด ฟื้นพลังชีวิตและกำลังภายในให้กลับมาเต็มในชั่วพริบตาเดียว!…
…เจอของล้ำค่าที่ช่วยรักษาชีวิต ถึงขั้นพลิกสถานการณ์ต่อสู้ได้ ท่านยังจะรออะไรอีก”
ตอนนี้เสียงของผู้ดำเนินรายการประมูลเริ่มดังขึ้นแล้ว “ผู้ขายขอมาว่า ให้แบ่งขายยาลูกกลอนโชคลาภอมตะสามเม็ดนี้ เริ่มต้นเม็ดละสามร้อยเหรียญทอง! เริ่มการประมูลได้!”
พอพูดจบ งานประลองก็ตกอยู่ในความเงียบทันที
ตอนนี้กลับได้ยินซานเย่ว์ดูถูกว่า “ยาลูกกลอนโชคลาภอมตะ เป็นของดีที่หายากจริงๆ แต่นำออกมาประมูลขายตอนนี้อาจจะเร็วเกินไป ผู้เล่นในปัจจุบันจะมีสักกี่คนที่ต้องการสิ่งนี้”
สะพานสวรรค์น้อยกลับนึกอะไรขึ้นได้ ถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ว่า “ยานี้ใช้ได้ผลกับ NPC หรือเปล่า”
“ไม่ได้ผล” ซานเย่ว์ตอบอย่างเด็ดขาดตรงไปตรงมา “เพราะเรื่องประมูลขายประกาศิตสร้างพรรคครั้งนี้ ข้าเคยคุยกับคนของร้านประมูลวั่นซานมาก่อน จึงได้รู้จากปากพวกเขาว่ายาที่ใช้ได้ผลกับ NPC ชื่อว่ายาลูกกลอนโชคลาภอมตะแท้ เป็นของดีที่แม้ได้พบเจอก็อาจไขว่คว้าไม่ได้…
…สามเม็ดที่อยู่ตรงหน้า อย่างมากก็เป็นแค่ยาฟื้นฟูพลังชีวิตฉุกเฉินเท่านั้น นำมาใช้ทำภารกิจไม่ได้…
…แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เพราะหลอมด้วยวัตถุดิบราคาแพง จึงมีจำนวนการผลิตต่ำมาก สามร้อยเหรียญทองก็เกือบนับเป็นราคาทุนได้แล้ว”
พูดไปพูดมา ซานเย่ว์ก็อดส่ายหน้าไม่ได้ “แต่ปัญหาก็คือผู้เล่นในปัจจุบันนี้ จะมีใครยอมจ่ายสามร้อยเหรียญทองเพื่อซื้อมันล่ะ”
ก็อย่างที่ซานเย่ว์บอก
ยาลูกกลอนโชคลาภอมตะเป็นยาเทวดาที่ทำให้ฟื้นชีพกลับมาได้จริงๆ แต่ปัญหาก็คือผู้เล่นจะตายได้อย่างไร
ในทางกลับกัน ถ้าตายหนึ่งครั้งแลกเป็นเงินได้สามร้อยเหรียญทอง เกรงว่าแม้แต่ยอดฝีมือทั่วไปก็คงต้านทานความยั่วยวนนี้ไม่ไหว
อย่างไรเสีย สามร้อยเหรียญทองก็เพียงพอให้ซื้ออุปกรณ์ทองคำที่มีค่าสเตตัสดีๆ ได้ชิ้นหนึ่งเลย!
หากจะบอกว่าใช้โจมตี BOSS?
หึหึ…
BOSS ที่ปกติก็สู้ด้วยไม่ไหว ถ้าเติมพลังชีวิตครั้งเดียวแล้วคิดว่าจะสู้ไหวอย่างนั้นหรือ
เมื่อเห็นว่าผ่านไปนานแล้วไม่ได้ยินเสียงขานรับ ผู้ดำเนินรายการประมูลก็ทำได้เพียงนับถอยหลังอย่างจนใจ ส่วนซานเย่ว์ก็บอกอยู่ข้างๆ ว่า “ที่จริงร้านประมูลวั่นซานเดาผลลัพธ์นี้ได้ตั้งแต่แรกแล้ว สาเหตุที่จัดยาสามเม็ดนี้ไว้ในรายการสินค้าประมูล ก็แค่ต้องการพิสูจน์ให้ผู้เล่นรู้ว่าสินค้าที่ร้านพวกเขาเป็นของดีที่สุด ขอเพียงเจ้ามีเงิน อยากจะหาซื้ออะไรก็ซื้อได้ทั้งนั้น…
…ส่วนถ้าถามว่าการประมูลขายล้มเหลวหรือไม่ พวกเขาก็ไม่ได้ใส่ใจมากขนาดนั้น”
ตอนนี้เอง ขณะที่ผู้ดำเนินรายการประมูลเริ่มนับถอยหลังเป็นครั้งที่สองอย่างสบายๆ “สามร้อยเหรียญทอง ครั้งที่สอง”
จู่ๆ เยี่ยเว่ยหมิงที่นั่งอยู่อีกข้างก็บอกว่า “ที่จริงใช่ว่าจะประมูลล้มเหลวเสมอไป” พอพูดจบก็หยิบเครื่องประมูลบนโต๊ะน้ำชาตรงหน้าขึ้นมา แล้วบอกเสียเลยว่า “สามร้อยเหรียญทอง”
เขาเพิ่มราคาประมูลทันที นี่คือการเพิ่มราคาที่ต่ำที่สุดบนงานประมูลขายนี้แล้ว
พอได้ยินเยี่ยเว่ยหมิงพูด ผู้ดำเนินรายการประมูลกลับตาเป็นประกายทันที “สามร้อยเหรียญทองแล้ว ผู้เล่นที่ศาลาเจินสุ่ยยินดีจ่ายสามร้อยเหรียญทองเพื่อซื้อยาลูกกลอนโชคลาภอมตะหนึ่งเม็ด มีใครจะเพิ่มราคาต่ออีกไหม”
“สามร้อยห้าสิบเหรียญทอง!” การเพิ่มราคาของเยี่ยเว่ยหมิงได้จุดชนวนแล้ว ไม่รอให้ผู้ดำเนินรายการประมูลมาปรับบรรยายาศ ในห้องส่วนตัวอีกห้องก็มีคนตะโกนเสนอราคาสามร้อยห้าสิบเหรียญทองแล้ว
ที่จริง แม้ของประเภทนี้จะไม่มีประโยชน์ใดๆ ต่อผู้เล่นส่วนใหญ่ แต่สำหรับยอดฝีมือส่วนน้อย มันคือสิ่งที่น่าดึงดูดใจพอสมควร
ยกตัวอย่างเช่นเยี่ยเว่ยหมิง
พอได้ยินว่ามีคนเพิ่มราคา เยี่ยเว่ยหมิงก็ไม่รู้สึกผิดคาดเลยสักนิด แค่ตะโกนออกมาอย่างไม่ลังเลว่า “สี่ร้อย!”
“สี่ร้อยห้าสิบ!”
“ห้าร้อย!”
ดูจากความเร็วในการเพิ่มราคาของเขา ราวกับไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามจะเพิ่มราคาไปจนถึงขั้นไหน เขาก็จะเพิ่มตามโดยไม่ลังเล
หลังจากได้ยินเยี่ยเว่ยหมิงเพิ่มราคาเป็นห้าร้อยเหรียญทอง ในที่สุดอีกฝ่ายก็เงียบแล้ว ไม่มีใครเพิ่มราคาตามต่ออีก
ถึงอย่างไรยาก็มีทั้งหมดสามเม็ด เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่คิดจะเพิ่มราคาแข่งสำหรับยาเม็ดแรกต่อไป
สุดท้ายยาลูกกลอนโชคลาภอมตะเม็ดแรกก็ถูกเยี่ยเว่ยหมิงเก็บเข้ากระเป๋าโดยใช้เงินห้าร้อยเหรียญทอง
การประมูลขายในงานเป็นระบบเกมอัตโนมัติทั้งหมด เมื่อการประมูลสำเร็จ ในบัญชีของเยี่ยเว่ยหมิงก็จะถูกหักเงินห้าร้อยเหรียญทองทันที และขวดหยกที่ใส่ยาลูกกลอนโชคลาภอมตะเอาไว้ก็ปรากฏอยู่ในมือของเขาแล้ว
พอเห็นว่าค่าสเตตัสของยาเม็ดนี้เหมือนกับที่ผู้ดำเนินรายการประมูลบอกไว้ เยี่ยเว่ยหมิงก็ยกมุมปากยิ้มยังมีเลศนัย
ท่ามกลางสายตาสงสัยของซานเย่ว์กับสะพานสวรรค์น้อย เขาอธิบายอย่างไม่จริงจังว่า “สำหรับคนอื่นแล้ว BOSS ที่สู้ด้วยไม่ไหว เพิ่มพลังชีวิตหนึ่งครั้งก็ยังสู้ไม่ไหวอยู่ดี แต่ถ้าทำได้”
พอเห็นเยี่ยเว่ยหมิงเก็บยาไว้ในกระเป๋าแล้ว น้องดาบที่นั่งอยู่อีกฝั่งก็ทำสีหน้าเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
จากนั้น…
การประมูลขายยาลูกกลอนโชคลาภอมตะเม็ดที่สองก็เริ่มขึ้น นางหยิบเครื่องประมูลที่อยู่บนโต๊ะน้ำชาขึ้นมาอย่างอดใจรอไม่ไหว แล้วตะโกนว่า “สามร้อยเหรียญทอง!”
พอได้ยินเสียงนี้ บรรดาผู้เข้าร่วมงานประมูลก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจ แต่ตอนที่ผู้ดำเนินรายการประมูลเอ่ยชื่อว่ามาจากห้องส่วนตัวศาลาเจินสุ่ย กลับทำให้พวกขี้สงสัยในงานอดมองมาทางพวกเขาไม่ได้
ในห้องส่วนตัวมีเสียงของคนสองคน แม้จะไม่นับว่าแปลกมาก แต่ถ้าสองคนนี้เป็นชายหนึ่งหญิง หนึ่ง ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องที่ทำให้คนอยากรู้อยากเห็นได้อยู่แล้ว พอที่จะทำให้คนส่วนหนึ่งเกิดความสงสัย
พอเห็นน้องดาบเติมไพ่ใบสุดท้ายให้ตน เยี่ยเว่ยหมิงก็ยักไหล่อย่างไม่ถือสา
ยาลูกกลอนโชคลาภอมตะเม็ดที่สองนี้ เขาตัดสินใจจะไม่ไปแย่งกับน้องดาบแล้ว
ทว่าต่อให้เยี่ยเว่ยหมิงไม่แย่ง เสียงของคนที่เคยแย่งซื้อกับเขาก่อนหน้านี้กลับยังไม่ยอมแพ้
ดังนั้น ประวัติศาสตร์จึงซ้ำรอยอีกครั้ง
“สามร้อยห้าสิบ!”
“สี่ร้อย!”
“สี่ร้อยห้าสิบ!”
“ห้าร้อย!”
……
พอเงียบไปสองวินาที ในที่สุดผู้เล่นที่นั่งอยู่ในศาลาเจินถู่ก็อดพูดไม่ได้ว่า “สหายที่นั่งอยู่ในศาลาเจินสุ่ย การประมูลซื้อเมื่อครู่นี้ข้าก็หลีกทางให้ตามมารยาทครั้งหนึ่งแล้ว อย่าบอกนะว่าท่านจะไม่ไว้หน้ากันจริงๆ”
การแข่งประมูลซื้อระหว่างน้องดาบกับคนอื่น เดิมทีเยี่ยเว่ยหมิงเตรียมจะดูเอาสนุกเฉยๆ
แต่พฤติกรรมของอีกฝ่ายกลับทำให้เขาไม่พอใจจริงๆ
ในเมื่อเป็นงานประมูล เช่นนั้นทุกคนก็อาศัยความสามารถในการประมูลซื้อได้อยู่แล้ว ถ้าชอบสินค้าตัวไหน คนที่ให้ราคาสูงก็ได้ไป
การพูดจากระทบกระเทียบโดยมีเจตนาจะใช้ฐานะมาข่มคนอื่น เป็นพฤติกรรมที่น่าดูถูกที่สุดแล้ว
ในเมื่อในใจเริ่มหงุดหงิด เยี่ยเว่ยหมิงก็ไม่คิดจะไว้หน้าเขาแล้วเช่นกัน
ถึงขั้นไม่รอให้น้องดาบตอบ เขาก็ชิงคว้าเครื่องประมูลขึ้นมาก่อน แล้วใช้น้ำเสียงที่หงุดหงิดมากถามกลับว่า “เจ้าเป็นใครกัน”
น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเหนื่อยหน่ายและดูหมิ่น แสดงท่าทีชัดเจนว่าไม่เห็นอีกฝ่ายอยู่ในสายตา
ส่วนอีกฝ่ายก็เหมือนกำลังรอให้เขาเอ่ยคำถามนี้พอดี ไม่แสดงท่าทีโกรธเคืองอะไร กลับตอบด้วยน้ำเสียงสงบเยือกเย็นมากกว่า “เทียนหวังขอร้องเสือเจ้าถิ่น[1]”
เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วเงียบไปสองวินาที “เจดีย์สยบปีศาจน้ำ?”
[1] ล้อเลียนประโยคเดิมคือ เสือเจ้าถิ่นสยบต่อเทียนหวัง เจดีย์สยบปีศาจน้ำ (天王盖地虎 宝塔镇河妖) หมายถึงไม่ว่าจะเก่งแค่ไหนก็มีคนที่ฐานะสูงกว่ามากดขี่เสมอ เหมือนเสือเจ้าถิ่นแม้จะใหญ่แค่ไหนก็สู้เทียนหวังที่เป็นท้าวจตุโลกบาลไม่ได้