“กลับไปเถอะ ดึกมากแล้ว ไม่ต้องห่วงแม่ แม่จะรอหนูอรอีกสักพัก ถ้าเธอไม่กลับมาที่ร้าน แม่ก็จะปิดร้านและกลับไปพักที่บ้านเช่า”
ภายใต้การเร่งเร้าของพิชญ์สินี เทวิกาสองสามีภรรยาจึงทำได้เพียงพาญาณินกลับไป
พิชญ์สินียืนส่งหน้าประตูร้านและมองดูพวกเขาจากไป ก่อนจะหันหลังกลับเข้าไปในร้าน
“น้าพิชญ์สินี คุณเป็นคนดีจริงๆ ค่ะ”
น้องพนักงานยกนิ้วโป้งให้เธอ และกล่าวชมออกมาจากใจจริง: “พี่วิกาของหนูมีแม่อย่างน้าพิชญ์สินี ช่างโชคดีมาก และมีความสุขที่สุดเลย ขนาดแม่ของหนูยังไม่ดีเท่าน้าพิชญ์สินีที่เป็นแม่บุญธรรมเลย แม่ของหนูรู้แต่จะขอเงินจากหนู ให้เธอไปมากเท่าไหร่ เธอก็ไม่กล้าใช้ เก็บไว้ให้น้องชายของหนูใช้”
ทั้งที่เกิดมาจากพ่อแม่คนเดียวกัน แต่น้องชายของเธอกลับได้รับความรักจากพ่อแม่ไปจนหมด ส่วนเธอกลายเป็นแค่เครื่องกดเงินของพ่อแม่
“เราให้เงินเดือนแม่เราทั้งหมดเลยเหรอ”
“ไม่ค่ะ หนูโกหกแม่ว่าเงินเดือนไม่สูง แล้วให้เงินเดือนเธอแค่ครึ่งเดียว เก็บไว้เองครึ่งนึง เวลาทำงานในร้านก็ไม่ขาดแคลนอาหารและเครื่องดื่ม หนูก็เลยไม่ค่อยได้ใช้เงินอะไรมาก หนูเก็บออมไว้ ไม่กล้าบอกให้คนในครอบครัวรู้ ถ้าพวกเขารู้ พวกเขาจะเอาเงินทั้งหมดของหนูไปให้น้องชายของหนูใช้อย่างแน่นอน ตอนนี้น้องชายของหนูก็กำลังคบหาดูใจกับผู้หญิงคนหนึ่งอยู่”
“ถ้าจัดงานแต่งงาน ทั้งบ้าน ทั้งรถ ให้เขาถ้าพวกเขารู้ว่าหนูยังมีเงินเก็บ ที่หนูพยายามมาตลอดก็จะเปล่าประโยชน์? พวกเขาไม่รู้ว่าหนูยังมีเงินอยู่ในมือ ถึงตอนนั้น พวกพ่อแม่จะเต็มใจใช้เงินบำนาญเลี้ยงดูน้องชายของหนูไปจนแก่ตายก็แล้วแต่ อย่ามายุ่งกับหนูก็พอ”
“ส่วนเงินค่าเลี้ยงดูพวกเขา หนูก็จะให้เฉพาะส่วนของหนู จะไม่ให้มากกว่านี้แน่นอน”
ครอบครัวของน้องพนักงานเป็นพวกให้ความสำคัญกับลูกชายมากกว่าลูกสาว พ่อแม่ของเธอพยายามเลี้ยงดูเธอให้เป็นผู้ช่วยปีศาจ แต่โชคดีที่เธอยังมีสติสัมปชัญญะมากพอ และเธอรู้วิธีที่จะโกหกพ่อแม่ของเธอจนไม่ต้องให้เงินเดือนทั้งหมดของเธอไป
และรู้จักวางแผนสำหรับอนาคตของเธอเอง
พิชญ์สินี: “…แม่ของเราจะคิดว่าค่าจ้างที่นี่ต่ำเกินไป และบังคับให้เราลาออกจากที่นี่หรือเปล่า”
“เธอเคยบังคับค่ะ แต่เธอก็ต้องยอมแพ้อย่างรวดเร็ว เพราะพี่วิกาแต่งงานกับคุณพัฒน์ และกลายเป็นคุณนายของตระกูลอริยชัยกุล หลังจากที่แม่ของหนูรู้ เธอบอกว่าหนูอยู่กับพี่วิกาจะมีอนาคตที่ดี แฝถึงขนาดจินตนาการว่าหนูจะได้ดี ได้แต่งงานกับคนรวย”
พิชญ์สินี: “…”
“น้าพิชญ์สินี อย่ามองหนูแบบนี้สิคะ หนูไม่มีความคิดแบบนั้นเลย หนูรู้ว่าตัวเองเป็นใคร พี่วิกากับคุณพัฒน์รู้จักกันมานาน และหนูเองก็ไม่อยากแต่งงานกับคนรวยด้วย ตัวเองถูกแม่ดูดเลือดก็พอแล้วทำไมจะต้องดึงคนอื่นมาเดือดร้อนด้วย”
ถ้าเธอแต่งงานกับคนที่ร่ำรวย คนในครอบครัวของเธอจะตัองกลายร่างปลิงดูดเลือดคอยดูดเลือดเธอแน่นอน
“น้องพนักงาน หนูเป็นคนเงียบขรึมมาก น้าสนับสนุนเราที่คิดแบบนี้ น้าจะบอกพี่วิกาขอาเราพรุ่งนี้ว่าให้เพิ่มเงินเดือนเรา แต่อย่าบอกคนในครอบครัวของเราเรื่องที่ขึ้นเงินเดือน ตัวเองเก็บออมไว้ ในอนาคตถ้าแต่งงานมีลูกต้องใช้เงินเยอะมาก”
“ถ้าเก็บได้พอจ่ายเงินก้อนแรก ก็ซื้อบ้านก่อน แล้วค่อยแต่งงาน ถึงจะแค่ห้องขนาดเล็กก็ไม่เป็นไร ต้องวางแผนไว้ให้ตัวเองดีๆ”
“หนูก็มีความคิดแบบนั้นเหมือนกันค่ะ”
ในขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกัน กนกอรก็พานฤเบศวร์กลับมาถึง
กนกอรก็ปลดเข็มขัดนิรภัย พร้อมกับพูดด้วยความรู้สึกโชคดี: “โชคดีมาก ที่น้ำมันรถเพียงพอ”
นฤเบศวร์พูดกับเธอ: “เมื่อตะกี้คุณก็ขับผ่านปั๊มน้ำมัน ทำไมคุณไม่เข้าไปเติม”
“ก็ฉันลืม ทำไมคุณไม่เตือน”
นฤเบศวร์: “…”
เขาแอบยิ้มมาตลอดทาง ลืมไปเลย
“คุณยังจะนั่งอยู่ทำไม รีบลงจากรถสิคุณ”
กนกอรดุเขา แล้วลงจากรถไปก่อน
ถูกภรรยาดุ นฤเบศวร์จึงลูบจมูก แล้วบ่นพึมพำ: “ไฟอารมณ์เดือดมาตลอดทาง จนถึงตอนนี้ยังไม่ดับอีก”
กนกอรได้ยินเสียงบ่นพึมพำของเขา เธอหันกลับไปมองที่เขาและถามอย่างสงสัยว่า “คุณบ่นพึมพำอะไร”
นฤเบศวร์ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็ยกยิ้มอย่างประจบประแจง: “ผมกำลังพูดว่าคุณเป็นคนดีมาก ทั้งสวยทั้งใจดี นิสัยก็อ่อนโยน เป็นผู้หญิงที่ดีที่สุดในโลก ใครเห็นใครรัก ใครเห็นใครหลง … “
“พูด พูดต่อเลย ฉันฟังอยู่”
นฤเบศวร์เกาท้ายทอย ไม่สามารถพูดต่อไปได้
“แม้แต่พูดประจบสอพลอยังทำไม่ได้”
กนกอรหันหลังเดินเข้าไปในร้าน
นฤเบศวร์รีบเดินตามเข้าไปอย่างรวดเร็ว “ผมไม่มีประสบการณ์ในการพูดประจบสอพลอนี่นา”
“คุณจะทำอะไรได้อีกนอกจากกระโดดหน้าผาฆ่าตัวตาย”
“กนกอร ผมบอกแล้วไง ว่าผมไม่ได้คิดจะกระโดดหน้าผาฆ่าตัวตาย ผมแค่อยากอยู่เงียบๆ”
“อ๋อ”
นฤเบศวร์: “…คุณพูดแค่ อ๋อ อย่างนั้นเหรอ?”
“แล้วคุณอยากให้ฉันร้องอ๋ออีกกี่ครั้ง ฉันหิวจะตายอยู่แล้ว ไม่มีแรงจะพูดหรอกนะ รอฉันอิ่มก่อน แล้วคุณให้เงินฉันก่อน คุณจะให้ฉันอ๋อกี่ครั้งก็ได้ นี่คือบริการเสริม ต้องจ่ายเงิน”
นฤเบศวร์ปิดปากเงียบ
จุกอก
เธอกับเขาคุยกันทีไร ก็มีแต่เรื่องเงิน
คุยกันเรื่องเงินทำลายความรู้สึก
เธอทำร้ายความรู้สึกของพวกเขาทุกครั้งเลย
กนกอร: เรามีความรู้สึกด้วยเหรอ?
นฤเบศวร์ปิดปากเงียบ
“หนูอรกลับมาแล้วเหรอจ๊ะ”
ทั้งพิชญ์สินีและน้องพนักงานต่างก็เดินออกมาต้อนรับเธอ
เชฟทำขนมหวานบ้านอยู่ไกล จึงเลิกงานกลับบ้านไปแล้ว
“คุณน้าขา ที่ร้านมีอะไรกินไหมคะ หนูหิวมากเลย”
“มีสิจ๊ะ เดี๋ยวน้าไปเอามาให้ น้องพนักงาน เราไปซื้อของกินให้พี่อรของเราที”
พิชญ์สินีเดินไปหยิบของว่าง ส่วนน้องพนักงานก็รีบไปที่ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดใกล้ๆ เพื่อซื้ออาหารให้ทั้งสองคน
“มาลูก มากินขนมรองท้องกันก่อน”
พิชญ์สินียกถาดวางขนมออกมา แล้ววางลงบนโต๊ะ ก่อนจะเทน้ำอุ่นหนึ่งแก้วให้กนกอร พร้อมกับบอกให้กนกอรดื่มน้ำก่อนกินของว่าง เพราะกลัวว่าคอเธอจะแห้งเกินไปแล้วขนมจะติดคอ
ในเวลาเดียวกัน เธอก็ยื่นทิชชู่เปียกให้กนกอร เพื่อเช็ดมือก่อนทานอาหารว่าง
แต่นฤเบศวร์ไม่ได้รับการปฏิบัติที่ดีเท่าไหร่
พิชญ์สินีไม่เหลียวแลเขาเลย อย่าว่าแต่จะเทน้ำให้เขาดื่ม
นฤเบศวร์รู้สึกผิดและไม่กล้าให้แม่สามีของคู่แข่งมาปรนนิบัติเขา เขาเทน้ำอุ่นใส่แก้ว แล้วดื่มจนหมด ก่อนจะเทน้ำใส่แก้วเพิ่ม จากนั้นก็เดินกลับไปที่โต๊ะของกนกอรพร้อมแก้วน้ำ เขานั่งลงเงียบ ๆ
แม้แต่เก้าอี้ยังไม่กล้านั่งกินพื้นที่ ได้แค่นั่งขอบเก้าอี้
ถ้าพิชญ์สินีดุเขา เขาจะได้ลุกขึ้นยืนเร็วๆ
นฤเบศวร์เองก็หิวมากเช่นกัน
เขาไม่ชอบกินของหวาน แต่ตอนนี้เขาหิวมาก จึงลืมว่าไม่ชอบไป เขาเอื้อมมือไปหยิบขนม แต่ถูกพิชญ์สินีตบมือออก
เขามองไปที่พิชญ์สินีอย่างน้อยใจและน่าสงสาร
เขาเม้มปาก ก่อนจะพูดเสียงเบา: “น้าพิชญ์สินี ผม ผมก็หิวมากครับ”
“คุณหิวแล้วเกี่ยวอะไรกับฉันด้วย คุณสมควรอดตาย ถ้าคุณอยากกิน ก็รอจนกว่าหนูอรจะกินอิ่มส่วนที่เหลือคุณก็กินได้”
หลังจากที่พิชญ์สินีดุว่าเสร็จ เธอก็หันหลังเดินจากไปพร้อมกับพูดลอยๆ “จะกินอะไรไม่ยอมล้างมือ แล้วยังอยากกินอีก เด็กอนุบาลยังรู้จักล้างมือก่อนรับประทานอาหาร แม้แต่เด็กอายุสามขวบ ยังเก่งกว่าคุณอีก หึ!”
ใบหน้าของนฤเบศวร์กลายเป็นสีแดงก่ำไปทันที
แม่ยายของยศพัฒน์นี่ด่าคนโดยไม่ใช้คำหยาบคายเลย แต่กลับด่าจนทำให้เขาหน้าแดงไปเลย
เขามองไปทางกนกอรที่กำลังกินของว่างอย่างเอร็ดอร่อย ก่อนจะพูดกับเธอว่า: “คุณก็ไม่ได้ล้างมือ ทำไมน้าพิชญ์สินีถึงไม่ดุคุณ”
“ในสายตาของคุณน้าฉันก็เหมือนลูกสาวคนหนึ่ง คุณเป็นอะไรกับคุณน้า ถึงได้เอาตัวเองมาเปรียบเทียบกับฉัน คิดว่าหน้าคุณใหญ่พอหรือไง”
นฤเบศวร์: “…”
เขาแค่ไปที่ขอบหน้าผาเพื่อสงบสติอารมณ์ ทำเหมือนเขาทำเรื่องที่ร้ายแรง จนไม่มีสิทธิ์ได้รับการเอาใจใส่