“มิลินท์!”
กษิดิหลุดออกจากภวังค์ พลันตวาดเสียงต่ำ
มิลินท์ที่เดินออกจากห้องสมุดแล้วพลันชะงักฝีเท้า ก่อนจะหันศีรษะไปมองเล็กน้อย แล้วยิ้มเอ่ยว่า “ตอบสนองช้าจริงๆ เพียงแต่ท่าทางซื่อบื้อนี่ ฉันชอบ แสดงว่า เขายังบริสุทธิ์มาก”
ไม่เคยมีประสบการณ์ชายหญิงอะไรทั้งนั้น
มิลินท์พอใจกับความไร้เดียงสาของกระต่ายของเธอมาก ก่อนจะหัวเราะเดินลงบันไดไปโดยไม่สนใจว่ากษิดิจะคลุ้มคลั่งยังไง
กษิดิพุ่งตัวออกมา ไม่ใช่ ล้มออกมาต่างหาก
เพราะบนพื้นมีถั่วเหลืองกระจัดกระจายไปทั่ว
เขาเหยียบถั่วเหลืองออกมาอย่างร้อนรน พลันควบคุมถั่วเหลืองที่อยู่ใต้เท้าไม่ได้ จึงถูกพวกถั่วเหลืองร่วมแรงร่วมใจกันคว่ำลงบนพื้น
ล้มเหมือนหมาหิวโซที่กระโจนใส่อาหาร
ยังดี ที่ไม่มีใครเห็นสภาพน่าอายของเขา
กษิดิคลานลุกขึ้นมาจากพื้น พลันรีบพุ่งไปยังปากบันได แล้วมองลงไป เห็นมิลินท์กำลังพูดอะไรบางอย่างกับพี่วิว แล้วทั้งคู่ก็หัวเราะ
“ยัยทอม จู่ ๆก็มาจูบฉันโดยไม่บอกกันสักคำ ฉันยังไม่ทันได้หวนคิดถึงรสจูบ เธอก็ถอยออกไปแล้ว เธอมันเจ้าเล่ห์ ไม่ยุติธรรม!”
กษิดิเดินวนไปมาที่ปากบันไดอย่างหงุดหงิด
แล้วด่าตัวเองว่า “นายเอ๋ออะไรของนาย ซื่อบื้อชะมัด ยัยนั่นจูบนาย โอกาสนี้หายากขนาดไหนกัน แต่นายกลับยืนเอ๋อ พลาดโอกาสที่จะเป็นฝ่ายรุกกลับ ซ้ำยังถูกรังเกียจว่ารสจูบไม่หอมหวานอีกต่างหาก! กลิ่นต้นหอม?”
“คราวหลังใครกล้าใส่ต้นหอมในอาหารฉันอีก ก็คือเป็นศัตรูกับฉัน!”
คุณชายที่ถูกมิลินท์รังเกียจว่าในปากมีกลิ่นต้นหอม สาบานว่าจากนี้ไปจะไม่กินต้นหอมอีก และไม่อนุญาตให้ใครใส่ต้นหอมในอาหารอีกเด็ดขาด
คุณชายที่ยังไม่ได้ลิ้มลองรสจูบที่แท้จริงเดินวนไปมาอยู่ที่เดิมหลายครั้ง จึงจะยอมรับความจริงอย่างรู้สึกเสียดาย
จบแล้ว!
จูบแรกของเขาจบลงทั้งแบบนี้แล้ว!
“พี่วิว!”
กษิดิตะโกนลงไปชั้นล่าง
พี่วิวรีบตอบทันทีว่า “คุณชายสอง มีอะไรเหรอคะ?”
“ให้คนขึ้นมาเก็บกวาดถั่วเหลืองในห้องสมุดผมให้สะอาด ห้ามเหลือไว้แม้แต่เม็ดเดียว! ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป คั้นน้ำเต้าหู้สดใหม่ให้ผมดื่ม!”
เอาถั่วเหลืองไปแช่น้ำแล้วคั้นเป็นน้ำเต้าหู้ให้หมด ห้ามให้มิลินท์เอามาแกล้งเขาอีก!
“ได้ค่ะ ฉันจะไปเดี๋ยวนี้”
พี่วิวตอบรับ ก่อนจะพูดอะไรบางอย่างกับมิลินท์ แล้วรีบขึ้นบันไดไปเก็บกวาดถั่วเหลือง
มิลินท์เงยหน้าขึ้นมองกษิดิ เผยรอยยิ้มสดใสดุจพระอาทิตย์ จากนั้นก็ส่งจูบให้เขา ไม่รอให้เขาตอบ เธอก็เดินจากไปแล้ว
กษิดิ “……”
ยัยทอมบัดซบ!
จีบเขาแล้วก็หนี!
……
ตอนเย็น คนที่ไปเดินชอปปิงก็กลับมากันแล้ว
เพียงแต่พวกแม่ๆกลับไปที่ One Day In coffee เทวิการู้สึกพวกแม่เดินชอปปิงมาทั้งวันก็เหนื่อยแล้ว จึงเกลี้ยกล่อมให้พวกเธอกลับบ้านไปพักผ่อน
ญาณินนั่งเงียบไม่ตอบ
ส่วนพิชญ์สินีกับณัชชาก็มองเทวิกา แสดงเจตนาอย่างชัดเจน
เทวิกาเข้าใจดี เธอนั่งลงข้างกายแม่แท้ๆ แล้วยิ้มเอ่ยว่า “แม่ เดินชอปปิงมาทั้งวันแล้ว ได้อะไรกลับมาบ้างเหรอคะ”
“ซื้อเสื้อผ้ามาเยอะแยะเลยล่ะ อยู่ในรถแม่สามีเธอ มันเยอะเกินไป แม่ก็เลยขี้เกียจเอาลงมา”
“ไม่เลวเลย ได้กลับมาเยอะเชียว”
“เสื้อผ้าที่แม่หนูซื้อมาต้องดูดีมากแน่ ๆ หนูอดใจรอเห็นแม่ใส่เสื้อผ้าสวยๆไม่ไหวแล้ว”
ญาณินหัวเราะ แล้วยิ้มเอ่ยว่า “ฉันซื้อมาให้เธอต่างหาก”
เทวิกาอึ้งชะงัก “ซื้อมาให้หนู? ให้หนูหมดเลยเหรอคะ?”
“นอกจากเธอแล้วจะยังมีใครอีก? เสื้อผ้าของพี่ชายเธอเยอะจนยัดเก็บใส่ในตู้ไม่ได้แล้ว อีกอย่างเขาช่างเลือกมากๆ ปกติเสื้อผ้าที่เขาใส่ก็เป็นเสื้อที่ดีไซเนอร์แบรนด์ดังตัดเย็บให้เขาโดยเฉพาะ แม่ก็เลยต้องซื้อให้เธอคนเดียว”
“แม่ก็อยากซื้อให้พัฒน์นะ แต่แม่ไม่รู้ไซส์ของพัฒน์ แม่สามีเธอก็ไม่แน่ใจ ก็เลยยังไม่ซื้อก่อน รอวันหลังค่อยซื้อให้พัฒน์อีกที”
เทวิกา “ขอบคุณค่ะแม่ แม่ แม่ดีมากจริงๆ”
เธอเองก็มีเสื้อผ้าเยอะแยะ ใส่ยังไงก็ใส่ไม่หมด แต่เธอไม่กล้าพูดอะไร แม่รู้สึกติดค้างเธอมาก กำลังพยายามชดเชยเธอ ต่อให้แม่จะย้ายร้านเสื้อผ้าพวกนั้นกลับมาให้เธอ เธอก็ต้องยิ้มรับ
“แม่ ฟ้าก็จะมืดแล้ว ร้านหนูเองก็ไม่ยุ่งแล้ว แม่กลับไปพักผ่อนก่อนดีไหม?”
ญาณินเม้มปาก เอ่ยว่า “แม่ไม่อยากเจอพ่อเธอ วิกา เธอกับพัฒน์บอกว่าพรุ่งนี้จะไปพักผ่อนกันที่เกาะส่วนตัว ถ้าพ่อเธอจะไปด้วย งั้นแม่ก็ไม่ไปแล้ว”
“พ่องานยุ่งขนาดนั้น พรุ่งนี้ เขาอาจจะกลับเมืองซูเพร่าก็ได้ แม่ แม่ไม่จำเป็นต้องกลับคฤหัสถ์เมเปิลสักหน่อย กลับคฤหาสต์ที่แม่ไปพักเมื่อวานก็ได้ แค่นี้พ่อก็ไม่เจอแม่แล้ว”
ตอนนี้เทวิกาทำได้เพียงเกลี้ยกล่อมให้แม่กลับไปพักผ่อน ส่วนพรุ่งนี้จะพาพ่อไปด้วยหรือไม่ เธอยังต้องคุยกับพี่ชายอีกที
ฝั่งหนึ่งคือพ่อฝั่งหนึ่งคือแม่ เธอเองก็ลำบากใจเหมือนกัน
เทวิกามองไปที่แม่สามีตัวเอง แล้วอ้อนวอนว่า “แม่คะ ต้องรบกวนแม่พาแม่ทั้งสองคนของหนูไปพักผ่อนที่คฤหาสต์ของพัฒน์ที่คอนโดกรีนทาวน์แล้ว”
ณัชชายิ้มเอ่ยว่า “รบกวนอะไรกัน พอดีเลย ฉันจะได้อยู่เป็นเพื่อนแม่เธอ วิกา พวกเธอไปทำงานเถอะ ฉันจะพาแม่เธอไปแล้ว”
ตราบใดที่ไม่ได้กลับคฤหัสถ์เมเปิล ญาณินก็ไม่ติดอะไร
หลังจากส่งแม่ทั้งสามคนกลับไป เทวิกาก็เอ่ยกับเพื่อนรักว่า “คนหนึ่งเป็นพ่อฉัน คนหนึ่งเป็นแม่ฉัน ไม่ว่าฉันจะช่วยใครก็ต้องมีฝ่ายหนึ่งที่เสียใจ เรื่องของพวกเขา ฉันก็ตัดสินใจแทนพวกเขาไม่ได้”
เทวิกาหยุดครู่หนึ่ง แล้วถอนหายใจเอ่ยว่า “พูดตามตรง ฉันก็ยังคงหวังว่าพ่อฉันจะไม่บีบบังคับแม่ แม่ฉันเพิ่งฟื้นฟูความทรงจำ ต้องให้เธอได้ใช้ชีวิตอย่างสบายใจก่อน ส่วนปัญหาชีวิตคู่ของพวกเขา ก็สามารถจัดการทีหลังได้”
เมืองซูเพร่ายังมีพลอยอีกคน
พ่อเธอยังไม่ได้ตัดขาดกับพลอยอย่างสิ้นเชิง ก็อยากจะกลับไปหายัยนั่นอีกแล้ว ก็โทษแม่เธอไม่ได้ที่ไม่ยอมเจอหน้าพ่อเธอ
กนกอรตบบ่าเทวิกา “ฉันเข้าใจเธอ”
ทั้งคู่กลับมานั่งที่หน้าเคาน์เตอร์คิดเงิน
ตอนบ่ายนฤเบศวร์ถูกโทรเรียกตัวไป เหมือนว่าบริษัทจะมีเรื่องด่วนให้เขาจัดการนิดหน่อย ก่อนไปเขาก็บอกกนกอรว่า ถ้าเลิกงานแล้วจะพาเธอไปกินข้าว
“ฉันโทรหาพี่รองฉันก่อน จะคุยเรื่องพ่อแม่ฉัน”
ชเนนทร์เองก็เป็นพี่ ประยสย์เองก็เป็นพี่ เทวิการู้สึกว่าหากเรียกทั้งคู่ว่าพี่ก็จะงงได้ง่าย งั้นเรียกพี่ใหญ่กับพี่รองดีกว่า
“อืม เธอคุยโทรศัพท์เถอะ หนุ่มหล่อคนนั้นมาอีกแล้ว”
ทันทีที่กนกอรเห็นกันตภณเข้ามา เธอก็รีบเดินอ้อมออกจากเคาน์เตอร์คิดเงิน แล้วเดินไปต้อนรับหน้ายิ้มๆ
หากนฤเบศวร์เห็นฉากนี้ คงหึงจนไม่รู้จะยังไงแล้ว
เทวิกามองกันตภณครู่หนึ่ง แล้วจึงจะคุยกับพี่ชาย
เธอเล่าเรื่องที่จะไปพักผ่อนให้พี่ชายฟัง
ประยสย์ฟังแล้วก็เอ่ยว่า “วิกา พ่อเองก็กลับไปที่คฤหัสถ์แล้ว พี่จะไปคุยกับพ่อดีๆ ที่เมืองซูเพร่ายังมีเรื่องให้ต้องทำอีกเยอะ พ่อก็อยู่ที่นี่ไปตลอดไม่ได้หรอก บอกแม่ว่า กินให้อิ่ม เที่ยวให้สนุก ที่นี่ไม่มีใครเอากฎของตระกูลมากดทับแม่ ย่าเองก็ตำหนิแม่ไม่ได้ เที่ยวให้สนุกก็พอ”
ตอนที่อยู่ในตระกูลสาระทา ญาณินไม่เคยได้ใช้ชีวิตอย่างสบายใจเลย
ก่อนที่จะกลายเป็นบ้า เธอก็ถูกผูกมัดด้วยกฎของครอบครัวสามี นี่ก็ทำไม่ได้ นั่นก็ทำไม่ได้ เหมือนนกคีรีบูนในกรง แม้จะร่ำรวยสูงศักดิ์ แต่กลับไม่มีอิสระ
หลังจากที่กลายเป็นบ้า ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง นอกจากประยสย์ ลูกชายแท้ๆที่จริงใจกับเธอ คนอื่นๆแค่ไม่กลั่นแกล้งเธอก็ถือว่าดีมากแล้ว
“พี่จะบอกให้พ่อกลับเมืองซูเพร่าก่อน ให้แม่ได้ใช้ชีวิตอย่างสบายใจไม่กี่วัน”
ความคิดตรงกันสมกับเป็นพี่น้องฝาแฝด