รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 2 ติดตามอาการ

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 2 ติดตามอาการ

เมื่อเข็มวินาทีของนาฬิกาแขวนเรือนเก่าคร่ำคร่าจนเหมือนจะหยุดเดินได้ทุกขณะที่แขวนไว้ในศูนย์กิจกรรมส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดหมุนผ่านไปสามรอบครึ่ง ในที่สุดบนหน้าจอ LCD มีข้อความปรากฏขึ้นมา

เมิ่งเซี่ยและคนอื่นๆ ต่างรีบมองหาชื่อของตัวเองอย่างรวดเร็ว จากนั้นพากันทยอยถอนหายใจอย่างโล่งอก

ส่วนใหญ่ไม่ได้รู้สึกยินดียินร้ายหรือตื่นเต้นอะไร แต่ก็ไม่ได้ถึงกับรู้สึกดีมีความสุขเช่นกัน สำหรับพวกเขาแล้วเรื่องนี้ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับการทำข้อสอบ ขอเพียงผลที่ออกมาไม่ได้ย่ำแย่จนเกินไปก็ถือว่าดีแล้ว ถึงอย่างไรทั้งพ่อแม่ปู่ย่าตายายของพวกเขาเองต่างก็เคยผ่านเรื่องแบบนี้มาแล้วเช่นกัน

คนที่เหลือต่างก็ทวีความอยากรู้อยากเห็นมากยิ่งขึ้น นั่นเพราะพวกเขาไม่รู้ว่าคนที่จะต้องแต่งงานด้วยนั้นเป็นใคร มาจากชั้นไหน พ่อแม่ทำงานอยู่แผนกอะไร แม้ว่าพวกเขาจะได้เข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยและได้รับการศึกษาที่สูงขึ้น แต่คนที่พวกเขารู้จักนั้นก็ยังคงจำกัดอยู่เพียงแค่เพื่อนร่วมห้องเรียนและ ‘เพื่อนบ้าน’ ที่พักอยู่ชั้นเดียวกันเท่านั้น

หลงเยว่หงกวาดสายตามองขึ้นลงอย่างตั้งใจอยู่หลายรอบ อดพึมพำขึ้นไม่ได้

“ทำไมถึงไม่มีชื่อฉันล่ะ”

“ก็เพราะว่าชื่อนายไม่ดีพอนะสิ” ซางเจี้ยนเย่าที่ยืนอยู่ข้างเขานั้น ยังคงมีสีหน้าอารมณ์ไม่เปลี่ยนไปจากก่อนหน้า

“…” หลงเยว่หงอยากจะแย้ง แต่น่าเศร้าที่เขาพบว่าตัวเองก็เห็นด้วยกับข้อสรุปของอีกฝ่าย

การจัดสรรจับคู่แต่งงานในครั้งนี้มีหลายพันคนที่ถูกบังคับให้เข้าร่วม มีชายมากกว่าหญิงเพียงแค่สองคนเท่านั้น หากไม่ใช่เพราะชะตาชีวิตไม่ดี ชื่อตัวไม่ดี โชคไม่ดี ไหนเลยจะได้เป็นสองผีดวงกุดแบบนี้

หลงเยว่หงนิ่งไปชั่วครู่ แล้วโพล่งขึ้น

“ชื่อนายก็ไม่มี!”

เขาไม่เห็นว่าชื่อของซางเจี้ยนเย่าจับคู่กับผู้หญิงคนไหนได้สำเร็จ

ซางเจี้ยนเย่าเลิกคิ้วขวาขึ้นแล้วพูด

“ก็บอกไปแล้วไม่ใช่หรือไงว่าฉันแจ้งความประสงค์ไปแล้วว่าไม่ขอเข้าร่วมการจับคู่แต่งงานในครั้งนี้”

“นี่… นี่… จริงเหรอ แล้วไหงบริษัทถึงได้อนุมัติ…” หลงเยว่หงทั้งอึ้งทั้งงง รู้สึกเหมือนโลกพลิกกลับตาลปัตรไปแล้ว

เขามีชีวิตมา 21 ปีแล้ว ที่ผ่านมาก็เคยได้ยินว่ามีคนที่ถึงเกณฑ์แล้วแต่ไม่ได้เข้าร่วมการจัดสรรจับคู่แต่งงาน แต่นั่นก็เพราะมีสาเหตุอยู่ อีกฝ่ายนั้นป่วยติดเตียงนอนแบ็บไม่รู้ตายวันตายพรุ่ง หรือไม่ก็อยู่ในทีมปฏิบัติการภายนอกของแผนกความมั่นคง ที่ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตรอดกลับมาได้หรือเปล่า

คนทั่วไปที่สุขภาพพลานามัยแข็งแรงสมบูรณ์ ย่อมต้องทำตามกฎของบริษัท ไม่มีใครกล้าฝ่าฝืน

นี่เป็นหนึ่งในภาระหน้าที่หลักของผู้ที่เป็นพนักงานบริษัท

ความโศกเศร้าของหลงเยว่หงถูกขจัดปัดเป่าทิ้งไปเพราะเรื่องนี้ เขามองซางเจี้ยนเย่าแล้วพูด

“นายเตรียมใจรับการถูกตัดการปันส่วนพลังงานแล้วใช่ไหม

“นั่นยังไม่แย่เท่าไหร่ ที่น่ากลัวที่สุดก็คือถูกลดแต้มส่วนร่วม นายจะมีอาหารไม่พอยาไส้! พวกเราที่เป็นระดับ D1 ได้รับเพียงแค่ 1,800 แต้มต่อเดือนเท่านั้น มีพอแค่ได้กินเนื้อสัปดาห์ละครั้ง ถ้าถูกลดแต้มละก็ อาหารแต่ละมื้อจะน้อยลงไปอีกหนึ่งในสามส่วน คิดอะไรของนายกันเนี่ย”

“บริษัทยอมรับเรื่องนี้ ไม่โดนลดแต้ม” ซางเจี้ยนเย่าตอบด้วยรอยยิ้ม

“ไม่ เป็นไปไม่ได้ ไม่มีทาง…” หลงเยว่หงพึมพำกับตัวเอง แล้วจากนั้นก็ตระหนักถึงเรื่องหนึ่งได้

ถ้าหากว่าซางเจี้ยนเย่าไม่ได้เข้าร่วมการจัดสรรจับคู่แต่งงานในรอบนี้จริงๆ งั้นก็แปลว่าผู้ชายที่เข้าร่วมการจับคู่ครั้งนี้ก็มีมากกว่าผู้หญิงเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น

มากกว่าแค่คนเดียวเท่านั้น…

งั้น… ฉัน… ฉันก็คือไอ้คนดวงกุดคนนั้น… หลงเย่วหงอ้าปากค้าง ความโศกเศร้าอย่างรุนแรงพลุ่งพล่านอยู่ในใจ

ตอนนี้หน้าจอแสดงผลเปลี่ยนไป กลายเป็นหน้าแนะนำข้อมูลพื้นฐานโดยสังเขปของผู้อาศัยในชั้นนี้ที่จับคู่ได้สำเร็จ เพื่อที่จะได้หาอีกฝ่ายเจอและไปที่ ‘สำนักงานควบคุมระเบียบ’ ในแต่ละสาขาของ ‘แผนกควบคุมระเบียบ’ เพื่อจดทะเบียนสมรส

“เมิ่งเซี่ย สามีเธอเป็นคนภายนอก!” หลังจากแต่ละคนมองดูหน้าจอกันมาพักหนึ่ง จู่ๆ หญิงสาวด้านข้างก็ร้องอุทานขึ้น

สีหน้าเมิ่งเซี่ยเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย ดวงตาวูบไหวอยู่บ้างพลางพึมพำ

“จางเหล่ย – เพศชาย – ชาติกำเนิด คนเร่ร่อนแดนร้าง – อายุ 25 ปี – ถูกบริษัทดูดซับไว้เมื่อสามปีก่อน ทำผลงานได้ดี – ไม่มีปัญหาสุขภาพ – ที่อยู่ ห้อง 192 เขต A ชั้น 622 – ระดับพนักงาน D4 – หมายเลขบัตรอิเล็กทรอนิกส์ 04311029189…”

“มีคนภายนอกจริงๆ ด้วย…” หลงเยว่หงก็ถูกเรื่องนี้ดึงดูดความสนใจเช่นกัน เริ่มพูดคุยกับสหายข้างกาย

พวกเขาต่างก็รู้ว่าบริษัทจะดูดซับคนเร่ร่อนจากแดนร้างเข้ามาเป็นระยะเพื่อเพิ่มจำนวนประชากรและความสมบูรณ์ของพันธุกรรม แต่เนื่องจากผู้ที่อาศัยอยู่ในชั้นนี้ไม่เคยร่วมงานกับคนภายนอกมาก่อน ทั้งยังไม่เคยมีใครแต่งงานกับพวกเขาด้วย ดังนั้นทุกคนจึงรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่น่าสนใจใคร่อยากรู้อยากเห็น

“เมิ่งเซี่ย เรื่องนี้ก็ไม่ได้แย่หรอกนะ ถึงแม้ว่าเขาจะเคยเป็นคนเร่ร่อนแดนร้างมาก่อน แต่ตอนนี้เขาได้เป็นพนักงานระดับ D4 แล้ว เพิ่งจะอายุ 25 เอง เก่งชะมัด!” หญิงสาวเสื้อเขียวกางเกงน้ำเงินปลอบเพื่อน

ระดับ D4 นั้นแปลว่าเขาไต่เต้าจากพนักงานธรรมดาขึ้นเป็นระดับอาวุโส เป็นพนักงานชั้นสูง สามารถดำรงตำแหน่งรองหัวหน้าโครงการวิจัยขนาดเล็ก หัวหน้าสายการผลิตของโรงงาน รองหัวหน้าทีมในแผนกความมั่นคง หรือไม่ก็เจ้าหน้าที่ควบคุมระเบียบของเขตเขตหนึ่งได้เลย แต่ละเดือนก็ยังได้รับแต้มส่วนร่วมมากกว่าระดับ D1 ไม่ต่ำกว่า 2,000 แต้ม

“แต่ว่าการปรับปรุงพันธุกรรมในผู้ใหญ่นั้นมีผลไม่มากนัก…” ชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆ หลงเยว่หงอีกด้านพึมพำ

แล้วเขาก็มองเห็นข้อมูลของคนที่ถูกจับคู่กับตนเอง

“โจวฉี – เพศหญิง – ชาติกำเนิด พนักงานภายใน – อายุ 30 ปี – เคยมีสามีหนึ่งครั้งแต่เสียชีวิตไปแล้วเมื่อ 5 ปีก่อน กำลังเลี้ยงดูบุตรชายหนึ่งคน – สมัครเข้าร่วมการจัดสรรจับคู่แต่งงานในครั้งนี้ – ไม่มีปัญหาสุขภาพ – ที่อยู่ ห้อง 27 เขต B ชั้น 569 – ระดับพนักงาน D4 – หมายเลขบัตรอิเล็กทรอนิกส์ 01609052558…”

“หยางเจิ้นหย่วน เมียนายแก่กว่านาย 10 ปี…” หลงเยว่หงก็เห็นข้อมูลเช่นกัน

หยางเจิ้นหย่วนก็เหมือนกับเพื่อนร่วมงานส่วนใหญ่ของเขาในบริษัท ใบหน้าขาวสะอาด ร่างกายแข็งแรง รูปร่างไม่เลว เพียงแต่ว่าลักษณะบอบบางสักหน่อย และมองดูเหมือนเป็นคนเก็บตัว

พอได้ยินหลงเยว่หงพูดเช่นนั้น หยางเจิ้นหย่วนหน้าแดงระเรื่อ ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างแต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกมา

ผ่านไปครู่หนึ่ง เมื่อทุกคนต่างจดจำข้อมูลของตนเองได้แล้วทยอยเดินออกจากศูนย์กิจกรรมไปคนแล้วคนเล่า เพื่อเตรียมตัวไปหาว่าที่คู่ชีวิตของตัวเอง หรือไม่ก็กลับบ้านไปรอให้อีกฝ่ายเดินทางมาหา

ในตอนนั้นเอง ภายในห้องโถงซึ่งเหลืออยู่เพียงแค่ห้าหกคน ก็พลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้น

“ใครคือหยางเจิ้นหย่วน”

“ผมเอง มีอะไรเหรอ” หยางเจิ้นหย่วนที่กำลังคุยอยู่กับหลงเยว่หงและซางเจี้ยนเย่าหันไปมองที่ประตูโดยอัตโนมัติ

ผู้ที่เดินผ่านประตูเข้ามาในศูนย์กิจกรรมเป็นหญิงสาวผู้หนึ่ง รูปลักษณ์เป็นหญิงสาวที่เติบใหญ่และมีเสน่ห์ แม้ว่าจะสวมเสื้อผ้าเรียบง่าย แต่ก็ไม่อาจบดบังรูปร่างอันน่าตรึงใจของเธอได้

“ฉันชื่อโจวฉี” หญิงสาวมองที่หยางเจิ้นหย่วนแล้วพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ไปคุยกันที่บ้านคุณดีไหม”

ตอนแรกหยางเจิ้นหย่วนรู้สึกประหลาดใจ แต่ก็รีบพยักหน้าโดยเร็ว

“ได้ ได้”

“จะไปตอนนี้กันเลยไหม” โจวฉียิ้มแย้มราวดอกไม้ผลิบาน

“ได้ ได้” หยางเจิ้นหย่วนพูดพลางรีบเดินไปพลาง

หลงเยว่หงมองดูคนทั้งคู่เดินออกไปจากศูนย์กิจกรรม อดทอดถอนใจไม่ได้

“ฉันจะทำอะไรต่อไปดี”

ซางเจี้ยนเย่าหันมามองเขาอย่างเคร่งขรึม

“มีเรื่องใหญ่รอนายอยู่”

“…” กล้ามเนื้อบนใบหน้าหลงเยว่หงถึงกับกระตุก “พูดจาภาษาคนหน่อยสิ!”

ซางเจี้ยนเย่ายิ้มแล้วพูดว่า

“รอการจัดสรรจับคู่ปีหน้า”

“แหงล่ะ” หลงเยว่หงทอดถอนใจ “เฮ้อ ช่างเถอะ ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว หวังว่าพรุ่งนี้ฉันจะได้จัดสรรบรรจุงานในตำแหน่งที่ดีๆ แล้วก็นะ ฉันรู้สึกว่านายไม่ค่อยปกติขึ้นทุกที หมายถึงสมองน่ะ”

พูดแล้วเขาก็ชี้ไปที่ขมับตัวเอง

สิ่งสำคัญที่สุดถัดจากนี้สำหรับพวกเขาก็คือการบรรจุงาน ซึ่งนี่จะเป็นตัวกำหนดอนาคตของพวกเขาโดยตรง นอกเสียจากว่าใครมีทักษะความเชี่ยวชาญพิเศษในบางเรื่องและถูกแผนกที่เกี่ยวข้องจองตัวไว้แล้ว ไม่อย่างนั้นหลังจากสำเร็จการศึกษาระดับสูงแล้วก็ล้วนแต่ต้องรอการจัดสรรบรรจุงานทั้งสิ้น

ซางเจี้ยนเย่ายังไม่ทันได้ตอบอะไร หลงเยว่หงก็เห็นเฉินเสียนอวี่ที่เป็นผู้รับผิดชอบศูนย์กิจกรรมของชั้นนี้ปิดหน้าจอแสดงผล ในมือเขาถือแก้วน้ำโลหะทรงกระบอกที่ขุดคุ้ยมาจากซากปรักจากโลกเก่าเดินก้าวเข้ามา จึงถามขึ้นอย่างกังวลอยู่บ้าง

“ปู่เฉิน ปู่คิดว่าพวกเราน่าจะได้เข้าไปอยู่แผนกไหนเหรอ”

เฉินเสียนอวี่กระแอม

“เท่าที่ฉันรู้นะ พวกที่เพิ่งแต่งงาน กำลังจะมีลูก จะได้รับการบรรจุเข้าตำแหน่งภายในที่ค่อนข้างปลอดภัย ส่วนคนที่ไม่ถูกเลือกจับคู่ หรือยังไม่จำเป็นต้องมีลูกตอนนี้ จะถูกบรรจุในตำแหน่งชั่วคราวที่อาจมีอันตรายบ้าง”

หลงเยว่หงแทบทรุด

“ฉัน… ฉันต้องรีบกลับบ้านไปบอกพ่อแม่เรื่องผลการจับคู่แต่งงาน”

เขาไม่รอคำตอบจากซางเจี้ยนเย่า รีบเดินออกจากศูนย์กิจกรรมด้วยสีหน้าเศร้าหมอง

“พ่อแม่นายยังไม่เลิกงานซะหน่อย…” ซางเจี้ยนเย่าพึมพำแล้วเดินออกจากห้องไปสู่ทางเดินด้านนอก

ที่นี่คืออาคารใต้ดินชั้น 495 ไม่มีท้องฟ้า มีเพียงเพดานสูงสี่เมตรที่ติดตั้งหลอดไฟยาวไว้เป็นระยะเพื่อให้ความสว่าง

สำหรับพนักงานภายในของบริษัท ช่วงเวลาที่ไฟส่องทางเปิดอยู่นั่นหมายถึงเวลากลางวัน ถ้าไฟดับก็แปลว่าเป็นเวลากลางคืน

ซางเจี้ยนเย่ามองที่ไฟส่องทางเบื้องหน้าก่อนจะเดินเลี้ยวเข้าไปในสถานที่อื่นของเขต C

ทั้งสองฝั่งของทางเดินเป็นห้อง แต่ละห้องอยู่ใกล้ๆ กัน มีช่องว่างราวสองเมตร สร้างยาวต่อเนื่องไปตลอดแนวราวกับเป็นรังผึ้งในหนังสือเรียนที่สร้างไว้ตามแนวราบ

เมื่อเทียบกันแล้ว ศูนย์กิจกรรมนั้นมีพื้นที่กว้างขวางราวกับเป็นลานจตุรัส

หลังจากเดินไปจนสุด ‘ถนน’ สองสายแล้ว พื้นที่โล่งกว้างก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้าซางเจี้ยนเย่า มีลิฟต์ติดตั้งอยู่ 12 ตัว

พวกนี้คือลิฟต์ที่พาไปยัง ‘เขตค้นคว้าวิจัย’

นี่เป็นอาคารที่สร้างมาตั้งแต่สมัยโลกเก่า เพื่อลดความแออัดคับคั่งและป้องกันอุบัติเหตุ ดังนั้นลิฟต์ที่ใช้เดินทางจาก ‘เขตที่พักอาศัย’ ไปยัง ‘เขตโรงงาน’ ‘เขตค้นคว้าวิจัย’ และพื้นที่เล็กๆ ของ ‘เขตนิเวศน์ภายใน’ จึงถูกสร้างไว้แยกจากกัน กระจายไปตามเขตต่างๆ

‘เขตการจัดการ’ และ ‘เขตพลังงาน’ ถูกรวมไว้กับ ‘เขตค้นคว้าวิจัย’ ต้องใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์รูดเพื่อตรวจสอบสิทธิ์เสียก่อนถึงจะเข้าไปได้

ซางเจี้ยนเย่ารอชั่วขณะก่อนจะเข้าไปในลิฟต์ตรงกลาง แล้วกดที่หมายเลข 21

เนื่องจากเป็นช่วงเวลาทำงาน ลิฟต์จึงไม่มีการหยุดแวะกลางทาง มันเลื่อนลงไปด้วยความเร็วสม่ำเสมอตลอดเส้นทาง

จากนั้นซางเจี้ยนเย่าก็หยิบบัตรอิเล็กทรอนิกส์ออกมาแล้วรูด

แล้วกดปุ่มโลหะซึ่งแสดงถึงชั้น 3

ลิฟต์ยังคงเลื่อนลง หลังจากนั้นไม่นานก็หยุดจอด

ซางเจี้ยนเย่าเดินออกจากลิฟต์แล้วเลี้ยวซ้าย มองเห็นบานประตูโลหะขนาดใหญ่ซึ่งปิดสนิทอยู่ มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยติดอาวุธครบมืออยู่สี่นาย สวมชุดเกราะไบโอนิก[1]ทำให้ดูเหมือนกิ้งก่ากำลังยืนตัวตรงสองขา

ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้พยายามเข้าไปใกล้ประตูโลหะบานนั้น เขาเดินไปทางด้านขวาของทางเดินด้านนอกประตู

ที่สุดทางเดินมีห้องตั้งเรียงรายเป็นแถว แต่ไม่มีป้ายติดบอกเอาไว้ที่หน้าประตู

ภายใต้แสงสว่างเรืองจากหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ติดเพดาน ซางเจี้ยนเย่าเคาะที่มุมประตู

“เข้ามาได้” น้ำเสียงอ่อนโยนของหญิงสาวดังออกมา

ซางเจี้ยนเย่าจับที่จับประตูแล้วหมุนบิด ผลักประตูเปิด มองเห็นหญิงสาวในเสื้อคลุมสีขาวผู้หนึ่ง

สุภาพสตรีผู้นี้นั่งอยู่หลังโต๊ะไม้สีไม้ธรรมชาติ อายุราวสามสิบปี แว่นตากรอบทองวางอยู่บนดั้งจมูก

เส้นผมถูกม้วนขมวดไว้อย่างเรียบร้อย มีเพียงปอยผมไม่กี่เส้นร่วงห้อยลงมา

“คุณนั่นเอง” หญิงสาวมองมาที่ซางเจี้ยนเย่า ยิ้มให้แล้วชี้ไปที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม “นั่งสิ”

ซางเจี้ยนเย่านั่งลง ยิ้มราวกลับว่าได้กลับมาบ้าน

“สวัสดีตอนบ่ายครับ คุณหมอหลิน”

“สวัสดีตอนบ่ายค่ะ เสี่ยวซาง”[2] หมอหลินเหน็บปอยผมแล้วหยิบแฟ้มจากข้างกายขึ้นมาเปิดกางออกไว้ที่เบื้องหน้า

จากนั้นควงปากกาหมึกซึมสีดำในมือเล่น พูดแบบสบายสบาย

“ช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง”

“ความอยากอาหารเพิ่มขึ้นนิดหน่อย นอนหลับสนิท ร่างกายแข็งแรงดีครับ” ซางเจี้ยนเย่าตอบพลางยกแขนเบ่งกล้ามให้ดู

หมอหลินผงกศีรษะ

“หมอยื่นเรื่องขอยกเลิกการจัดสรรจับคู่แต่งงานให้แล้วนะ คุณรู้ผลแล้วหรือยัง”

“รู้แล้วครับ ขอบคุณมาก” ซางเจี้ยนเย่าตอบด้วยรอยยิ้ม “ผมร้องเพลงขอบคุณคุณหมอได้ไหมครับ”

“ไม่ต้อง” หมอหลินรีบส่ายหน้าตอบอย่างไม่ลังเล

แล้วเธอก็จรดปากกาลงทันที

“ที่จริงหมอก็อยากรู้นะ ว่าทำไมคุณถึงขอยกเลิกการจัดสรรจับคู่ อาการคุณก็ไม่ได้ร้ายแรงอะไรนี่”

ซางเจี้ยนเย่าพูดเสียงทุ้ม สีหน้าจริงจัง

“เพื่อช่วยมนุษยชาติครับ”

“…” หมอหลินยกปากกาเขียนวงกลมลงในเอกสารเบื้องหน้า

ข้อความที่อยู่ในวงกลมนั้นคือ

“ความผิดปกติทางจิตระดับปานกลาง (คาดว่าเป็นอาการประสาทหลอน รอสังเกตอาการเพิ่มเติม)”

* * * * *

[1] ชุดเกราะไบโอนิก (仿生盔甲) Bionic Armor ชุดเกราะชีวภาพ

[2] เสี่ยวซาง (小商) คำว่า “เสี่ยว” แปลว่า เล็ก, น้อย ส่วน “ซาง” คือแซ่ของซางเจี้ยนเย่า คนจีนมักจะใช้เรียกนำหน้าชื่อเด็กหรือคนคุ้นเคยที่อายุน้อยกว่าแล้วตามด้วยแซ่

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท