รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 7 เทศน์

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 7 เทศน์

เสิ่นตู้ยิ้มพลางพูด

“งั้นก็ไปด้วยกันเถอะ แล้วก็คอยหลบ…”

เขายังไม่ได้พูดจนจบประโยคก็แหงนหน้ามองเพดาน มีความนัยว่าให้ซางเจี้ยนเย่าคอยระวัง

ใน ‘เขตที่พักอาศัย’ นั้นมีกล้องวงจรปิดติดตั้งเอาไว้ทุกชั้นแต่ก็มีไม่มากนัก มีอยู่แค่เฉพาะสี่แยกสำคัญและพื้นที่สาธารณะในร่มเท่านั้น

เมื่อเทียบกันแล้ว ที่ ‘เขตนิเวศน์ภายใน’ และ ‘เขตโรงงาน’ จะมีกล้องวงจรปิดเยอะกว่า แต่ก็ยังคงเทียบไม่ได้กับ ‘เขตค้นคว้าวิจัย’ และ ‘เขตการจัดการ’

ซางเจี้ยนเย่ามองตามสายตาของเสิ่นตู้ไปยังสี่แยกเบื้องหน้า แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม

“มันอาจไม่ได้เปิดไว้ก็ได้”

“นั่นก็จริง” เสิ่นตู้เห็นด้วยกับซางเจี้ยนเย่า

นี่เป็นเพราะว่าเหตุการณ์เช่นนี้นับเป็นเรื่องปกติในบริษัท บางครั้งบางคราวก็เคยมีการเปิดเผยว่าอุปกรณ์บางจุดชำรุดจนไม่สามารถใช้การได้ บางทีก็แค่ติดตั้งไว้เพื่อให้รู้ว่ามีแค่นั้น

ว่ากันว่านี่เกี่ยวข้องกับความโกลาหลวุ่นวายเมื่อตอนที่โลกเก่าถูกทำลาย ผู้รอดชีวิตต่างรีบถอยหนีเข้าไปในอาคารใต้ดิน

ยิ่งไปกว่านั้น การนับปีนวศักราชก็ผ่านมาตั้ง 46 ปีแล้ว เป็นธรรมดาที่อุปกรณ์บางตัวจะชำรุดเสียหาย สายการผลิตที่เกี่ยวข้องไม่อาจสร้างขึ้นทดแทนได้เนื่องเพราะขาดแคลนวัตถุดิบ เทคโนโลยีสูญหาย หรือขาดข้อมูลความรู้ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะหาอุปกรณ์มาเปลี่ยนใหม่หรือซ่อมแซม

“แต่ยังไงก็ต้องระวังไว้ก่อนล่ะ บริษัทเข้มงวดเรื่องเกี่ยวกับศาสนามาก” เสิ่นตู้เตือนแล้วเดินไปข้างหน้าพร้อมฉายไฟฉาย

เมื่อมาถึงสี่แยก เขาปิดไฟฉายแล้วขยับไปชิดกำแพงอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็เลี้ยวขวา

ซางเจี้ยนเย่าเดินตามเขาไป หันมองดูกล้องวงจรปิดบนเพดานของสี่แยก

มีจุดแดงกะพริบช้าๆ

ซางเจี้ยนเย่ามองดูจุดสีแดงแล้วก็ยกมือขึ้นมาบีบแก้มทั้งสองข้างและยกมุมปากขึ้น

เขาปั้นหน้าทะเล้นใส่กล้อง

จากนั้นเขาก็ถูกล้ามเนื้อใบหน้าที่โดนไฟฉายส่อง แล้วเลียนแบบท่าทางของเสิ่นตู้ ขยับชิดกำแพง

หลังจากเดินไปได้สักพัก ผ่านหลายแยกหลายเลี้ยว เสิ่นตู้ก็มาหยุดอยู่หน้าประตูห้อง 35 เขต A

เขายกมือซ้ายขึ้นมาแล้วเคาะลงไปสามครั้ง

“เกิดใหม่ดั่งตะวัน” มีเสียงดัดให้ทุ้มต่ำดังออกมาจากในห้อง

เสิ่นตู้ยื่นหน้าไปใกล้แล้วตอบด้วยเสียงต่ำเช่นกัน

“ชีพนั้นสำคัญสุด”

เสียงดังเอี๊ยดขณะที่ประตูเปิดออก แสงเหลืองสลัวลอดออกมา

“นี่คือ…” ผู้หญิงที่เปิดประตูมองเห็นซางเจี้ยนเย่าที่อยู่ด้านหลังเสิ่นตู้

เธออยู่ในวัยสามสิบและเห็นได้อย่างชัดเจนว่าได้รับการปรับปรุงพันธุกรรมแล้ว คิ้วสีดำเป็นแนวตรง จมูกโด่ง หางตาเฉียงขึ้น เธอทั้งสวยและมีเอกลักษณ์

ซางเจี้ยนเย่าก้าวออกไปข้างหน้าแล้วพูดอย่างจริงใจ

“ผมเพิ่งมาครั้งแรก

“ลุงเสิ่นพาผมมาครับ”

คิ้วที่ขมวดมุ่นของหญิงสาวผู้นั้นผ่อนคลายลง เธอพูดอย่างใคร่ครวญ

“งั้นก็เป็นสาวกใหม่สินะ”

เธอเหลียวซ้ายแลขวาก่อนถอยหลบไปด้านข้าง

“รีบเข้ามา อย่าให้ใครเห็น”

เมื่อเสิ่นตู้เห็นว่าผู้หญิงคนนี้จำซางเจี้ยนเย่าได้ เขาก็ไม่ได้สงสัยอะไรอีก เขาเดินเข้าไปในห้องและปิดไฟฉาย

ซางเจี้ยนเย่าเดินตามหลังเข้าไป พลางมองสำรวจรอบๆ เพื่อดูสถานการณ์ทั้งหมดภายในห้อง

ห้องนี้มีขนาดใหญ่กว่าห้องที่เขาพักอยู่มาก ด้านในสุดฝั่งขวามีประตูอยู่ แสดงว่ายังมีห้องนอนอยู่ข้างในสุด ไม่ก็เป็นห้องน้ำ หรือห้องครัวเล็กๆ

นี่ทำให้ซางเจี้ยนเย่านึกถึงบ้านเก่าของเขา หมายความว่าเจ้าของห้องนี้แต่งงานแล้วและมีระดับไม่ต่ำกว่า D4 หรือไม่ก็มีคนใดคนหนึ่งเป็นหัวหน้ากลุ่มระดับ D7

ห้องข้างนอกกว้าง 2 เมตรครึ่ง ลึกเกือบ 5 เมตร ผนังด้านในสุดมีตู้เสื้อผ้าหนึ่งตู้ ตู้เก็บของหนึ่งตู้ ที่อยู่ระหว่างเฟอร์นิเจอร์ทั้งสองชิ้นก็คือเตียงไม้หลังใหญ่แบบเตียงคู่หนึ่งเตียงตั้งเป็นแนวขวาง ปลายเตียงเป็นทางเดินไปสู่ห้องนอนด้านใน

ถัดจากเตียงหลังใหญ่คือห้องนั่งเล่นขนาดย่อมที่ประกอบไปด้วยเก้าอี้มีพนัก ม้านั่ง ตั่งเตี้ย โต๊ะวางถ้วยน้ำชา โต๊ะทำงาน และโซฟาผ้า

ตอนนี้มีเทียนสองเล่มจุดไว้บนโต๊ะวางถ้วยน้ำชาทำให้เกิดแสงสีเหลืองสลัว มีหลายคนนั่งล้อมรอบอยู่ มีทั้งชายและหญิง มีทั้งหนุ่มสาวและชรา

ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้นับคน แต่ดูจากความคับคั่งแล้วก็รู้สึกว่าไม่น่าจะต่ำกว่าสิบคน

“เสี่ยวซาง มาลงทะเบียนก่อน” หญิงคนที่เปิดประตูนำสมุดปกอ่อนออกมา

ซางเจี้ยนเย่าหยิบปากกาแล้วเขียนชื่อลงในหน้าว่างที่อีกฝ่ายเปิดกางไว้ให้

“คุณรู้จักผมด้วยเหรอครับ” เขาทำหน้าสงสัย

หญิงคนนั้นยิ้มแล้วพูดตอบ

“ตอนที่พ่อแม่เธอยังอยู่ที่นี่ พวกเราเรียกได้ว่าเป็นเพื่อนบ้านกัน

“แต่เธอคงจำฉันไม่ได้สินะ เรียกฉันว่าน้าหลี่ก็ได้”

“ครับ น้าหลี่” ซางเจี้ยนเย่าไม่เกรงใจอีกต่อไป

“ดีแล้ว รีบนั่งลงเถอะ ‘ผู้ชี้นำ’ กำลังจะเริ่มเทศน์แล้ว” หญิงสาวแซ่หลี่ชี้ไปยังตั่งเตี้ยที่ยังว่างอยู่

“แล้วน้าจะไปนั่งที่ไหนล่ะครับ” ซางเจี้ยนเย่าถามอย่างมีมารยาท

“น้านั่งที่เตียงก็ได้” หญิงสาวแซ่หลี่ตอบด้วยรอยยิ้ม

ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้ถามอะไรอีก เขาเดินไปด้านข้างสองสามก้าวแล้วนั่งลง

ราวสองสามนาทีหลังจากนั้น ประตูที่อยู่ด้านในสุดของเตียงเปิดออก มีร่างหนึ่งเดินออกมา

เงาร่างนั้นไม่ได้แปลกหน้าสำหรับซางเจี้ยนเย่าแม้แต่น้อย นั่นคือน้าเหริน เหรินเจี๋ย คนที่เขาเพิ่งเจอกันที่ ‘ศูนย์กิจกรรม’ เมื่อตอนเย็น เธอเป็นพนักงานระดับ D3 ใน ‘คณะกรรมการยุทธศาสตร์’ ของบริษัท

ตอนนี้เหรินเจี๋ยยังคงสวมเสื้อใยสังเคราะห์เช่นเดิม แต่เปลี่ยนเป็นกางเกงขายาวสีเทา บนใบหน้าอันงดงามนั้นมีริ้วรอยความร่วงโรยอยู่บ้าง สีหน้าดูศักดิ์สิทธิ์และสง่างาม

เธอเดินผ่านช่องว่างระหว่างเตียงหลังใหญ่กับตู้เสื้อผ้าและตู้เก็บของ กวาดสายตามองทุกคนรอบๆ

“เสี่ยวซาง” เธอมองเห็นซางเจี้ยนเย่าที่นั่งตัวตรงอยู่ทันที

ซางเจี้ยนเย่าลุกขึ้นยืน ก้าวไปข้างหน้าสองก้าวแล้วพูดทักทาย

“น้าเหริน ผมเพิ่งลงทะเบียนครับ

“ลุงเสิ่นพาผมมา”

ดวงตาของเหรินเจี๋ยวูบไหวราวกับครุ่นคิดบางอย่าง แล้วยิ้มออกมา

“งั้นเธอก็ผ่านการตรวจสอบเรียบร้อยแล้วสินะ”

“นั่งลงเถอะ”

เมื่อซางเจี้ยนเย่านั่งลงอีกครั้ง เธอมองทุกคนแล้วเอ่ยขึ้น

“เนื่องจากมีสาวกใหม่มาเข้าร่วม งั้นฉันขอแนะนำนิกายของพวกเราอย่างคร่าวๆ ก่อนแล้วกัน”

แปะ แปะ แปะ ซางเจี้ยนเย่าตบมืออย่างกระตือรือร้น

เสิ่นตู้กับคนอื่นๆ หันมามองเขาแบบงงๆ

เหรินเจี๋ยซึ่งเคยได้ยินคนพูดถึงบุคลิกที่ค่อนข้างแปลกแยกของเขามาก่อนแล้ว หลังจากที่ชะงักไปชั่วขณะเธอก็หัวเราะขึ้นมา

“ไม่ต้องทำแบบนี้หรอก นี่ไม่ใช่การประชุมในบริษัท”

เธอหยุดไปสองวินาที หลังจากซางเจี้ยนเย่าหยุด เธอก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ

“พวกเราทุกคนที่นี่ล้วนไม่เคยได้ออกไปนอกบริษัท ไม่เคยย่างเหยียบบนพื้นโลก

“พวกเรารู้จักแดนธุลีจากการกระจายเสียงของบริษัท จากในหนังสือเรียน และจากคำอธิบายจากพนักงานของ ‘แผนกความมั่นคง’ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ล้วนถูกคัดกรองเบื้องลึกไปแล้ว

“พวกเราไม่รู้ความเป็นจริงของแดนธุลี เช่นเดียวกับที่พวกเราไม่เคยมองเห็นท้องฟ้าของจริงว่าเป็นเช่นไร”

สายตาเธอกวาดไปรอบๆ แล้วหยุดลงที่ใบหน้าซางเจี้ยนเย่า

“เรารู้กันว่าหลังจากการทำลายล้างโลกเก่า หลังจากช่วงเวลาอันยาวนานแห่งความโกลาหลและความขัดแย้ง ในที่สุดมนุษย์ก็รื้อฟื้นสร้างกฎระเบียบขึ้นใหม่ในบางพื้นที่ได้สำเร็จและเริ่มใช้นวศักราชเป็นปีปฏิทินใหม่

“เรารู้ว่าเงามืดยังคงปกคลุมแดนธุลี ก็เหมือนกับที่ในหนังสือเรียนบอกเอาไว้ว่าบรรดาดินแดนที่วุ่นวายสับสน เขตแดนที่ไร้ผู้คน แดนรกร้างและป่าเขาลำเนาไพร ของสถานที่แห่งกฎระเบียบ ล้วนเป็นดังเกาะที่อยู่ท่ามกลางมหาสมุทร ส่วนมลพิษ การกลายพันธุ์ ความอดอยาก ก็เปรียบดั่งกระแสน้ำในมหาสมุทร เป็นดั่งคลื่นที่ถาโถมเข้าซัดลูกแล้วลูกเล่าไม่เคยจบสิ้น

“และที่ร้ายแรงที่สุดก็คือโรคไร้ใจ ที่ในตำราเรียกว่าโรคเปลี่ยนเป็นสัตว์ ซึ่งจวบจนบัดนี้เราก็ยังคงไม่อาจเข้าใจสาเหตุของโรคและรูปแบบของการแพร่เชื้อ คนรอบข้างหรือแม้แต่ตัวเราเองอยู่ดีๆ วันหนึ่งเมื่อตื่นขึ้นมาก็อาจกลายเป็น ‘สัตว์ร้าย’ ไม่สามารถพูดคุยสื่อสารได้ เหลือเพียงแค่สัญชาตญาณการล่าเท่านั้น”

เหรินเจี๋ยสูดหายใจยาวแล้วพูดต่อ

“นี่คือสิ่งที่เรารู้ แล้วสิ่งที่เราไม่รู้ล่ะ มันคืออะไร

“ก็คือทำไมโลกเก่าถูกทำลายลง ทำไมถึงมีการสร้างกฎระเบียบขึ้นมาใหม่

“บนแดนธุลีมีข่าวลือมากมายที่แพร่สะพัดออกไปว่า

“การกระทำบางอย่างของโลกเก่าทำให้ทวยเทพพิโรธ ดังนั้นจึงถูกทำลายโดยพระองค์ ผู้รอดชีวิตที่ผ่านการทดสอบจะได้รับความช่วยเหลือจากพวกพระองค์

“ข่าวลือนี้มีทั้งเรื่องจริงและเรื่องเท็จ

“เรื่องจริงก็คือมีทวยเทพในโลกนี้จริง พวกพระองค์ร่วมกันควบคุมกาลเวลาและแยกกันจัดการแต่ละเดือน ดังนั้นพวกพระองค์จึงได้รับการยกย่องและขนานนามว่า ‘ผู้ครองกาล’[1] มีบางคนเรียกพวกท่านว่า ‘วิมุตชน’ ‘เทพแห่งอายุขัย’ ‘ธุลีเทพ’ ‘ผู้โปรดช่วย’ ‘จิตรกรแห่งอดีต’ ‘พิธีฌาปนกิจปัจจุบันกาล’

“เรื่องเท็จก็คือ โลกเก่าไม่ได้ถูกทำลายเพราะความพิโรธแห่ง ‘ผู้ครองกาล’ แต่เกิดจากผลที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงของความก้าวหน้าทางวิทยาการ

“ชีวิตนั้นสูงส่งและศักดิ์สิทธิ์ แต่เมื่อดำเนินถึงที่สุดแล้วก็ต้องล่วงลับไป โลกนี้ก็เช่นกัน เป็นเฉกเช่นขวบปีที่มาจนถึงจุดสิ้นสุดของปีเพื่อเริ่มต้นสู่ปีใหม่

“นิกายของเรามีชื่อว่า ‘พิธีกรรมชีวิต’[2] พวกเราศรัทธาในองค์เทพี ‘ตุลากรชะตา’[3] ซึ่งเป็นผู้พิเศษสุด เป็น ‘ผู้ครองกาล’ ผู้ควบคุมจัดการเดือนสิบสอง[4] พระองค์คือสิ้นปี และยังเป็นสัญลักษณ์แห่งการมาถึงของปีใหม่ พระองค์เป็นผู้สิ้นสุดโลกเก่าและเป็นผู้เปิดเริ่มโลกใหม่

เมื่อเหรินเจี๋ยพูดมาถึงตรงนี้ นอกจากซางเจี้ยนเย่าแล้วทุกคนต่างก็ยื่นมือออกมาราวกับกำลังอุ้มเด็กแล้วเขย่าเบาๆ

“ปัจฉิมกาลแห่งตุลากรชะตา”[5]

เสียงทุ้มต่ำแต่ชัดเจนของพวกเขาผสานรวมเข้าด้วยกันดังก้องภายในห้อง

เหรินเจี๋ยมองซางเจี้ยนเย่าแล้วพูดต่อ

“โลกใหม่นั้นที่จริงแล้วยังมาไม่ถึง ตอนนี้เป็นช่วงเวลาแห่งการทดสอบมวลเวไนยของทวยเทพ ขอเพียงศรัทธาจริงใจต่อองค์เทพี อุทิศตนต่อองค์เทพี จึงจะสามารถเข้าสู่โลกใหม่ หลุดพ้นจากวัฏฏะแห่งกาลเวลา ได้รับชีวิตนิรันดร์ ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานอีกต่อไป”

“สรรเสริญพระเมตตาแห่งท่าน!” เหล่าสาวกโอบแขนเขย่าอีกครั้งและพูดด้วยเสียงต่ำ

ซางเจี้ยนเย่าเลียนแบบท่าทางของพวกเขา

“สรรเสริญพระเมตตาแห่งท่าน”

เหรินเจี๋ยพยักหน้าพอใจแล้วเอ่ยขึ้น

“เอาล่ะ พวกเรามาเริ่มการเทศน์อย่างเป็นทางการกันได้แล้ว

“นิกายพิธีกรรมชีวิตของพวกเรานั้นบูชาชีวิตและเคารพความตาย ดังนั้นเราจึงให้คุณค่ากับชีวิตกำเนิดใหม่และพิธีศพมากที่สุด

“เนื้อหาหลักในวันนี้เกี่ยวกับชีวิตกำเนิดใหม่”

ซางเจี้ยนเย่านั่งตัวตรงตั้งใจฟังเช่นเดียวกับคนรอบข้าง

เสียงของเหรินเจี๋ยค่อยๆ เบาลง สีหน้าฉายแววศักดิ์สิทธิ์มากขึ้น

“เราควรให้ทารกนอนหงาย

“เราควรให้ทารกพัฒนานิสัยเล่นในยามกลางวันและนอนหลับในยามกลางคืน

“เราควรฮัมเพลงให้ทารกฟังเมื่อเขาหลับ

“เราควรแยกแยะเสียงร้องของทารกอย่างระวัง

“สั้นแต่ทุ้ม สูงบ้างต่ำบ้าง หมายถึงหิว ร้องรุนแรงคือโกรธ จู่ๆ กรีดร้องเสียงดังและแหลมก่อนจะหยุดไปนานๆ แล้วเปลี่ยนเป็นเบาลง โศกเศร้า ครวญคราง คือเจ็บปวด…

“เราควรตบหลังทารกเบาๆ ให้เรอลมออกจากท้อง…

“เราควรประคองท้ายทอยไว้เมื่อยามอุ้ม…

“เราต้องให้นมลูกด้วยน้ำนมมารดา…”

ดวงตาซางเจี้ยนเย่าค่อยๆ เซื่องซึม ปากเผยอขึ้นเล็กน้อย ไม่อาจหุบลง

* * * * *

[1] ผู้ครองกาล (执岁) หมายถึง ‘ผู้ควบคุมกาลเวลา’ ย่อมาจากคำว่า “执掌岁月”คำว่า “执掌”แปลว่า ควบคุม

คำว่า“岁月”แปลว่า กาลเวลา (เดือน ปี)

[2] พิธีกรรมชีวิต (生命祭礼) หมายถึง พิธีไว้อาลัยให้ผู้ถึงแก่กรรม, พิธีเซ่นไหว้ให้ผู้ถึงแก่กรรม

[3] ตุลากรชะตา (司命) หมายถึง ผู้ตัดสินชะตาชีวิต, ผู้ควบคุมชีวิต

[4] เดือนสิบสอง ภาษาจีนเรียกเดือนมกราคมถึงธันวาคมว่าเดือนหนึ่งถึงเดือนสิบสอง ในเรื่องนี้จะนับเดือนทางจันทรคติ

[5] ปัจฉิมกาลแห่งตุลากรชะตา (终将归于司命) หมายถึง ความสิ้นสุดนั้นเป็นของผู้ตัดสินชะตาชีวิต

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท