รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 8 ศีลมหาสนิท

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 8 ศีลมหาสนิท

“หลังการให้นมแต่ละครั้ง ควรจับทารกตั้งตรงสัก 20-30 นาที

“ควรป้อนอาหารให้ทารกก่อนที่เขาจะหิวเกินไป…

“…”

เสียงเทศนาของเหรินเจี๋ยดังก้องเบาๆ อยู่ภายในห้อง เสิ่นตู้กับคนอื่นๆ ล้วนฟังอย่างตั้งใจ หยิบกระดาษและปากกาที่เตรียมไว้ออกมาจดสิ่งที่คิดว่าสำคัญไว้เป็นครั้งคราว

ซางเจี้ยนเย่ารักษาท่าทางตั้งแต่เริ่มต้นเอาไว้และมองเหรินเจี๋ยอย่างตั้งใจ แต่ดวงตาเหมือนจะเลื่อนลอยอยู่บ้าง

หลังผ่านไป 20-30 นาที เหรินเจี๋ยก็หยุดเทศน์ สายตากวาดมองไปยังทุกคน

“นั่นคือเนื้อหาสำหรับวันนี้

“ทั้งหมดล้วนเป็นคำสอนขององค์เทพี”

“สรรเสริญพระเมตตาแห่งท่าน” ก่อนที่เสิ่นตู้และคนอื่นๆ จะพูดอะไร ซางเจี้ยนเย่ายื่นมือออกมาแล้วทำท่าอุ้มเขย่าเด็กทารกอย่างกระตือรือร้น

“…” ผู้ชุมนุมคนอื่นๆ ต่างก็พากันชะงักไปสองวินาที แต่ในที่สุดก็เรียนรู้จากซางเจี้ยนเย่า ยื่นแขนงอข้อศอกแล้วเขย่าเบาๆ “สรรเสริญพระเมตตาแห่งท่าน”

เหรินเจี๋ยอ้าปากเหมือนจะพูด แต่แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

เธอเหลือบมองนาฬิกาเรือนเก่าบนข้อมือแล้วเอ่ยขึ้น

“ดึกมากแล้ว พวกเราต้องกลับบ้านก่อนไฟถนนจะเปิด

“ช่วงสุดท้ายคือศีลมหาสนิท”

เมื่อพูดจบ เธอกับหญิงสาวแซ่หลี่ก็เดินเข้าไปยังห้องด้านในสุด

ไม่ถึงหนึ่งนาทีพวกเธอก็เดินออกมาทีละคน คนหนึ่งถือเอาอุปกรณ์รับประทานอาหารออกมาด้วย มีชามใบเล็กบ้างใหญ่บ้าง กล่องอาหาร และช้อนกระเบื้องเคลือบ ส่วนอีกคนถือภาชนะทรงกระบอกขนาดใหญ่ที่บรรจุอะไรบางอย่างสีดำเอาไว้เต็ม

กลิ่นหอมเข้มข้นลอยเข้าจมูกซางเจี้ยนเย่าอย่างรวดเร็ว ทำให้เขาอดยกมือขวาขึ้นมาเช็ดมุมปากไม่ได้

นั่นคือกลิ่นหอมของงาและน้ำตาล!

ของคล้ายๆ อะไรแบบนี้ อย่างพวกขนมทั่วไป มีราคาถึง 60 แต้มส่วนร่วมต่อน้ำหนัก 1 จิน นี่มันแพงกว่าเนื้อหมูซะอีก!

พวกสินค้าระดับสูงมีราคาเกือบ 720 แต้มต่อ 1 จิน ซึ่งซางเจี้ยนเย่าใช้เพียง 8-10 แต้มต่ออาหารเช้าของทุกมื้อ

ในไม่ช้า หญิงสาวแซ่หลี่ก็แจกจ่ายอุปกรณ์รับประทานอาหารให้กับทุกคน เหรินเจี๋ยนั้นมือหนึ่งถือภาชนะพลาสติกโปร่งแสง ส่วนมืออีกข้างถือทัพพีแล้วตักของกินสีดำเต็มทัพพีลงในชามและกล่องอาหารของสาวกนิกายแต่ละคน

เมื่อตักให้แล้วเธอก็จะเอ่ยว่า

“ศีลมหาสนิทวันนี้ เป็นงาดำกวน”

ผู้ที่รับแจกศีลมหาสนิทจะตอบกลับอย่างสำรวม

“สรรเสริญพระเมตตาแห่งท่าน”

นอกจากเหรินเจี๋ยและหญิงสาวแซ่หลี่แล้ว ซางเจี้ยนเย่าในฐานะสาวกใหม่ของนิกายจึงเป็นคนสุดท้ายที่ได้รับศีล เขาได้รับหนึ่งทัพพีเต็มซึ่งเกือบจะเต็มถ้วยใบเล็กในมือเขาเลย

“ศีลมหาสนิทวันนี้ เป็นงาดำกวน” เธอพูดตามปกติ

“สรรเสริญพระเมตตาแห่งท่าน” ซางเจี้ยนเย่ากล่าวตอบอย่างจริงใจ

เหรินเจี๋ยที่แจกศีลอยู่นั้นกระทำในนามของตุลากรชะตาแห่ง ‘ผู้ครองกาล’ ดังนั้นคำว่า ‘ท่าน’ จึงหมายถึงตุลากรชะตา ไม่ใช่เหรินเจี๋ย

หญิงสาวแซ่หลี่สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าของซางเจี้ยนเย่า จึงถามด้วยรอยยิ้ม

“ซาบซึ้งไหม”

“ซาบซึ้งครับ” ซางเจี้ยนเย่าถือถ้วยไว้มือหนึ่ง ยกมืออีกข้างขึ้นมาเช็ดมุมปาก

เหรินเจี๋ยกับหญิงสาวแซ่หลี่ไม่ได้พูดอะไรอีก พวกเขากลับไปที่เตียงแล้วแบ่งงาดำกวนที่เหลือระหว่างกัน จากนั้นก้มศีรษะแล้วกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ

“สรรเสริญพระเมตตาแห่งท่าน”

ทุกคนส่งเสียงเป็นการตอบรับแล้วเริ่มเพลิดเพลินกับศีลมหาสนิท

ศีลมหาสนิทนั้นถูกเตรียมไว้ก่อนล่วงหน้าจึงเย็นชืดไปแล้ว แต่นั่นไม่ได้มีผลต่อรสชาติที่เต็มไปด้วยความหอมหวานและรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ของงา

หลังจากที่ซางเจี้ยนเย่าค่อยๆ กัดอย่างระวัง ก็พลันชะงักไปชั่วขณะ จากนั้นเขาก็จ้วงตักงาดำเข้าปากอย่างต่อเนื่องไม่หยุด

แก๊ก แก๊ก แก๊ก

เขากินจนเกลี้ยงไม่มีเศษงาดำกวนเหลือติดก้นชามแม้แต่น้อย

เมื่อกินเสร็จก็มองไปรอบๆ พลางใช้หลังมือเช็ดปาก

หลังจากศีลมหาสนิทสิ้นสุดลง ทุกคนต่างสรรเสริญเทพีตุลากรชะตาผู้ดูแลเดือนสิบสองอีกครั้งอย่างพร้อมเพรียงและต่อแถวเพื่อส่งคืนอุปกรณ์ทานอาหารให้กับหญิงสาวแซ่หลี่และเหรินเจี๋ย

เมื่อมาถึงซางเจี้ยนเย่า หญิงสาวแซ่หลี่ถามด้วยรอยยิ้ม

“มาร่วมชุมนุมครั้งแรก คิดว่าเป็นไงบ้าง”

ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างจริงจัง

“อร่อยมากครับ”

หญิงสาวแซ่หลี่ถึงกับใบหน้าแข็งทื่อ ถามต่อว่า

“มีคำแนะนำอะไรไหม

“ไม่ต้องกลัว เมื่อมาเข้าร่วมนิกายแล้ว พวกเราล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่มีเรื่องไหนที่คุยกับคนในครอบครัวไม่ได้”

ซางเจี้ยนเย่าครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนตอบ

“เพิ่มศีลให้เยอะขึ้นอีกหน่อย”

“มีอะไรอีกไหม” หญิงสาวแซ่หลี่เริ่มยิ้มอย่างฝืนๆ

ดวงตาของซางเจี้ยนเย่าขยับเล็กน้อย

“ต้องแปรงฟันก่อนมา”

หญิงสาวแซ่หลี่ถึงกับสำลัก

“ตอนนี้ทุกคนกลับกันได้แล้ว ส่วนซางเจี้ยนเย่าอยู่ก่อน ‘ผู้ชี้นำ’ อยากคุยด้วยหน่อย”

เสิ่นตู้กับคนอื่นๆ ทยอยเดินออกไปทีละคน ส่วนหญิงสาวแซ่หลี่กับสามียกอุปกรณ์ทานอาหารเข้าไปเก็บในห้อง

เหรินเจี๋ยเดินไปหาซางเจี้ยนเย่า ยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วพูดกับเขา

“เธอเพิ่งมาเข้าร่วมนิกาย ต้องรีบขวนขวายหาความรู้สำหรับสวดภาวนา

“ไม่ต้องกังวลหรอก นี่ง่ายมาก เทพีตุลากรชะตาของเราทรงเป็นเทพแท้จริงผู้ควบคุมกาลเวลา พระองค์ไม่ใส่ใจเรื่องหยุมหยิม ไม่มีพิธีรีตรองซับซ้อน

ซางเจี้ยนเย่าพยักหน้าเพื่อแสดงว่าเขากำลังฟัง

เหรินเจี๋ยพูดช้าลง

“เราไม่ได้กำหนดเวลาสวดภาวนาตายตัว แต่มักเลือกช่วงเวลาตื่นนอนตอนเช้า เราขอบคุณเทพีตุลากรชะตาที่ให้เรายังมีชีวิตอยู่

“เราให้ความสำคัญต่อชีวิตกำเนิดใหม่และการจากไปของผู้ตาย ดังนั้นพิธีกรรมอย่างเป็นทางการหรือพิธีกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับศาสนพิธี ซึ่งปกติจะเป็นการเทศน์ มักจัดเมื่อมีทารกแรกเกิดอายุครบเดือนหรือฝังศพผู้วายชนม์ เวลาจึงไม่ได้กำหนดตายตัว

“จะมีพิธีใหญ่ในวันแรกของเดือนสิบสองเพื่อต้อนรับการมาถึงของเทพีตุลากรชะตาของพวกเรา และในวันสุดท้ายของเดือนสิบสองก็เช่นกัน จะมีพิธีใหญ่เพื่อสวดภาวนาที่พระองค์เปิดประตูแห่งโลกใหม่

“เธอรู้วิธีการสดุดีแล้ว ก็คือการทำท่าเหมือนอุ้มทารกเอาไว้แล้วเขย่าเบาๆ โดยประโยคที่เกี่ยวข้องจะแบ่งออกเป็นสามหมวด เมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับความตายและการจากไป จะพูดว่า ‘ปัจฉิมกาลแห่งตุลากรชะตา’ เมื่อพูดถึงความสูงส่งของชีวิตหรือสดุดีพระคุณของพระองค์จะใช้ ‘สรรเสริญพระเมตตาแห่งท่าน’ เมื่อเกี่ยวกับการเกิดใหม่ให้พูดว่า ‘เกิดใหม่ดั่งตะวัน’ หรือ ‘ชีพนั้นสำคัญสุด’

“โดยพื้นฐานแล้วก็มีแค่นี้ ส่วนเรื่องศีลมหาสนิทนั้นแต่ละครั้งจะมีความแตกต่างกันไป อาจเป็นงาดำกวน ไม่ก็นม น้ำผลไม้ นมถั่วเหลือง ซุปเนื้อ ซุปผัก หรือโยเกิร์ต ฮ่า ฮ่า รู้ไหมว่าพวกนี้มีอะไรเหมือนกัน”

ซางเจี้ยนเย่าคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบ

“ความอร่อย”

“…” เหรินเจี๋ยพยายามฝืนรักษารอยยิ้มเอาไว้ “ทั้งหมดเป็นอาหารเหลวหรือใกล้เคียง อาหารเหลวเป็นอาหารหลักของทารกแรกเกิดและผู้ที่ใกล้เสียชีวิต”

ก่อนที่ซางเจี้ยนเย่าจะพูดอะไร เหรินเจี๋ยก็ชี้ไปที่ประตู

“เอาล่ะ เธอกลับได้แล้ว”

ซางเจี้ยนเย่าเหลียวมองแต่ไม่ได้ขยับก้าวเท้าออกไป เขาพลันถามขึ้น

“น้าเหริน ผู้ครองกาลทั้งหมดมีกี่พระองค์เหรอครับ”

“ตามความเข้าใจของคนทั่วไปเมื่อคิดถึงคำจำกัดความของนาม ‘ผู้ครองกาล’ มักจะคิดว่ามี 12 พระองค์ แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่” เหรินเจี๋ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “มีผู้ครองกาลทั้งหมด 13 พระองค์ อีกหนึ่งพระองค์ก็คือตัวแทนแห่งปีอธิกมาส[1] ฮ่า ฮ่า แต่ถ้าปีไหนไม่มีอธิกมาส พระองค์ก็คือตัวแทนของตลอดทั้งปี”

“พระนามของพระองค์คืออะไรเหรอ” ซางเจี้ยนเย่าถาม

เหรินเจี๋ยสั่นศีรษะ “น้าก็ไม่รู้หรอก พวกเราศรัทธาในเทพีตุลากรชะตา ไม่จำเป็นต้องรู้จักผู้ครองกาลองค์อื่นๆ”

ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้ถามอะไรเพิ่มอีก เขากลับหลังหันแล้วออกจากห้อง 35 เขต A

ด้วยแสงสว่างของไฟฉาย เขาได้เดินลัดเลาะผ่านถนนจนกลับมายังห้อง 196 ในเขต B ทุกครั้งที่มาถึงสี่แยกเขาจะทำตามเสิ่นตู้ด้วยการปิดไฟฉายและเดินชิดกำแพง

เมื่อกลับถึงบ้าน ซางเจี้ยนเย่าเดินไปยังอ่างล้างมือแล้วหยิบยาสีฟันที่ถูกรีดหลอดจนแบนเป็นแผ่นบางๆ หลังจากที่พยายามอย่างยิ่งยวด ในที่สุดเขาสามารถรีดเอายาสีฟันออกมาได้เล็กน้อย ป้ายบนแปรงสีฟันที่เหลือขนแปรงเป็นหย่อมๆ

เมื่อแปรงฟันและล้างหน้าแล้ว ซางเจี้ยนเย่าเห็นว่าไฟถนนบนเพดานยังคงมืดอยู่ จึงนั่งลงที่โต๊ะไม้ เอนหลังพิงพนักเก้าอี้แล้วหลับตาลง

เขายกมือขึ้นมากดขมับทั้งสองข้างก่อนลดมือลงอีกครั้ง

* * * * *

ร่างซางเจี้ยนเย่าปรากฏขึ้นในห้องโถงกว้างที่เต็มไปด้วย ‘หมู่ดาว’

เขามองไปยังกำแพงโลหะเย็นเยียบสีดำสนิทที่อยู่ใกล้ตัวเป็นสิ่งแรก ก่อนจะแหงนหน้ามองท้องฟ้า

จุดสว่างนับไม่ถ้วนเหมือนกับดวงดาวที่เขียนไว้ในตำราเรียน พวกมันจับกลุ่มรวมกันเป็นดาราจักรกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า และดาราจักรกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าก็รวมตัวกันเป็นสายธาราแห่งดาราจักร

มีขอบเขตระหว่างแต่ละ “ดาราจักร” แต่ไม่ได้แบ่งอย่างชัดเจนนัก

ซางเจี้ยนเย่าเคยนับจำนวน “ดาราจักร” เหล่านี้ไปแล้ว คราวนี้เขาเริ่มนับใหม่อีกครั้งอย่างเงียบๆ

“หนึ่ง สอง สาม… สิบเอ็ด สิบสอง สิบสาม

“สิบสาม…”

เขาเงียบเสียงลง ร่างกายก็ค่อยๆ เลือนหายเข้าไปในห้องโถงที่ราวกับเต็มไปด้วยดวงดาว

* * * * *

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ซางเจี้ยนเย่าก็เห็นพื้นที่นอกหน้าต่างสว่างโดยฉับพลันทันที

หลอดไฟฟลูออเรสเซนต์บนถนนทั้งหมดสว่างขึ้นในเวลาเดียวกัน

อาคารใต้ดินแห่งนี้ได้ต้อนรับการมาถึงของวันใหม่

ซางเจี้ยนเย่าที่ยังคงสวมเสื้อคลุมผ้าฝ้ายตัวหนาสีเขียวแก่ หยิบกล่องอาหารพลาสติกเดินออกจากห้องมุ่งหน้าไปยังเขต C

เป้าหมายคือ ‘ตลาดโภคภัณฑ์’

ระหว่างทาง ซางเจี้ยนเย่าเจอกับหลงเยว่หงที่พักอยู่แถวนี้ เห็นชัดได้ว่าอีกฝ่ายนั้นตื่นแต่เช้าและไม่จำเป็นต้องไปต่อแถวรอคิวใช้ห้องน้ำสาธารณะ

“ผลการจัดสรรตำแหน่งงานจะแจ้งวันนี้…” หลงเยว่หงตั้งใจดักรอพบซางเจี้ยนเย่ากลางทางเพื่อหาเพื่อนแบ่งปันความเครียด

“ใช่” ซางเจี้ยนเย่ามองไปข้างหน้าเห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังปลอบทารกที่ร้องไห้เบาๆ อยู่ที่หน้าประตูห้อง

สีหน้าเขาเปลี่ยนในทันทีทันใดราวกับว่ากำลังคิดอะไรอยู่แต่ก็เจือด้วยร่องรอยแห่งความสับสน

หลงเยว่หงมองเขาแล้วถามในระหว่างที่เดินไปข้างหน้าด้วยกัน

“เป็นอะไรเหรอ

“เมื่อคืนฝันร้ายหรือไง”

ซางเจี้ยนเย่านิ่งไปสองวินาทีก่อนจะตอบ

“สงสัยเรื่องชีวิตมนุษย์”

* * * * *

[1] อธิกมาส (闰月) คือเดือนที่เพิ่มขึ้นในปีจันทรคติ ปกติในรอบ 1 ปี จะมี 12 เดือน แต่เนื่องจากจำนวนวันของแต่ละเดือน วันทางจันทรคติจะมีน้อยกว่าวันทางสุริยคติ ในทางจันทรคติ หนึ่งเดือนมี 29-30 วัน หนึ่งปีมี 354 วัน ส่วนทางสุริยคติหนึ่งเดือนมี 30-31 วัน หนึ่งปีมี 365 วัน (เดือนทางสุริยคติ คือเดือนที่นับตามพระอาทิตย์ ซึ่งก็คือเดือนมกราคมถึงธันวาคมที่ใช้ในปัจจุบัน)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท