“หลังการให้นมแต่ละครั้ง ควรจับทารกตั้งตรงสัก 20-30 นาที
“ควรป้อนอาหารให้ทารกก่อนที่เขาจะหิวเกินไป…
“…”
เสียงเทศนาของเหรินเจี๋ยดังก้องเบาๆ อยู่ภายในห้อง เสิ่นตู้กับคนอื่นๆ ล้วนฟังอย่างตั้งใจ หยิบกระดาษและปากกาที่เตรียมไว้ออกมาจดสิ่งที่คิดว่าสำคัญไว้เป็นครั้งคราว
ซางเจี้ยนเย่ารักษาท่าทางตั้งแต่เริ่มต้นเอาไว้และมองเหรินเจี๋ยอย่างตั้งใจ แต่ดวงตาเหมือนจะเลื่อนลอยอยู่บ้าง
หลังผ่านไป 20-30 นาที เหรินเจี๋ยก็หยุดเทศน์ สายตากวาดมองไปยังทุกคน
“นั่นคือเนื้อหาสำหรับวันนี้
“ทั้งหมดล้วนเป็นคำสอนขององค์เทพี”
“สรรเสริญพระเมตตาแห่งท่าน” ก่อนที่เสิ่นตู้และคนอื่นๆ จะพูดอะไร ซางเจี้ยนเย่ายื่นมือออกมาแล้วทำท่าอุ้มเขย่าเด็กทารกอย่างกระตือรือร้น
“…” ผู้ชุมนุมคนอื่นๆ ต่างก็พากันชะงักไปสองวินาที แต่ในที่สุดก็เรียนรู้จากซางเจี้ยนเย่า ยื่นแขนงอข้อศอกแล้วเขย่าเบาๆ “สรรเสริญพระเมตตาแห่งท่าน”
เหรินเจี๋ยอ้าปากเหมือนจะพูด แต่แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
เธอเหลือบมองนาฬิกาเรือนเก่าบนข้อมือแล้วเอ่ยขึ้น
“ดึกมากแล้ว พวกเราต้องกลับบ้านก่อนไฟถนนจะเปิด
“ช่วงสุดท้ายคือศีลมหาสนิท”
เมื่อพูดจบ เธอกับหญิงสาวแซ่หลี่ก็เดินเข้าไปยังห้องด้านในสุด
ไม่ถึงหนึ่งนาทีพวกเธอก็เดินออกมาทีละคน คนหนึ่งถือเอาอุปกรณ์รับประทานอาหารออกมาด้วย มีชามใบเล็กบ้างใหญ่บ้าง กล่องอาหาร และช้อนกระเบื้องเคลือบ ส่วนอีกคนถือภาชนะทรงกระบอกขนาดใหญ่ที่บรรจุอะไรบางอย่างสีดำเอาไว้เต็ม
กลิ่นหอมเข้มข้นลอยเข้าจมูกซางเจี้ยนเย่าอย่างรวดเร็ว ทำให้เขาอดยกมือขวาขึ้นมาเช็ดมุมปากไม่ได้
นั่นคือกลิ่นหอมของงาและน้ำตาล!
ของคล้ายๆ อะไรแบบนี้ อย่างพวกขนมทั่วไป มีราคาถึง 60 แต้มส่วนร่วมต่อน้ำหนัก 1 จิน นี่มันแพงกว่าเนื้อหมูซะอีก!
พวกสินค้าระดับสูงมีราคาเกือบ 720 แต้มต่อ 1 จิน ซึ่งซางเจี้ยนเย่าใช้เพียง 8-10 แต้มต่ออาหารเช้าของทุกมื้อ
ในไม่ช้า หญิงสาวแซ่หลี่ก็แจกจ่ายอุปกรณ์รับประทานอาหารให้กับทุกคน เหรินเจี๋ยนั้นมือหนึ่งถือภาชนะพลาสติกโปร่งแสง ส่วนมืออีกข้างถือทัพพีแล้วตักของกินสีดำเต็มทัพพีลงในชามและกล่องอาหารของสาวกนิกายแต่ละคน
เมื่อตักให้แล้วเธอก็จะเอ่ยว่า
“ศีลมหาสนิทวันนี้ เป็นงาดำกวน”
ผู้ที่รับแจกศีลมหาสนิทจะตอบกลับอย่างสำรวม
“สรรเสริญพระเมตตาแห่งท่าน”
นอกจากเหรินเจี๋ยและหญิงสาวแซ่หลี่แล้ว ซางเจี้ยนเย่าในฐานะสาวกใหม่ของนิกายจึงเป็นคนสุดท้ายที่ได้รับศีล เขาได้รับหนึ่งทัพพีเต็มซึ่งเกือบจะเต็มถ้วยใบเล็กในมือเขาเลย
“ศีลมหาสนิทวันนี้ เป็นงาดำกวน” เธอพูดตามปกติ
“สรรเสริญพระเมตตาแห่งท่าน” ซางเจี้ยนเย่ากล่าวตอบอย่างจริงใจ
เหรินเจี๋ยที่แจกศีลอยู่นั้นกระทำในนามของตุลากรชะตาแห่ง ‘ผู้ครองกาล’ ดังนั้นคำว่า ‘ท่าน’ จึงหมายถึงตุลากรชะตา ไม่ใช่เหรินเจี๋ย
หญิงสาวแซ่หลี่สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าของซางเจี้ยนเย่า จึงถามด้วยรอยยิ้ม
“ซาบซึ้งไหม”
“ซาบซึ้งครับ” ซางเจี้ยนเย่าถือถ้วยไว้มือหนึ่ง ยกมืออีกข้างขึ้นมาเช็ดมุมปาก
เหรินเจี๋ยกับหญิงสาวแซ่หลี่ไม่ได้พูดอะไรอีก พวกเขากลับไปที่เตียงแล้วแบ่งงาดำกวนที่เหลือระหว่างกัน จากนั้นก้มศีรษะแล้วกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“สรรเสริญพระเมตตาแห่งท่าน”
ทุกคนส่งเสียงเป็นการตอบรับแล้วเริ่มเพลิดเพลินกับศีลมหาสนิท
ศีลมหาสนิทนั้นถูกเตรียมไว้ก่อนล่วงหน้าจึงเย็นชืดไปแล้ว แต่นั่นไม่ได้มีผลต่อรสชาติที่เต็มไปด้วยความหอมหวานและรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ของงา
หลังจากที่ซางเจี้ยนเย่าค่อยๆ กัดอย่างระวัง ก็พลันชะงักไปชั่วขณะ จากนั้นเขาก็จ้วงตักงาดำเข้าปากอย่างต่อเนื่องไม่หยุด
แก๊ก แก๊ก แก๊ก
เขากินจนเกลี้ยงไม่มีเศษงาดำกวนเหลือติดก้นชามแม้แต่น้อย
เมื่อกินเสร็จก็มองไปรอบๆ พลางใช้หลังมือเช็ดปาก
หลังจากศีลมหาสนิทสิ้นสุดลง ทุกคนต่างสรรเสริญเทพีตุลากรชะตาผู้ดูแลเดือนสิบสองอีกครั้งอย่างพร้อมเพรียงและต่อแถวเพื่อส่งคืนอุปกรณ์ทานอาหารให้กับหญิงสาวแซ่หลี่และเหรินเจี๋ย
เมื่อมาถึงซางเจี้ยนเย่า หญิงสาวแซ่หลี่ถามด้วยรอยยิ้ม
“มาร่วมชุมนุมครั้งแรก คิดว่าเป็นไงบ้าง”
ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างจริงจัง
“อร่อยมากครับ”
หญิงสาวแซ่หลี่ถึงกับใบหน้าแข็งทื่อ ถามต่อว่า
“มีคำแนะนำอะไรไหม
“ไม่ต้องกลัว เมื่อมาเข้าร่วมนิกายแล้ว พวกเราล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่มีเรื่องไหนที่คุยกับคนในครอบครัวไม่ได้”
ซางเจี้ยนเย่าครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนตอบ
“เพิ่มศีลให้เยอะขึ้นอีกหน่อย”
“มีอะไรอีกไหม” หญิงสาวแซ่หลี่เริ่มยิ้มอย่างฝืนๆ
ดวงตาของซางเจี้ยนเย่าขยับเล็กน้อย
“ต้องแปรงฟันก่อนมา”
หญิงสาวแซ่หลี่ถึงกับสำลัก
“ตอนนี้ทุกคนกลับกันได้แล้ว ส่วนซางเจี้ยนเย่าอยู่ก่อน ‘ผู้ชี้นำ’ อยากคุยด้วยหน่อย”
เสิ่นตู้กับคนอื่นๆ ทยอยเดินออกไปทีละคน ส่วนหญิงสาวแซ่หลี่กับสามียกอุปกรณ์ทานอาหารเข้าไปเก็บในห้อง
เหรินเจี๋ยเดินไปหาซางเจี้ยนเย่า ยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วพูดกับเขา
“เธอเพิ่งมาเข้าร่วมนิกาย ต้องรีบขวนขวายหาความรู้สำหรับสวดภาวนา
“ไม่ต้องกังวลหรอก นี่ง่ายมาก เทพีตุลากรชะตาของเราทรงเป็นเทพแท้จริงผู้ควบคุมกาลเวลา พระองค์ไม่ใส่ใจเรื่องหยุมหยิม ไม่มีพิธีรีตรองซับซ้อน
ซางเจี้ยนเย่าพยักหน้าเพื่อแสดงว่าเขากำลังฟัง
เหรินเจี๋ยพูดช้าลง
“เราไม่ได้กำหนดเวลาสวดภาวนาตายตัว แต่มักเลือกช่วงเวลาตื่นนอนตอนเช้า เราขอบคุณเทพีตุลากรชะตาที่ให้เรายังมีชีวิตอยู่
“เราให้ความสำคัญต่อชีวิตกำเนิดใหม่และการจากไปของผู้ตาย ดังนั้นพิธีกรรมอย่างเป็นทางการหรือพิธีกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับศาสนพิธี ซึ่งปกติจะเป็นการเทศน์ มักจัดเมื่อมีทารกแรกเกิดอายุครบเดือนหรือฝังศพผู้วายชนม์ เวลาจึงไม่ได้กำหนดตายตัว
“จะมีพิธีใหญ่ในวันแรกของเดือนสิบสองเพื่อต้อนรับการมาถึงของเทพีตุลากรชะตาของพวกเรา และในวันสุดท้ายของเดือนสิบสองก็เช่นกัน จะมีพิธีใหญ่เพื่อสวดภาวนาที่พระองค์เปิดประตูแห่งโลกใหม่
“เธอรู้วิธีการสดุดีแล้ว ก็คือการทำท่าเหมือนอุ้มทารกเอาไว้แล้วเขย่าเบาๆ โดยประโยคที่เกี่ยวข้องจะแบ่งออกเป็นสามหมวด เมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับความตายและการจากไป จะพูดว่า ‘ปัจฉิมกาลแห่งตุลากรชะตา’ เมื่อพูดถึงความสูงส่งของชีวิตหรือสดุดีพระคุณของพระองค์จะใช้ ‘สรรเสริญพระเมตตาแห่งท่าน’ เมื่อเกี่ยวกับการเกิดใหม่ให้พูดว่า ‘เกิดใหม่ดั่งตะวัน’ หรือ ‘ชีพนั้นสำคัญสุด’
“โดยพื้นฐานแล้วก็มีแค่นี้ ส่วนเรื่องศีลมหาสนิทนั้นแต่ละครั้งจะมีความแตกต่างกันไป อาจเป็นงาดำกวน ไม่ก็นม น้ำผลไม้ นมถั่วเหลือง ซุปเนื้อ ซุปผัก หรือโยเกิร์ต ฮ่า ฮ่า รู้ไหมว่าพวกนี้มีอะไรเหมือนกัน”
ซางเจี้ยนเย่าคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบ
“ความอร่อย”
“…” เหรินเจี๋ยพยายามฝืนรักษารอยยิ้มเอาไว้ “ทั้งหมดเป็นอาหารเหลวหรือใกล้เคียง อาหารเหลวเป็นอาหารหลักของทารกแรกเกิดและผู้ที่ใกล้เสียชีวิต”
ก่อนที่ซางเจี้ยนเย่าจะพูดอะไร เหรินเจี๋ยก็ชี้ไปที่ประตู
“เอาล่ะ เธอกลับได้แล้ว”
ซางเจี้ยนเย่าเหลียวมองแต่ไม่ได้ขยับก้าวเท้าออกไป เขาพลันถามขึ้น
“น้าเหริน ผู้ครองกาลทั้งหมดมีกี่พระองค์เหรอครับ”
“ตามความเข้าใจของคนทั่วไปเมื่อคิดถึงคำจำกัดความของนาม ‘ผู้ครองกาล’ มักจะคิดว่ามี 12 พระองค์ แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่” เหรินเจี๋ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “มีผู้ครองกาลทั้งหมด 13 พระองค์ อีกหนึ่งพระองค์ก็คือตัวแทนแห่งปีอธิกมาส[1] ฮ่า ฮ่า แต่ถ้าปีไหนไม่มีอธิกมาส พระองค์ก็คือตัวแทนของตลอดทั้งปี”
“พระนามของพระองค์คืออะไรเหรอ” ซางเจี้ยนเย่าถาม
เหรินเจี๋ยสั่นศีรษะ “น้าก็ไม่รู้หรอก พวกเราศรัทธาในเทพีตุลากรชะตา ไม่จำเป็นต้องรู้จักผู้ครองกาลองค์อื่นๆ”
ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้ถามอะไรเพิ่มอีก เขากลับหลังหันแล้วออกจากห้อง 35 เขต A
ด้วยแสงสว่างของไฟฉาย เขาได้เดินลัดเลาะผ่านถนนจนกลับมายังห้อง 196 ในเขต B ทุกครั้งที่มาถึงสี่แยกเขาจะทำตามเสิ่นตู้ด้วยการปิดไฟฉายและเดินชิดกำแพง
เมื่อกลับถึงบ้าน ซางเจี้ยนเย่าเดินไปยังอ่างล้างมือแล้วหยิบยาสีฟันที่ถูกรีดหลอดจนแบนเป็นแผ่นบางๆ หลังจากที่พยายามอย่างยิ่งยวด ในที่สุดเขาสามารถรีดเอายาสีฟันออกมาได้เล็กน้อย ป้ายบนแปรงสีฟันที่เหลือขนแปรงเป็นหย่อมๆ
เมื่อแปรงฟันและล้างหน้าแล้ว ซางเจี้ยนเย่าเห็นว่าไฟถนนบนเพดานยังคงมืดอยู่ จึงนั่งลงที่โต๊ะไม้ เอนหลังพิงพนักเก้าอี้แล้วหลับตาลง
เขายกมือขึ้นมากดขมับทั้งสองข้างก่อนลดมือลงอีกครั้ง
* * * * *
ร่างซางเจี้ยนเย่าปรากฏขึ้นในห้องโถงกว้างที่เต็มไปด้วย ‘หมู่ดาว’
เขามองไปยังกำแพงโลหะเย็นเยียบสีดำสนิทที่อยู่ใกล้ตัวเป็นสิ่งแรก ก่อนจะแหงนหน้ามองท้องฟ้า
จุดสว่างนับไม่ถ้วนเหมือนกับดวงดาวที่เขียนไว้ในตำราเรียน พวกมันจับกลุ่มรวมกันเป็นดาราจักรกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า และดาราจักรกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าก็รวมตัวกันเป็นสายธาราแห่งดาราจักร
มีขอบเขตระหว่างแต่ละ “ดาราจักร” แต่ไม่ได้แบ่งอย่างชัดเจนนัก
ซางเจี้ยนเย่าเคยนับจำนวน “ดาราจักร” เหล่านี้ไปแล้ว คราวนี้เขาเริ่มนับใหม่อีกครั้งอย่างเงียบๆ
“หนึ่ง สอง สาม… สิบเอ็ด สิบสอง สิบสาม
“สิบสาม…”
เขาเงียบเสียงลง ร่างกายก็ค่อยๆ เลือนหายเข้าไปในห้องโถงที่ราวกับเต็มไปด้วยดวงดาว
* * * * *
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ซางเจี้ยนเย่าก็เห็นพื้นที่นอกหน้าต่างสว่างโดยฉับพลันทันที
หลอดไฟฟลูออเรสเซนต์บนถนนทั้งหมดสว่างขึ้นในเวลาเดียวกัน
อาคารใต้ดินแห่งนี้ได้ต้อนรับการมาถึงของวันใหม่
ซางเจี้ยนเย่าที่ยังคงสวมเสื้อคลุมผ้าฝ้ายตัวหนาสีเขียวแก่ หยิบกล่องอาหารพลาสติกเดินออกจากห้องมุ่งหน้าไปยังเขต C
เป้าหมายคือ ‘ตลาดโภคภัณฑ์’
ระหว่างทาง ซางเจี้ยนเย่าเจอกับหลงเยว่หงที่พักอยู่แถวนี้ เห็นชัดได้ว่าอีกฝ่ายนั้นตื่นแต่เช้าและไม่จำเป็นต้องไปต่อแถวรอคิวใช้ห้องน้ำสาธารณะ
“ผลการจัดสรรตำแหน่งงานจะแจ้งวันนี้…” หลงเยว่หงตั้งใจดักรอพบซางเจี้ยนเย่ากลางทางเพื่อหาเพื่อนแบ่งปันความเครียด
“ใช่” ซางเจี้ยนเย่ามองไปข้างหน้าเห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังปลอบทารกที่ร้องไห้เบาๆ อยู่ที่หน้าประตูห้อง
สีหน้าเขาเปลี่ยนในทันทีทันใดราวกับว่ากำลังคิดอะไรอยู่แต่ก็เจือด้วยร่องรอยแห่งความสับสน
หลงเยว่หงมองเขาแล้วถามในระหว่างที่เดินไปข้างหน้าด้วยกัน
“เป็นอะไรเหรอ
“เมื่อคืนฝันร้ายหรือไง”
ซางเจี้ยนเย่านิ่งไปสองวินาทีก่อนจะตอบ
“สงสัยเรื่องชีวิตมนุษย์”
* * * * *
[1] อธิกมาส (闰月) คือเดือนที่เพิ่มขึ้นในปีจันทรคติ ปกติในรอบ 1 ปี จะมี 12 เดือน แต่เนื่องจากจำนวนวันของแต่ละเดือน วันทางจันทรคติจะมีน้อยกว่าวันทางสุริยคติ ในทางจันทรคติ หนึ่งเดือนมี 29-30 วัน หนึ่งปีมี 354 วัน ส่วนทางสุริยคติหนึ่งเดือนมี 30-31 วัน หนึ่งปีมี 365 วัน (เดือนทางสุริยคติ คือเดือนที่นับตามพระอาทิตย์ ซึ่งก็คือเดือนมกราคมถึงธันวาคมที่ใช้ในปัจจุบัน)