หลงเยว่หงไม่อาจเข้าใจคำตอบของซางเจี้ยนเย่า ดังนั้นเขาเลยไม่ใส่ใจ
ทั้งคู่คุยเล่นเรื่อยเปื่อยขณะที่มุ่งหน้าไปยัง ‘ตลาดโภคภัณฑ์’ และเมื่อ ‘โรงอาหารพนักงาน’ ได้เวลาเปิด พวกเขาต่างก็ใช้แต้มส่วนร่วม 8 แต้มซื้อไข่ต้ม หมั่นโถวธัญพืช และผักดองหนึ่งจาน
หลังอาหารเช้า ซางเจี้ยนเย่าและหลงเยว่หงพกกล่องอาหารเข้าไปใน ‘ศูนย์กิจกรรม’ นั่งอยู่มุมห้องเพื่อรอผลการจัดสรรตำแหน่งงาน
ตอนนี้ ‘ศูนย์กิจกรรม’ โล่งสนิท มีเพียงแค่พนักงานที่ทำงานอยู่ที่นี่เท่านั้น พวกเขากำลังวุ่นอยู่กับการเช็ดถูทำความสะอาดภายใต้สายตาที่จับจ้องของผู้เฒ่าเฉินเสียนอวี่
บรรดาผู้สูงอายุที่มาออกกำลังกายและพูดคุยสนทนากันเมื่อตอนเช้าไม่มีเหลืออยู่แล้ว พวกเขาต่างพาลูกจูงหลานไปส่งที่โรงเรียน หรือไม่ก็มุ่งหน้าไปทำงาน
บริษัทมีข้อกำหนดไว้ว่าคนที่อายุ 60 ปีขึ้นไป สามารถขอย้ายไปทำงานที่ไม่หนักมากหรือมีงานที่ต้องทำน้อยลงได้ รอจนอายุ 75 ปีขึ้นไปถึงจะได้ยกเว้นไม่ต้องทำงาน และยังคงได้รับแต้มอุดหนุนรายเดือนตามระดับของขั้นพนักงานอีกด้วย
แต่ว่ามีพนักงานเกษียณเพียงไม่กี่คนที่ว่างมา ‘ศูนย์กิจกรรม’ เมื่ออายุถึง 75 ปี เนื่องจากยุคก่อนหน้านี้การปรับปรุงพันธุกรรมยังไม่แพร่หลาย จึงมีคนไม่มากที่สามารถดำรงชีวิตภายใต้สภาพแวดล้อมที่ขาดแคลนทรัพยากรและอาหารจนมีอายุได้ถึง 75 ปี
หลงเยว่หงสูดหายใจยาว พยายามหาเรื่องชวนคุย
“เมื่อวานฉันเจอลูกสาวของเพื่อนร่วมงานของแม่ล่ะ
“เธอเพิ่งจะสิบแปด ทำงานที่สถานีวิทยุของ ‘แผนกนันทนาการ’ สูง 170 เซนติเมตรและดูดีมาก
“นายคิดว่าเป็นไปได้ไหมที่เธอจะชอบฉัน เฮ้อ หลังจากปรับปรุงพันธุกรรมฉันก็ยังสูงแค่ 175 หน้าตาก็ธรรมดา เกรดเฉลี่ยก็งั้น ไม่มีแผนกไหนสนใจจองตัว…”
ซางเจี้ยนเย่าเลิกคิ้วขวาเล็กน้อย
“เธอชื่ออะไร”
“เฝิงอวิ๋นอิง เหอ เหอ เธอไม่รู้จักโฮ่วอี๋หรอก ไม่ได้อยู่ก๊วนเดียวกัน” หลงเยว่หงคิดว่าซางเจี้ยนเย่าจะถามถึงโฮ่วอี๋ พนักงานบริษัทจำนวนไม่น้อยเลยที่หมายปองผู้รายงานข่าวสาวคนนี้
ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้มีท่าทีผิดหวังอะไร เขาถามต่อไป
“เธอพักอยู่ห้องเลขที่เท่าไหร่ เขตไหน ชั้นอะไร”
“นายถามทำไม” หลงเยว่หงทั้งตกใจทั้งสงสัย
ซางเจี้ยนเย่าจ้องมองเขา
“ไปถามเธอว่ามีหวังไหมที่เธอจะชอบนาย”
“…” ต่อให้หลงเยว่หงจะอ่อนด้อยประสบการณ์ในเรื่องนี้แค่ไหนก็ยังรู้ว่าขืนปล่อยให้ไปถาม มีหวังพังแน่นอน “เหอ เหอ เลิกล้อเล่นได้แล้ว”
เขาไม่กล้าสานต่อหัวข้อสนทนานี้อีก
“นายอยากทำงานแผนกไหน”
“แผนกความมั่นคง” ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างไม่ลังเล
หลงเยว่หงเกือบควบคุมน้ำเสียงตัวเองไม่ได้
“นายบ้ารึเปล่า
“นี่มันอันตรายสุดๆ เลยนะ อย่าคิดว่ามีสวัสดิการอาหารแล้วจะดีสิ! ล้อเล่นอีกแล้ว”
‘แผนกความมั่นคง’ เป็นแผนกที่ ‘ไม่ปลอดภัยที่สุด’ ในบรรดาแผนกต่างๆ ของบริษัท อัตราการเสียชีวิตนั้นสูงกว่าแผนกอื่นๆ รวมกันหลายเท่าตัว
นี่เป็นเพราะพวกเขามีหน้าที่รับผิดชอบปฏิบัติการภายนอกสารพัดอย่าง หน้าที่ที่ต้องทำนั้นมีทั้งการขนส่งเสบียงจำนวนมากผ่านแดนร้าง ต่อสู้กับคนอื่นหรือสัตว์ประหลาดที่บุกรุกเข้ามา ปกป้องป้อมด้านนอกอาคารใต้ดินแห่งนี้ สืบเสาะไปยังส่วนลึกของแดนร้างเพื่อค้นหาซากเมืองของโลกเก่า และคุ้มครองกลุ่มนักวิทยาศาสตร์เพื่อให้ทำงานลุล่วงเสร็จสิ้น และงานพวกเขาก็ไม่ได้จำกัดแค่เพียงเท่านี้
นี่จึงส่งผลให้พนักงาน ‘แผนกความมั่นคง’ ต้องเผชิญกับมลพิษ โรคร้าย สัตว์ประหลาด โรคไร้ใจ และห่ากระสุน จึงย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีผู้ได้รับบาดเจ็บ ติดเชื้อ ภาวะผิดปกติ หรือแม้กระทั่งเสียชีวิต
ขณะที่หลงเยว่หงยังตกใจกับคำตอบของซางเจี้ยนเย่า เมิ่งเซี่ยกับคนอื่นๆ ก็ทยอยเข้ามาใน ‘ศูนย์กิจกรรม’ และแยกย้ายไปนั่งตามบริเวณที่ตนเองคุ้นเคย
หยางเจิ้นหย่วนมีสัมพันธ์อันดีกับซางเจี้ยนเย่าและหลงเยว่หง พวกเขาอาศัยอยู่ชั้นเดียวกัน เข้าเรียนมหาวิทยาลัยในเวลาเดียวกัน เรียนคณะเดียวกัน ดังนั้นหลังจากเหลียวซ้ายแลขวาแล้วเขาก็เดินเข้าไปหาคนทั้งคู่
“ไหงดูซีดเซียวนักล่ะ ไม่ได้กินมื้อเช้าหรือไง” หลงเยว่หงมองหยางเจิ้นหย่วนที่กำลังเดินเข้ามาหาอย่างเป็นห่วง
หยางเจิ้นหย่วนหน้าแดง
“กินแล้ว
“แค่เหนื่อยไปหน่อย”
“ไปทำไรมา” หลงเยว่หงสงสัย
หยางเจิ้นหย่วนไม่รู้จะตอบยังไง เขาหันไปมองซางเจี้ยนเย่าแล้วถอนใจ
“ไม่เคยรู้เลยว่าแต่งงานแล้วจะเหนื่อยแบบนี้
“แต่ก็ดีนะ พวกนายต้องรีบหาคู่ได้แล้ว” พูดไปยิ้มไปอย่างไม่รู้ตัว
หลงเยว่หงเริ่มเข้าใจความนัย เลยไม่ได้ถามอะไรต่ออีก เขาย้อนกลับไปคุยเรื่องก่อนหน้านี้
“หยางเจิ้นหย่วน ซางเจี้ยนเย่าเพิ่งจะล้อเล่นว่าอยากทำงานที่ ‘แผนกความมั่นคง’ น่ะ”
หยางเจิ้นหย่วนครุ่นคิดจริงจัง
“ถ้าเลือกทำเฉพาะงานภายในได้ ฉันก็อยากไปทำงานที่นั่นเหมือนกัน สวัสดิการดีมากจริงๆ”
เงินเดือนของพนักงาน ‘แผนกความมั่นคง’ นั้นไม่ได้ต่างไปจากพนักงานของแผนกอื่นๆ ซึ่งเป็นไปตามกฎของบริษัท แต่ว่าเนื่องจากต้องฝึกหนัก พวกเขาจึงได้กินเนื้อสัตว์ทุกวัน ในวันที่ฝึกกับวันที่ไปปฏิบัติหน้าที่จะไปกินที่โรงอาหารโดยเฉพาะของ ‘แผนกความมั่นคง’ ราคาอาหารก็จัดว่าถูกมากและหลากหลายด้วย แถมยังมีสวัสดิการอาหารให้อีก
นี่เป็นสิ่งดึงดูดใจสำหรับพนักงานจำนวนมาก
“นายก็พูดซี้ซั้วไปเรื่อย ถ้ามีใครเลือกทำเฉพาะงานภายในได้ ก็คงแห่กันไปทำที่นั่นกันหมดแล้วล่ะ ไม่นับพวกงานการจัดการกับพวกนักวิจัยนะ” หลงเยว่หงแขวะใส่ “โชคร้ายที่งานภายในและภายนอกของ ‘แผนกความมั่นคง’ นั้นต้องสลับเปลี่ยนหมุนเวียนไปเรื่อยๆ นอกเสียจากว่าจะได้ไปเป็นการ์ดให้หัวหน้าใหญ่ หรือหน่วยปฏิบัติการภายใต้งานการจัดการ หรือไม่ก็ในส่วนความมั่นคงของโครงการสำคัญ”
ซางเจี้ยนเย่าที่นิ่งเงียบมาตลอดพลันโพล่งขึ้นมา
“ฉันอยากทำงานภาคสนาม”
“…” หลงเยว่หงโบกมือหน้าซางเจี้ยนเย่า “สมองนายมีปัญหาหรือไงเนี่ย ไม่รู้หรือไงว่าข้างนอกนั่นมันอันตรายขนาดไหน”
‘แผนกความมั่นคง’ มีพนักงานจำนวนมาก แต่ละคนต่างก็มีคนรู้จักอยู่นอกแผนก ดังนั้นพวกเขาจึงพอรู้สถานการณ์ของแดนธุลีอยู่บ้างว่าโลกภายนอกนั้นโกลาหลไร้ระเบียบกว่าในบริษัทมากนัก
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ภายในบริษัทนั้นมีความสงบสุขเป็นระเบียบเรียบร้อย และสามารถรับประกันการจัดหาสิ่งอุปโภคบริโภคพื้นฐานได้ ทำให้ที่นี่เรียกได้ว่าเป็นสรวงสวรรค์เลยทีเดียว
และเนื่องมาจากเหตุนี้ แม้ว่า ‘แผนกความมั่นคง’ จะมีการอัดฉีดให้เจ้าหน้าที่ภาคสนาม และสามารถเลือกเอาข้าวของจากแดนธุลีกลับไปใช้เองที่บ้านได้โดยที่ทางบริษัทไม่เข้าไปเกี่ยวข้องหรือยึดไปทำลาย แต่ก็มีคนไม่มากที่ต้องการไปทำงานนี้
เพื่อเป็นการจูงใจให้คนไปทำงานใน ‘แผนกความมั่นคง’ ทางคณะกรรมการบริหารจึงไม่ตระหนี่ที่จะเลื่อนขั้นให้พนักงานในแผนก พนักงานในงานทั่วไปอาจจะอยู่ที่ระดับ D3 ไปตลอดชีวิต ไม่สามารถเลื่อนขั้นเป็นพนักงานอาวุโสได้ แต่พนักงานจาก ‘แผนกความมั่นคง’ อาจใช้เวลาเพียงหกเดือนถึงหนึ่งปีในการไต่เต้าขึ้นเป็นระดับ D4 และในขณะเดียวกัน คนที่เกษียณจาก ‘แผนกความมั่นคง’ แล้วย้ายกลับไปทำในแผนกงานทั่วไปก็จะได้เลื่อนหนึ่งขั้นอีกด้วย
หยางเจิ้นหย่วนไม่อาจเข้าใจความคิดของซางเจี้ยนเย่า แต่ก็ไม่ได้แย้ง เพียงแค่ชี้ให้เห็นข้อเท็จจริงเท่านั้น
“โดยปกติแล้วพนักงาน ‘แผนกความมั่นคง’ จะเลือกจากคนที่แต่งงานและมีลูกแล้ว แทบไม่มีใครที่เพิ่งจับคู่หรือเป็นโสด”
“ก็ใช่” หลงเยว่หงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
เขามองซางเจี้ยนเย่าแล้วพูดต่อ
“ทำไมถึงอยากไปทำภาคสนามล่ะ”
“เพื่อช่วยมนุษยชาติ” ซางเจี้ยนเย่าตอบด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนแปลง
“แค่ก แค่ก แค่ก” หลงเยว่หงกับหยางเจิ้นหย่วนสำลักน้ำลายพร้อมกัน
ในตอนนั้นเอง มีบุคคลในเครื่องแบบสีดำสองคนเดินเข้ามาจากด้านนอกแล้วยื่นซองเอกสารปิดผนึกให้กับผู้เฒ่าเฉิน เฉินเสียนอวี่ ผู้รับผิดชอบ ‘ศูนย์กิจกรรม’
หลงเยว่หง หยางเจิ้นหย่วน เมิ่งเซี่ย และคนอื่นๆ ต่างยืนขึ้นพร้อมกันพร้อมกับกลั้นหายใจ
ในซองเอกสารนั้นเป็นผลการจัดสรรตำแหน่งงาน
เมื่อเทียบกับการจัดสรรจับคู่ที่ต้องแจ้งต่อสาธารณชนแล้ว ผลการจัดสรรตำแหน่งงานนั้นเกี่ยวข้องกับมาตรการรักษาความลับ จึงแจ้งเฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้องในรูปแบบจดหมาย ไม่มีใครที่รู้ผลในกระบวนการทั้งหมด
เมื่อยืนยันแล้วว่าซองเอกสารไม่มีการฉีกขาด คนทั้งสองซึ่งมาจาก ‘คณะกรรมการบริหาร’ ก็เซ็นชื่อแล้วส่งมอบผลการจัดสรร จากนั้นถอยไปยืนด้านข้างเฉินเสียนอวี่เพื่อดูแลขั้นตอนการแจกจ่ายเอกสาร
“เร็วชะมัด ดูเหมือนพวกเราจะได้เป็นกลุ่มแรก… อยากรู้จังว่าฉันจะได้งานอะไร…” หลงเยว่หงพูดอย่างประหม่ากังวลเพราะอดไม่ได้
ซางเจี้ยนเย่าเหลือบมองเขาแล้วพูดขึ้น
“งั้นสมมติว่านายต้องเข้า ‘แผนกความมั่นคง’ ตั้งแต่แรกเลยสิ พอแบบนี้ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นยังไง ก็ไม่มีทางแย่ไปกว่านี้แล้วล่ะ”
“นั่นสิ!” หลงเยว่หงไม่มีตัวเลือกอื่นจึงได้แต่ทำตามคำแนะนำของซางเจี้ยนเย่า
หลังจากเฉินเสียนอวี่แสดงซองเอกสารให้ทุกคนเห็นแล้ว เขาก็ฉีกผนึกแล้วหยิบซองจดหมายออกมา
จากนั้นอ่านชื่อที่จ่าหน้าซอง
“จงเสียวหมิ่น”
หญิงสาวคนหนึ่งลุกออกไปรับซองจดหมายแล้วรีบเดินไปด้านข้างเพื่อเปิดดู
หยางเจิ้นหย่วน
…
เมิ่งเซี่ย
…
หลงเยว่หง
…
ซางเจี้ยนเย่า
…
รายชื่อถูกอ่านออกมาทีละชื่อ เจ้าของชื่อแต่ละคนต่างลุกออกไปรับซองจดหมายที่กำหนดชะตาชีวิตของตน
พวกเขาไม่ได้หลบๆ ซ่อนๆ ผลการจัดสรรงานของตนจากคนอื่น แต่เปิดซองใน ‘ศูนย์กิจกรรม’ แล้วล้วงเอาจดหมายออกมาดูเลย
หลงเยว่หงที่ยืนไม่ห่างจากเฉินเสียนอวี่มากนัก เขามือสั่นเทิ้มขณะที่เปิดซองจดหมายออก
“หลงเยว่หง หมายเลขบัตรอิเล็กทรอนิกส์ 02511013768
“กรุณาไปรายงานตัวที่ห้อง 14 ชั้น 647 ก่อน 12.00 น.”
ชั้น 647… หัวสมองหลงเยว่หงมีเสียงอื้ออึง จดหมายร่วงหลุดจากมือหล่นลงบนพื้น
เขารีบหยิบขึ้นมาอ่านทวนอีกครั้ง และอีกหลายครั้ง หวังว่าจะอ่านผิด
แต่น่าเสียดายที่ไม่ใช่
“จบแล้ว จบกัน…” เขาพึมพำกับตัวเอง หน้าซีดเป็นไก่ต้ม
อาคารใต้ดินแห่งนี้มีทั้งหมด 650 ชั้น ห้าชั้นที่ใกล้พื้นผิวโลกที่สุดก็คือ ‘แผนกความมั่นคง’
ดังนั้นการไปรายงานตัวที่ชั้น 647 จึงหมายถึงการไปเข้า ‘แผนกความมั่นคง’ นั่นเอง
ผัวะ! ซางเจี้ยนเย่าตบไหล่หลงเยว่หง
หลวเยว่หงค่อยๆ หันหน้ามา ดวงตาเศร้าสร้อย
“จบแล้ว…”
ซางเจี้ยนเย่าพูดด้วยรอยยิ้มสดใส
“ฉันได้บรรจุเข้า ‘แผนกความมั่นคง’ ล่ะ”
“หือ” หลงเยว่หงตื่นจากฝันร้าย แล้วรีบคว้าจดหมายของซางเจี้ยนเย่าทันที
เขากวาดตามองอย่างรวดเร็วและเห็นเนื้อความอย่างชัดเจน
“ซางเจี้ยนเย่า หมายเลขบัตรอิเล็กทรอนิกส์ 02509083626
“กรุณาไปรายงานตัวที่ห้อง 14 ชั้น 647 ก่อน 12.00 น.”
“เราอยู่ชั้นเดียวกันงั้นเหรอ” หลงเยว่หงสงบใจได้นิดหน่อย
“เหมือนจะเป็นงั้นนะ” ซางเจี้ยนเย่าตอบพร้อมรอยยิ้ม
“ทำไมพวกเราซวยกันนักนะ” หลังจากรู้ว่ามีเพื่อนร่วมชะตากรรม หลงเยว่หงไม่ได้เหม่อลอยและหดหู่อีกต่อไป
ซางเจี้ยนเย่าเอียงหัวเล็กน้อยก่อนตอบ
“ฉันสมัครเข้าไป”
“…” หลงเยว่หงพูดไม่ออก
เมื่อมาถึงตอนนี้ เมิ่งเซี่ย หยางเจิ้นหย่วน จงเสียวหมิ่น และคนอื่นๆ ต่างก็รู้ผลการจัดสรรงานของตัวเองแล้ว บ้างตื่นเต้น บ้างสุขสันต์ บ้างซึมเซา บ้างเศร้าใจ แต่ก็ไม่มีใครมีปฏิกิริยารุนแรงเหมือนหลงเยว่หง
“ซางเจี้ยนเย่า นายได้งานที่ไหน ของฉันเป็นสถาบันค้นคว้าวิจัยที่ชั้น 36” หยางเจิ้นหย่วนถือจดหมายเดินเข้ามาหา
ซางเจี้ยนเย่าตอบด้วยรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า
“แผนกความมั่นคง”
ทันใดนั้นเอง ในห้องโถงของ ‘ศูนย์กิจกรรม’ พลันเงียบกริบ คนที่กำลังเศร้าใจและหดหู่ต่างก็ประหลาดใจในคราแรก ก่อนจะรู้สึกได้ว่าผลการจัดสรรงานของพวกเขา ที่จริงก็ไม่ได้แย่สักเท่าไหร่
พอเห็นแบบนี้แล้ว หลงเยว่หงก็ไม่อยากอยู่ที่นี่อีกต่อไป เขาลากซางเจี้ยนเย่าไปด้านข้างแล้วพูดเบาๆ
“ไปรายงานตัวกันก่อนเถอะ เฮ้อ ตอนนี้ทำได้แค่นี้แหละ”
ผลการจัดสรรงานนี้ไม่อาจฝ่าฝืน เว้นเสียแต่ว่าอยากถูกเนรเทศจากบริษัททั้งครอบครัว
แม้ว่าจะมีเส้นสายที่จะช่วยผ่อนผันได้ แต่ก็ยังต้องไปรายงานตัวก่อนจากนั้นจึงค่อยทำเรื่องย้าย
แต่คนที่มีเส้นสายเหล่านั้นย่อมถูก ‘จองตัว’ ไปตั้งนานแล้ว
ซางเจี้ยนเย่าโบกมือให้หยางเจิ้นหย่วน หยิบกล่องอาหารแล้วเดินไปอีกฟากของเขต C กับหลงเยว่หง
มีลิฟต์ที่พาไปยังห้าชั้นบนสุด
หลงเยว่หงที่เดินตามซางเจี้ยนเย่าไปเงียบอยู่ชั่วครู่ พลันเม้มปากแล้วพูดเบาๆ
“อย่างน้อยก็ได้เห็นท้องฟ้าของจริง…”