รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 12 หนึ่งวันอันมากมาย

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 12 หนึ่งวันอันมากมาย

ซางเจี้ยนเย่าที่สวมเครื่องแบบสีเทาผลักประตูห้องหมายเลข 15 ชั้น 647 แล้วเดินเข้าไป

หลงเยว่หงตามเข้าไปติดๆ แล้วมองไปรอบๆ ห้องด้วยความอยากรู้อยากเห็น

สิ่งที่ดึงดูดสายตาเขาคืออาวุธสารพัดชนิด ยาวบ้างสั้นบ้าง บ้างเป็นสีขาวเงิน บ้างเป็นโลหะสีดำ บางชิ้นวางอยู่บนโต๊ะ บางชิ้นแขวนเอาไว้ อาวุธมากมายราวกับว่าเป็นงานนิทรรศการแสดงยุทโธปกรณ์

ที่จริงแล้วหลงเยว่หงเพียงแค่เคยเห็นคำว่า ‘งานนิทรรศการ’ จากในหนังสือและจากที่อาจารย์อธิบายความหมายให้ฟังเท่านั้น ยังไม่เคยเจอมาก่อนในชีวิตจริง

มีกิจกรรมเพียงครั้งเดียวที่ทำให้เขารู้สึกว่าใกล้เคียงกับงานนิทรรศการก็คือ ‘นิทรรศการพันธุ์ทดลองสายพันธุ์ใหม่’ ซึ่งจัดโดย ‘เขตนิเวศน์ภายใน’ เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา

แต่ในขณะนี้เขากำลังคิดว่า ‘งานนิทรรศการ’ นั้นควรจะเป็นอย่างที่เขากำลังเห็นอยู่ตอนนี้มากกว่า

เจี่ยงไป๋เหมียนที่ยืนข้างประตูมองดูซางเจี้ยนเย่าก่อนจะพยักหน้าอย่างยอมรับ

“ใส่แล้วดูดีมีสไตล์”

ชุดเครื่องแบบของแผนกความมั่นคงนั้นออกแบบมาอย่างพิถีพิถันและมีสไตล์ ซางเจี้ยนเย่าทั้งสูงทั้งกำยำ เมื่อสวมแล้วดูเพรียวและมีราศีความเข้มแข็งบึกบึน เขาถูกเสื้อผ้าขับเน้นให้เห็นถึงความหล่อเหลาและมีเสน่ห์

“ชุดไม่ค่อยดีเท่าไหร่” ซางเจี้ยนเย่าตอบพร้อมขมวดคิ้ว

“ทำไม” ไป๋เฉินที่อยู่ข้างๆ รู้สึกแปลกใจ

พอได้ยินดังนั้น เจี่ยงไป๋เหมียนพึมพำ

“ฉันว่าอย่าไปสนใจเขาดีกว่า…”

และในเวลาเดียวกัน ซางเจี้ยนเย่าก็อ้าปากตอบคำถามของไป๋เฉินด้วยรอยยิ้ม

“ใส่แล้วเต้นระบำฮาวายไม่ได้”

“…” ไป๋เฉิน

“…บางทีฉันก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่านายกำลังล้อเล่นอยู่ หรือว่าสมองมีปัญหากันแน่” เจี่ยงไป๋เหมียนเอ็ดใส่ด้วยรอยยิ้มแล้วมองที่หลงเยว่หง “เลิกใจลอยได้แล้ว ไปทางนู้น เริ่มชั้นแล้ว!”

เธอหยุดพูดแล้วกวาดสายตามองจากบนลงล่างจากล่างขึ้นบนแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม

“พอใส่ชุดแล้วนายดูหล่อและมีชีวิตชีวาขึ้นกว่าเดิมนะ”

หลงเยว่หงที่รู้สึกหดหู่น้อยใจเล็กน้อยเนื่องจากสองสาวมัวแต่สนใจซางเจี้ยนเย่า ไม่เหลียวแลตนเองเลย พอได้ยินก็ยืดตัวตรงแล้วพูด

“ครับ หัวหน้า!”

เมื่อไปถึงโต๊ะยาวที่เจี่ยงไป๋เหมียนชี้ ไป๋เฉินหยิบปืนที่มีตัวเรือนสีขาวเงินมีด้ามจับที่เป็นวัสดุกันลื่นสีดำขึ้นมา

“ปืนชนิดนี้ไม่ว่าจะเป็นนักล่าซากอารยะหรือโจรแดนร้างต่างก็รู้สึกทั้งรักและทั้งเกลียด

“เห็นนี่ไหม ลำกล้องมันทั้งหนาทั้งยาว ใช้กระสุนขนาด 11.18 มม. ถึงได้ทรงพลังมาก สามารถล้มสัตว์ขนาดใหญ่ได้สบายสบาย ปืนสองสามกระบอกข้างๆ ก็คล้ายกับเจ้านี่แหละ บางคนเรียกมันว่า ‘อสรพิษ’

“แรงถีบหนักมาก ถ้าไม่แข็งแรงพอก็ยากจะคุมมันได้ อื้อ พวกนายได้รับการปรับปรุงพันธุกรรมกันมาแล้ว ก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร

“เจ้านี่มาจากซากเมืองของโลกเก่า เป็นผลิตภัณฑ์ล่าสุดของ ‘ยูไนเต็ดอินดัสทรีส์’[1] รุ่น 202 แต่ข้อเสียคือกระสุนขัดลำกล้องง่ายกว่าปืนพกชนิดอื่น เวลาใช้งานต้องคอยระวังเรื่องนี้ไว้…

ไป๋เฉินอธิบายข้อมูลทั่วไปของปืน ‘ยูไนเต็ด 202’ ที่ถืออยู่ในมือให้ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงฟัง รวมถึงโครงสร้างและประสบการณ์ในการใช้งาน

หลังจากสอนเรื่องนี้จบ ไป๋เฉินก็หยิบปืนพกสีดำบนโต๊ะยาวอีกตัวหนึ่งขึ้นมา

“เจ้านี่ใช้กระสุนขนาด 7.62 มม. ซึ่งมีประสิทธิภาพมากกว่า เล็กกว่า สัมผัสดีกว่า และแม่นยำกว่า พกพาสะดวกและดูแลรักษาง่าย เพียงแต่ว่าไม่ค่อยเหมาะกับคนมือใหญ่เท่าไหร่ แต่สำหรับฉันแล้วเจ้านี่วิเศษมาก…

“อีกสองชนิดที่เจอบ่อยในแดนร้างก็คือ อูเป่ย 6 และ อูเป่ย 7 ที่ผลิตโดยกองทัพกู้โลก ระหว่างสองอันนี้ จุดนึงที่ต่างกันคือปัญหาของการออกแบบ อันแรกนั้นมีโอกาสกระสุนขัดลำกล้องพอๆ กับ ยูไนเต็ด 202 นอกจากนี้…”

“…ส่วนอันนี้ใช้กระสุน 14.5 มม. คงจินตนาการถึงอานุภาพของมันออกนะ เจ้านี่แต่เดิมนั้นมาจากซากเมืองภูเขาเหล็ก แต่ออเรนจ์คอมพานี[2]ทำเลียนแบบขึ้นมาใหม่ เราเรียกว่า ‘เจ้าอ้วน’… แต่มันก็ยังไม่ใช่ที่สุดของปืนสไนเปอร์หรอกนะ ฉันชอบ ‘ฮอว์คอาย’ กับ ‘ก็อดส์อาย’ มากกว่า อันนั้นไง…”

“…ปืนสไนเปอร์ที่ดีที่สุดคือปืนเกาส์และปืนพลาสม่าแต่ที่นี่ไม่มี นอกซะจากว่าจะไปเจอกับทีมระดับท็อปจากพวกกองกำลังใหญ่ไม่กี่แห่งอย่างพวกปฐมนครหรือยูไนเต็ดอินดัสทรีส์ ซึ่งโดยปกติก็ไม่น่าจะได้เจอกันในแดนร้างหรอก”

“…นี่เป็นปืนกลมือที่ฉันชอบที่สุด ฉายา ‘คอสั้น’…”

ไป๋เฉินแนะนำและอธิบายปืนแต่ละชนิดเรียงกันไป ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงฟังอย่างตั้งใจและหยิบขึ้นมาเพื่อสร้างความคุ้นเคยไปด้วยเป็นครั้งคราว

เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้ขัดจังหวะการบรรยาย แต่พอไป๋เฉินพักดื่มน้ำแก้คอแห้ง เธอก็ชี้ไปที่ท่อโลหะหนาบนโต๊ะใกล้ๆ

“ทายซิว่าเป็นอาวุธอะไร”

หลงเยว่หงมองตามไปแล้วอ่านตัวหนังสือภาษาแดนธุลีห้าคำที่เขียนไว้บนท่อนั้น

“โรงงาน-ท่อ-เหล็ก-หลิน-หนาน”

“ฮ่า ฮ่า ที่จริงแล้วมันเป็นปืนบาซูก้าแบบผู้ใช้เดี่ยว แต่ส่วนประกอบหลักนั้นมาจากโรงงานผลิตท่อโลหะไร้รอยต่อของกองทัพกู้โลกน่ะ เอาล่ะ พวกนายต่อกันได้เลย”

* * * * *

เวลา 18.20 น. ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงที่อาบน้ำเสร็จเปลี่ยนไปสวมชุดธรรมดาเรียบร้อยแล้ว ต่างคนต่างหยิบกล่องอาหารตัวเองไปหาที่นั่งในโรงอาหารหมายเลข 2 ที่ชั้น 647

โรงอาหารของแผนกความมั่นคงเปิดเวลา 18.10 น. เร็วกว่าทาง ‘เขตที่พักอาศัย’ ยี่สิบนาที

“ยอกไปหมดทั้งตัวเลย หัวหน้าลงมือโหดชะมัด” หลงเยว่หงลูบรอยฟกช้ำตามร่างกาย เจ็บจนต้องกัดฟัน เลยอดบ่นไม่ได้

ตอนเช้าพวกเขาเรียนเรื่องอาวุธ ตอนบ่ายฝึกต่อสู้ระยะประชิด เจี่ยงไป๋เหมียนลงมืออย่างไม่มียั้ง ฝึกฝนพวกเขาอย่างหนักหน่วงจริงจัง

เมื่อเทียบกันแล้ว ซางเจี้ยนเย่านั้นยืนหยัดได้นานกว่าเล็กน้อย ในขณะที่หลงเยว่หงร่วงไปกองอย่างน่าสังเวชภายใน 30 วินาทีทุกครั้ง

“ผลการปรับปรุงพันธุกรรมของหัวหน้าต้องดีกว่าพวกเราแหง! ดูสิ ไม่ว่าจะความแข็งแรง ความเร็วในการตอบสนอง และการประสานงานของอวัยวะ อย่างกับสัตว์ประหลาด! ฮ่า นายเองก็สัตว์ประหลาดเหมือนกัน เจ้าสัตว์ประหลาดน้อย!” วันนี้หลงเยว่หงเพิ่งจะได้รู้ว่าในสมัยก่อนตอนที่เรียนนั้น เพื่อนสนิทของเขายังออกแรงไม่ถึงครึ่งเลย

นี่เขาได้ต่อสู้กับสัตว์ประหลาดตัวนั้นมาจริงๆ!

ถึงแม้ว่าจะสามารถต้านทานไว้ได้ในเวลาสั้นๆ แต่สุดท้ายก็ยังคงโดนอัดกระเด็น

ซางเจี้ยนเย่ายิ้มให้หลงเยว่หง

“นายยังสู้ไป๋เฉินไม่ได้เลย”

หลงเยว่หงหน้าแดง นิ่งอยู่ครึ่งค่อนวันแล้วเถียงกลับ

“ยายนั่นเล่นนอกกติกานี่หว่า! นายเองก็เถอะ ยังเอาชนะได้แค่สองสามครั้งเองไม่ใช่รึไง”

เดิมทีนั้นเขาคิดว่าการต่อสู้กับหญิงสาวร่างเล็กอย่างไป๋เฉิน เขาจะสามารถเอาชนะได้อย่างง่ายดายเพราะขนาดตัวและความแข็งแรง แต่ใครจะไปรู้ว่าเขาได้แต่แพ้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

พึงรู้ว่าเขาได้รับการปรับปรุงพันธุกรรมตั้งแต่ยังเป็นตัวอ่อนในครรภ์ ไม่เพียงแต่ขนาดร่างกายและความแข็งแรงเท่านั้น ทั้งปฏิกิริยาตอบสนอง การประสานงานของอวัยวะ การรักษาสมดุล แต่ละอย่างล้วนยอดเยี่ยม นอกจากนั้นแล้วเขาเองก็ยังมีประสบการณ์ต่อสู้มาหลายปี

“การต่อสู้ในแดนร้างไม่มีกติกาอะไรทั้งสิ้น มีเพียงแค่อยู่หรือตายแค่นั้น” ซางเจี้ยนเย่าตอบเสียงเรียบ

“นั่นก็จริง ทักษะการต่อสู้ของเธอนั้นใช้งานได้ดีจริงๆ” หลงเยว่หงพูดและมองดูกล่องอาหารตัวเอง

มันฝรั่งโรยแต่งหน้าไว้บนข้าวสีขาว ผักดองแห้งสีดำค่อยๆ คลี่ออก น้ำซอสชุ่มไหลซึมลงด้านล่าง

ด้านบนของผักดองแห้งมีชิ้นเนื้อที่มีไขมันมากกว่าเนื้อแดงซ้อนสลับกันเป็นชั้น ชิ้นเนื้อนี้ชุ่มไปด้วยสีของน้ำซอส มันหนาเตอะ และดูมีน้ำหนัก

นี่คือเมนูเนื้อพิเศษที่หลงเยว่หงแลกมาด้วยแต้มส่วนร่วม 1 แต้ม ซึ่งเมื่อตอนเที่ยงนั้นเขาก็เพลิดเพลินสำราญใจไปกับเมนูหมูนึ่งเรียบร้อยแล้ว

“หอมฉุยเลย…” หลงเยว่หงหรี่ตา “ถ้าไม่ต้องไปออกภาคสนามละก็ นี่มันงานในฝันชัดๆ”

“พรุ่งนี้ยังมีชั้นต่อสู้อีกนะ” ซางเจี้ยนเย่าเหลือบมองเขา

เมนูเนื้อพิเศษนี้ไม่มีอย่างอื่นให้เลือก ดังนั้นของเขาจึงเป็นเนื้อนึ่งผักดองแห้งเหมือนกัน

“…หุบปากไปเลย กินไปเงียบๆ!” หลงเยว่หงหน้าหงิก

หลังจากใช้เวลาทั้งวันไปกับหัวหน้าทีม เขาก็เริ่มชินกับการพูดเสียงดังไปแล้ว

ซางเจี้ยนเย่าไม่สนใจเขา ก้มหน้าก้มตาดื่มด่ำไปกับข้าวมันฝรั่งและเนื้อนึ่งผักดองในชาม

* * * * *

หลังมื้อเย็น ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงถือกล่องอาหารเดินกลับไปที่เขต C ชั้น 495

ทันทีที่ทั้งสองเข้ามาใน ‘ศูนย์กิจกรรม’ ก็พลันเห็นหญิงสาวร่างสูงหน้าตาสะสวยสะอาดสะอ้าน แต่งกายเรียบง่าย เดินเข้ามาหา

“เฝิงอวิ๋นอิง มาหาผมมีอะไรเหรอ” หลงเยว่หงลืมซางเจี้ยนเย่าไปทันที เขาเดินเข้ามาทักทายพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าที่ไม่อาจปิดบังได้

เด็กสาวชะงักไปนิดหนึ่ง

“นายกินข้าวเสร็จแล้วเหรอ

“ฉันมานี่เพราะจะเอาของไปคืนเพื่อนน่ะ”

หลงเยว่หงพูดทั้งรอยยิ้ม

“ฉันกินมาจากโรงอาหารเล็กน่ะ”

“โรงอาหารเล็กเหรอ นายถูกบรรจุไปที่ไหนน่ะ” เฝิงอวิ๋นอิงถามด้วยความสงสัย

หากมีโรงอาหารขนาดเล็กอยู่ ย่อมไม่ใช่แผนกทั่วไป

แผนกนันทนาการที่เธอทำงานอยู่ ยังมีเพียงแค่สถานีวิทยุเท่านั้นเอง

หลงเยว่หงรู้ตัวว่าเขาพลั้งปากไปแล้ว พยายามฝืนยิ้ม

“แผนกความมั่นคงน่ะ”

เฝิงอวิ๋นอิงอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะพูดออกมาตามมารยาท

“งั้นระวังตัวด้วยนะ”

ในขณะที่ทั้งคู่พูดคุยสนทนากันอยู่ ซางเจี้ยนเย่าก็เดินไปด้านข้างลากเก้าอี้ไม้ดึงมานั่งลงข้างๆ เฉินเสียนอวี่ ผู้รับผิดชอบ ‘ศูนย์กิจกรรม’

“เป็นไงบ้าง ถูกจัดให้ไปอยู่กับกลุ่มไหนเหรอ อยากให้ตาแก่คนนี้ช่วยฝากฝังให้ไหม” เฉินเสียนอวี่ถามอย่างสบายสบาย ระหว่างที่มองดูแผงขายของเบื้องหน้า

“มาตรการรักษาความลับ” ซางเจี้ยนเย่าตอบสั้นๆ

“เอ่อ…” เฉินเสียนอวี่หันขวับมามอง

เขาไม่ได้ถามอะไรต่ออีก พลางตบบ่าซางเจี้ยนเย่า

“ระวังตัวด้วยนะ”

ในตอนนี้ลูกน้องของเฉินเสียนอวี่กลับมาจาก ‘โรงอาหารพนักงาน’ พร้อมกับกล่องอาหารของเขา

ซางเจี้ยนเย่ามองดูผู้เฒ่าแซ่เฉินที่มือหนึ่งถือกล่องข้าวอีกมือหนึ่งถือตะเกียบ แล้วพูดขึ้น

“ปู่เฉิน ปู่เคยบอกว่ารู้จักทุกคนในชั้นนี้ใช่ไหม”

เฉินเสียนอวี่ตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ “ไม่กล้าบอกว่าเต็มร้อย แต่อย่างน้อยก็เก้าสิบห้าล่ะ”

ซางเจี้ยนเย่ากำลังไตร่ตรองคิดคำพูด ทันใดนั้นก็เห็นร่างที่คุ้นเคย

นั่นคือหญิงสาวแซ่หลี่ที่เจอกันที่ห้องเลขที่ 35 ในเขต A เมื่อตอนเช้ามืด ผู้เป็นสาวกของ ‘พิธีกรรมชีวิต’

“คนนั้นน่ะ ปู่รู้จักไหม” ซางเจี้ยนเย่าชี้ไปที่สาวสวยคนนั้น

เฉินเสียนอวี่เงยหน้าขึ้นมอง

“หลี่เจิน เธอน่าจะรู้จักไม่ใช่เหรอ พวกเธอทั้งคู่เคยเป็นเพื่อนบ้านกันนี่นา

“แต่ตอนนั้นเธอยังเด็กมาก คงจำไม่ได้สินะ

“เฮ้อ หลี่เจินน่าสงสารนะ แต่งงานมีลูกสองคน จากนั้นถูกย้ายไปทำงานอื่นกับสามี เธอติดเชื้อทำให้มีลูกอีกไม่ได้ ลูกทั้งสองคนก็ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไปเมื่อไม่กี่ปีก่อน…”

ซางเจี้ยนเย่าฟังเฉินเสียนอวี่เล่าอย่างเงียบๆ ไม่ได้พูดอะไร

หลังจากนั่งอยู่ใน ‘ศูนย์กิจกรรม’ อยู่สักพักเขาก็กลับไปที่ห้อง 196 เขต B เอนกายพิงครึ่งนั่งครึ่งนอนบนเตียงรอการกระจายเสียงทางวิทยุอย่างเช่นเคย

ไม่นานนัก เสียงหวานที่คุ้นเคยก็ดังก้องไปทั่วทุกชั้นของ ‘เขตที่พักอาศัย’

“สายัณห์สวัสดิ์ค่ะ ฉัน…ผู้ประกาศข่าว ‘โฮ่วอี๋’ นะคะ ขณะนี้เวลายี่สิบนาฬิกา…

“…เนื่องจากสภาพอากาศที่ผิดปกติในปีนี้ ฝูงสัตว์ประหลาดบนแดนธุลีเริ่มอพยพไป…

“มีร่องรอยของ ‘ชุมนุมหลวงจีน’[3] ในแดนร้างใกล้บริษัท…

“…

“…อาการท้องร่วงในปศุสัตว์ที่ทุ่งหญ้า 59 เขตนิเวศน์ชั้นในได้รับการแก้ไขเรียบร้อยแล้ว…

“…แผนกนันทนาการตัดสินใจจัดการแข่งขันบาสเกตบอลพนักงานขึ้นที่ศูนย์กิจกรรมในวันหยุดของสัปดาห์นี้…”

* * * * *

[1] ยูไนเต็ดอินดัสทรีส์ (联合工业) หมายถึง สหพันธ์อุตสาหกรรม ในเรื่องนี้ใช้คำว่า ยูไนเต็ด 202 ซึ่งเป็นชื่อรุ่นของปืน

[2] ออเรนจ์คอมพานี (橘子公司) แปลว่า บริษัทส้ม ในเรื่องนี้จึงใช้ทับศัพท์แทน

[3] ชุมนุมหลวงจีน (僧侣教团)หมายถึง คณะสงฆ์ ชุมนุมสงฆ์

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท