รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 19 ยิงปืน

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 19 ยิงปืน

ในรถจี๊ป เจี่ยงไป๋เหมียนมองกระจกหลังแล้วหัวเราะ

“พวกนายสังเกตเห็นอะไรบ้างไหม”

“พวกโจรแดนร้างกลุ่มนั้นเยือกเย็น คุณสมบัติก็ไม่เลว” หลงเยว่หงพยายามนึกหาคำศัพท์จากหนังสือเรียนที่เข้ากับลักษณะคนพวกนั้น

ซางเจี้ยนเย่าเอาปืนไรเฟิล ‘นักรบคลั่ง’ ลงจากหน้าต่าง

“นอกจากตัวหัวหน้ากับอีกคนแล้ว ที่เหลือมีอาการเหมือนอยากจะโจมตีเรา แบบว่าพร้อมยิงได้ตลอดเวลา”

“ไม่เลว!” เจี่ยงไป๋เหมียนแปลกใจ “ทั้งๆ ที่ไม่ค่อยมีประสบการณ์ต่อสู้และผจญอันตรายมากเท่าไหร่ แต่กลับรับรู้ถึงความไม่เป็นมิตร ความต้องการจู่โจมคุกคาม และพวกความรู้สึกสัมผัสได้เป็นอย่างดี”

“พรสวรรค์” ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างจริงจัง

เจี่ยงไป๋เหมียนพยักหน้าเล็กน้อย

“ในขั้นตอนการปรับปรุงพันธุกรรม จะเกิดการกลายพันธุ์ในบางเรื่องบ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอก”

แล้วก็ยิ้มก่อนพูดต่อ

“แล้วนายคิดว่าสิ่งที่สังเกตเห็นนั้น บอกอะไรได้บ้าง

ซางเจี้ยนเย่าหันไปมองหลงเยว่หง กระตุ้นเขาด้วยรอยยิ้ม

“ลองทดสอบนายหน่อยซิ!”

“บอกว่า บอกว่า พวกเขา…” หลงเยว่หงนั้นพอจะมีคำตอบลางๆ แต่เพราะว่านี่เป็นคำถามจากคนอื่นที่เขาต้องตอบ ทำให้รู้สึกเครียดและประหม่าเล็กน้อย จึงยังจับใจความคำตอบนั้นไม่ได้

“บอกว่าพวกมันรนหาที่ตาย!” ซางเจี้ยนเย่าช่วยเขาตอบ

“นายล้อเล่นหรือไง” หลงเยว่หงอดโวยไม่ได้

หลังจากนั้นเขาก็เชื่อมโยงและจับประเด็นได้

“เข้าใจแล้ว!

“หลังจากที่พวกเราเปิดเผยให้เห็นว่ามีปืนที่มีอานุภาพและแสดงท่าทีที่เป็นมิตร แต่พวกมันก็ยังมีเจตนาที่จะโจมตี นี่หมายความว่าพวกมันมั่นใจว่าจะจัดการเราได้ ซึ่งนี่ต้องไม่ได้มาจากจำนวนคน อาวุธ หรืออุปกรณ์อื่นๆ

“หรือว่าจะมีอาวุธลับอยู่ในรถ หรือไม่ก็หนึ่งในนั้นมีความแข็งแกร่งมากแต่ดูผิวเผินแล้วมองไม่ออก อย่างเช่นคนที่รอดชีวิตจากการทดลองดัดแปลงพันธุกรรม ไม่ก็มีพรรคพวกซุ่มอยู่แถวนั้น”

เจี่ยงไป๋เหมียนส่งเสียง “อืม” มาคำเดียว

“ต่อไปถ้าเจอพวกนั้น อย่ารอให้พวกมันมีเวลาเตรียมตัว”

“ครับ หัวหน้า!” ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงตอบอย่างพร้อมเพรียง

รถจี๊ปยังคงแล่นไปข้างหน้า อ้อมพื้นที่สีดำและโคลน ขับเข้าไปในเส้นทางที่ต้นไม้บางตาและพื้นที่ปกคลุมไปด้วยกอวัชพืชที่โตอย่างผิดปกติด้วยความขลุกขลัก

ซางเจี้ยนเย่าที่นั่งอยู่เบาะหลังด้านขวา จู่ๆ ก็พลันยืดตัวขึ้นแล้วหยิบ ‘มอสน้ำแข็ง’ ที่เหน็บไว้ที่เข็มขัดออกมา

ปืนพกกระบอกนี้เป็นสีขาวเงินทั้งกระบอก ด้ามจับมีลายกันลื่น

มันส่องประกายโลหะแวววาวภายใต้แสงอาทิตย์ มีความประณีตราวกับเป็นงานศิลป์

ซางเจี้ยนเย่าถือปืนด้วยสองมือแล้วเริ่มถอดชิ้นส่วนอย่างชำนาญ ตรวจความเรียบร้อยในทุกรายละเอียด

ท่ามกลางเสียงที่เป็นระเบียบและไพเราะของโลหะกระทบกัน ซางเจี้ยนเย่ากดกระสุนสีเหลืองนัดสุดท้ายลงในตลับแม็กกาซีนแล้วก็ประกอบคืนเข้าไปใน ‘มอสน้ำแข็ง’

หลังจากบรรจุแม็กกาซีนเสร็จก็เหน็บ ‘มอสน้ำแข็ง’ ไว้ที่เข็มขัด จากนั้นก็ชักปืนพก ‘ยูไนเต็ด 202’ ออกมา

ตัวกระบอกเป็นสีขาวเงินเช่นกันแต่ด้ามจับหุ้มด้วยวัสดุกันลื่นสีดำเอาไว้ เมื่อเทียบกับ ‘มอสน้ำแข็ง’ แล้วมันมีลำกล้องที่หนากว่า รายละเอียดหลายส่วนก็หยาบกว่า

หลังจากทำซ้ำขั้นตอนเดิมเช่นเดียวกับเมื่อสักครู่ เขาก็ต่อด้วยปืนไรเฟิลจู่โจม ‘นักรบคลั่ง’ กระบอกสีดำ

ในฐานะที่เป็นอาวุธที่ผลิตขึ้นเองของ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ปืนกระบอกนี้จึงมีการออกแบบที่ยอดเยี่ยมเปี่ยมไปด้วยรูปลักษณ์แห่งอนาคตและอุตสาหกรรม

หลังจากตรวจสอบเสร็จ ซางเจี้ยนเย่าก็พาดอาวุธสีดำสนิทที่เป็นประกายโลหะแวววาวไว้กับหน้าต่างรถ เอนตัวเล็งปืนไปนอกรถทางนู้นทีทางนี้ที

หลงเยว่หงที่อยู่ด้านข้างรู้สึกขนลุกเกรียว รอจนซางเจี้ยนเย่าเริ่ม ‘สงบ’ ลง รีบถามขึ้น

“นายทำอะไรน่ะ”

ซางเจี้ยนเย่าตอบโดยไม่มอง

“เตรียมพร้อม ซ้อมไว้ก่อน”

หลงเยว่หงถอนหายใจโล่งอกทันที

“ไอ้ฉันก็คิดว่านายเจออะไรซะอีก…

“อย่าทำให้คนอื่นเขาเครียดไปด้วยสิ”

“ถ้าเจออะไรจริงๆ ฉันจะร้องเตือนทุกคนแหละน่า” ซางเจี้ยนเย่าดึงปืนกลับมาแล้วนั่งตัวตรง

“หัวหน้า ดูเขาสิ…” หลงเยว่หงฟ้อง

เจี่ยงไป๋เหมียนยกมือแตะอุปกรณ์โลหะที่หูซ้ายก่อนพูดด้วยรอยยิ้ม

“นายว่าอะไรนะ ฉันได้ยินไม่ถนัด!”

เธอไม่รอให้หลงเยว่หงพูดซ้ำ เธอร้อง “อ้อ” ออกมาคำหนึ่ง

“ลืมเตือนพวกนายไป

“ในแดนร้างเราต้องหูไวตาไวคอยระวังไว้ตลอด แต่ก็ไม่ต้องตึงเครียดเกินเหตุ ไม่งั้นจะทำให้เหนื่อยล้าเร็ว

“เอาล่ะ กินมื้อเที่ยงกันเถอะ ธัญพืชอัดแท่ง บิสกิตอัดแข็ง และก็น้ำ กินกันในรถนี่แหละ ไม่ต้องจอดหรอก”

หลงเยว่หงและซางเจี้ยนเย่าไม่ได้พูดอะไรอีก ต่างก็หยิบอาหารกับถุงบรรจุน้ำออกมากิน

หลังกินอาหารเสร็จหลงเยว่หงก็สลับไปขับแทนแล้วให้ไป๋เฉินมากินบ้าง

เมื่อขับไปได้หนึ่งชั่วโมง ไป๋เฉินที่นั่งเบาะหลังด้านซ้าย เธอมองออกไปนอกหน้าต่างอยู่พักใหญ่ แล้วจู่ๆ ก็พูดขึ้นมา

“แถวนี้มีบางอย่างผิดปกติ”

หลงเยว่หงสะดุ้งจนเกือบกระแทกเบรก

เขามองซ้ายแลขวาแต่ก็ไม่รู้สึกว่ามันแตกต่างไปจากเส้นทางก่อนหน้านี้ตรงไหน

สิ่งเดียวที่ต่างไปก็คือบึงด้านซ้ายมีระดับน้ำสูงกว่า ต้นไม้ลักษณะพิกลพิการบางส่วนราวกับงอกขึ้นมาจากหล่มสีดำ

“ไม่เห็นมีอะไรเลย…” เขาพูดด้วยความงุนงง

เจี่ยงไป๋เหมียนส่งเสียง “อืม” ออกมา

“เงียบเกินไป”

หลังจากที่ได้ยินเช่นนั้น ซางเจี้ยนเย่าก็มองออกไปนอกหน้าต่างอย่างครุ่นคิดแล้วพูด

“ไม่เห็นสัตว์อะไรมาพักนึงแล้ว”

หลงเยว่หงนึกขึ้นได้ในทันที

“ใช่แล้ว!

“ผิดปกติจริงๆ ด้วย”

ในแดนร้างบึงดำ แม้ว่าจะไม่ได้เจอมนุษย์หลายชั่วโมง หรือสักวันสองวันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ที่นี่เป็นสรวงสวรรค์ของสัตว์ป่า ตลอดทางที่ผ่านมาเขาเจอทั้งสัตว์ปกติและไม่ปกติ อย่างเช่นกระรอกที่เก็บตุนอาหารสำหรับฤดูหนาว นกที่บินผ่านป่า หมาป่าเดียวดายที่ซ่อนตัวซุ่มสังเกตรถจี๊ป

ไป๋เฉินละสายตากลับมาแล้วพูดกับเจี่ยงไป๋เหมียน

“หัวหน้า เปลี่ยนให้ฉันขับเถอะ เกรงว่าอาจมีอะไรอยู่แถวๆ นี้”

“ได้ เธอรู้จักแถวนี้ดีกว่าพวกเราทุกคน รู้ว่าต้องทำยังไงถ้าเกิดอะไรขึ้น” เจี่ยงไป๋เหมียนรีบส่งสัญญาณบอกให้หลงเยว่หงหยุดรถ

หลังจากสลับที่กันแล้ว ไป๋เฉินก็เหยียบคันเร่งราวกับต้องการรีบออกไปจากที่นี่โดยเร็วที่สุด

บริเวณนี้ต้นไม้สองข้างทางยังคงบางตา หล่มสีดำน้ำเจิ่งสะท้อนแสงอาทิตย์ กอวัชพืชขึ้นหนาแน่นในส่วนพื้นที่โล่ง

ทั้งหมดนี้เหมือนดูเป็นปกติ แต่มันกลับไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ราวกับเป็นภาพวาดสีน้ำมันขนาดยักษ์

หลงเยว่หงรู้สึกว่าแม้แต่ลมก็ยังหยุดพัด หัวใจเต้นระรัว ถามขึ้นอย่างประหม่า

“ทำไมทางแย่ลง

“หรือว่าจะกลับรถแล้วเปลี่ยนเส้นทางดีไหม”

ไป๋เฉินไม่ได้เยาะเย้ยหลงเยว่หง เธอพยักหน้าอย่างเคร่งเครียด

“ไปต่ออีกซักสองนาที ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อก็ค่อยกลับรถ”

ขณะที่พูดก็เหลือบมองเจี่ยงไป๋เหมียนเพื่อขอความเห็นจากหัวหน้าทีม

“อื้อ” เจี่ยงไป๋เหมียนเห็นด้วย

ระหว่างที่คุยกันอยู่ รถจี๊ปก็แล่นผ่านมาถึงบริเวณที่มีเงาร่มไม้

ต้นไม้สองฝั่งในบริเวณนี้สูงใหญ่กว่าก่อนหน้าอย่างพรวดพราด กิ่งก้านและใบยืดเหยียดถักทอสูงขึ้นไปจนบดบังท้องฟ้าเหนือ ‘ถนนหลัก’

ในตอนนี้ทั้งซางเจี้ยนเย่า เจี่ยงไป๋เหมียน และไป๋เฉิน ต่างมองเห็นเงาสีดำเส้นใหญ่ห้อยลงมาจากกลางอากาศ กวัดแกว่งไปมาแล้วกระแทกเข้ากับกระจกหน้ารถจี๊ปอย่างแรง

ส่วนหัวที่น่ากลัวของเงาดำนั้นปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีดำ ดวงตาทั้งคู่เป็นสีเหลืองเข้มและเย็นชา ปากอ้ากว้างเผยให้เห็นเขี้ยวสีขาวแหลมคมที่ยังมีเศษเนื้อเน่าติดคาอยู่ แลบลิ้นสีแดงฉานออกมา

มันคืองูเหลือมขนาดยักษ์ที่มีขนาดใหญ่เกินกว่าใครจะจินตนาการได้!

ไป๋เฉินสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ไม่ได้ตกใจมากนัก เธอเหยียบคันเร่งจนมิดอย่างใจเย็น

รถจี๊ปสีเขียวอมเทาพลันพุ่งตัวราวกับลูกธนูลอดผ่านหัวงูเหลือมไป

ระยะห่างระหว่างสองฝ่ายเพิ่มขึ้นในทันที ซางเจี้ยนเย่าเริ่มรู้สึกตัว คว้าปืนไรเฟิลจู่โจม ‘นักรบคลั่ง’ ขึ้นมา เอี้ยวตัวแล้วพาดปืนไว้กับหน้าต่าง

แล้วเขาก็มองเห็นงูเหลือมยักษ์อย่างชัดเจนเต็มตา

ผู้ที่จู่โจมอย่างกระทันหันตัวนี้ ขนาดลำตัวกว้างอย่างน้อยก็ร่วมสองถัง เห็นได้อย่างชัดเจนว่ายาวเกินกว่าสิบเมตร มันขดตัวพันรอบต้นไม้เอาไว้

ผิวทั่วร่างปกคลุมด้วยเกล็ดหนาสีดำสนิท เกล็ดสะท้อนประกายโลหะแวววาวจากแสงอาทิตย์ที่ส่องลอดช่องว่างระหว่างกิ่งไม้ใบไม้ลงมา

ไป๋เฉินหักพวงมาลัยไปทางขวาทำให้รถจี๊ปเบี่ยงไปเล็กน้อย

ด้วยวิธีนี้ ซางเจี้ยนเย่าที่นั่งอยู่เบาะขวาด้านหลังก็จะสามารถเล็งไปที่งูเหลือมยักษ์ได้

ปัง ปัง ปัง!

ซางเจี้ยนเย่าเหนี่ยวไก เสียงปืนดังต่อเนื่องเป็นชุด

กระสุนกระทบผิวงูจนเกิดประกายไฟแลบ

แต่ทว่าไม่อาจเจาะทะลวงเกล็ดหนาสีดำเข้าไปได้ สิ่งที่เกิดขึ้นมีเพียงรอยแตกเล็กน้อยบนผิวชั้นนอกเท่านั้น

ปืนไรเฟิลจู่โจม ‘นักรบคลั่ง’ ทำร้ายงูเหลือมยักษ์ที่น่ากลัวตัวนี้ไม่ได้!

งูเหลือมยักษ์รู้สึกถึงความเจ็บปวดจึงส่งเสียงขู่ฟ่อ อ้าปากพ่นควันสีเขียวอมเหลืองออกมา

ควันกระจายออกอย่างรวดเร็ว ทำให้บริเวณโดยรอบราวกับถูกปกคลุมไปด้วยหมอกสีเขียวอมเหลือง

ในกลุ่มควันนั้นกอวัชพืชเหี่ยวแห้งกลายเป็นสีเหลืองอย่างรวดเร็วก่อนจะเอนล้มลงไปกองกับพื้น

“ปิดหน้าต่าง!” เจี่ยงไป๋เหมียนออกคำสั่งอย่างใจเย็น

แล้วพูดเสริมอีก

“มันคืองูเหล็กบึงดำ!”

หลงเยว่หงที่เพิ่งหายตะลึง พอได้ยินก็หลั่งเหงื่อเย็นเยียบ

ก่อนหน้านั้นตอนที่ฝึกอยู่ เขากับซางเจี้ยนเย่าได้ยินไป๋เฉินพูดถึงสัตว์ร้ายที่อันตรายมากในแดนร้างบึงดำ

ซึ่งนั่นรวมถึง ‘งูเหล็กบึงดำ’ ด้วย

งูเหล็กบึงดำเป็นงูเหลือมสายพันธุ์หนึ่งที่ถูกมลพิษในตอนที่โลกเก่าถูกทำลาย ทำให้เกิดการกลายพันธุ์ แต่มันก็ยังสามารถสืบทอดพันธุกรรมได้

ลักษณะที่โดดเด่นที่สุดก็คือร่างกายที่ปกคลุมด้วยเกล็ดเรียบคล้ายเหล็กสีดำเป็นชั้นๆ ทำให้ยุทโธปกรณ์ส่วนใหญ่ล้วนไร้ประโยชน์

นอกจากนั้นพวกมันก็ยังมีถุงพิษที่สามารถพ่นพิษที่กัดกร่อนรุนแรง และสามารถสร้างควันพิษน่ากลัวที่เป็นอันตรายต่อพืชและสัตว์ได้อีกด้วย

ด้วยสองปัจจัยนี้รวมกัน ทำให้งูเหล็กบึงดำกลายเป็นสัตว์แห่งฝันร้าย ถึงแม้จะมีกำลังทหารหลายคนก็ยังยากที่จะรับมือโดยปราศจากอาวุธหนักหรืออาวุธพิเศษ

ยิ่งกว่านั้น งูเหล็กบึงดำราวกับมีประสาทสัมผัสรับรู้อันตรายแบบเฉียบพลัน พูดอีกอย่างก็คือถ้ามีใครซุ่มโจมตีด้วยปืนไรเฟิลจากระยะไกลโดยเล็งที่ดวงตาอันบอบบางเพื่อให้กระสุนเจาะทะลวงเข้าหัวสมอง มันก็สามารถตอบสนองเพื่อหลบหลีกได้ก่อนล่วงหน้าอีกด้วย

ด้วยเหตุนี้ งูเหล็กบึงดำจึงถูกเรียกว่า ‘สัตว์ประหลาด’ ไม่ใช่ ‘สัตว์ร้าย’

งูเหล็กบึงดำที่กำลังปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าซางเจี้ยนเย่า หลงเยว่หง และคนอื่นๆ อยู่ในขณะนี้ มีขนาดใหญ่กว่าที่ไป๋เฉินเคยอธิบายไว้มาก

* * * * *

ห่างออกไปไกล กลุ่มคนที่แอบติดตามรถจี๊ปมานั้นก็ได้ยินเสียงปืนจากด้านหน้าของตน

ต่างคนต่างก็มองหน้ากันด้วยความยินดี

“เริ่มกันแล้ว” หัวหน้าพวกเขาพูดด้วยรอยยิ้ม

* * * * *

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท