รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 24 จดหมาย

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 24 จดหมาย

การออกแบบชุดเกราะเสริมแรงนั้นต้องคำนึงถึงการถอดชิ้นส่วนเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่หลังจากที่ผู้สวมใส่เสียชีวิตไปแล้ว ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงนั้นคลุกคลีอยู่กับอุปกรณ์เหล่านี้เนื่องจากการฝึกเมื่อสองเดือนก่อน จึงคุ้นเคยกับพวกมันเป็นอย่างดี ดังนั้นเพียงแค่งมๆ คลำๆ สักพักก็เจอปุ่มควบคุมแล้วกดปิดสวิทช์ระบบศูนย์รวมและกล่องพลังงานสะพายหลังได้สำเร็จ

หลังจากเสร็จสิ้นขั้นตอนนี้แล้วก็ไม่มีงานทางเทคนิคอะไรอีก พวกเขาค่อยๆ ปลดสายรัดหัวโลหะของข้อต่อทีละชิ้น

ระหว่างที่หลงเยว่หงกำลังปลดสายรัดหัวโลหะของชิ้นส่วนข้อต่อที่ข้อศอกและข้อมืออยู่นั้นก็อ้าปากแล้วก็หุบ พอหุบแล้วก็อ้า อ้าๆ หุบๆ อยู่แบบนั้น

หลังจากอ้าปากพะงาบไปสามครั้ง สุดท้ายก็ไม่อาจทนสะกดไว้ได้อีกต่อไป เขาถามขึ้นมา

“เมื่อกี้นายไม่กังวลไม่กลัวเลยเหรอ”

ซางเจี้ยนเย่าที่รับผิดชอบแยกชิ้นส่วนของขาพลันชี้ที่ตัวเอง

“นายถามฉันเหรอ”

“ที่นี่นอกจากนายแล้ว ยังมีใครอีกเหรอ” หลงเยว่หงถาม ทั้งขำทั้งโมโหในเวลาเดียวกัน

ไป๋เฉินกำลังซ่อมรถจี๊ปอยู่ด้านหลัง ส่วนเจี่ยงไป๋เหมียนถือปืนเดินลาดตระเวนอยู่อีกด้าน ในพื้นที่เล็กๆ ที่ซากศพทอดร่างนอนอยู่ตรงนี้มีเพียงแค่เขาและซางเจี้ยนเย่าเท่านั้น

ซางเจี้ยนเย่าตบต้นขาศพ

“ยังมีเขาอีกคน”

“…” หลงเยว่หงอยากจะด่าชายหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้า แต่ก็บังเกิดความกลัวที่อธิบายไม่ได้ขึ้นมาเล็กน้อย

เขานึกถึงเรื่องที่ผู้ใหญ่ชอบเอามาขู่ให้เด็กกลัว เกี่ยวกับ…

ซางเจี้ยนเย่ากลั้นยิ้ม ร้อง “อื้อ” มาคำหนึ่ง

“ก็ต้องกังวลและกลัวอยู่แล้วล่ะ”

“แต่ฉันไม่เห็นว่านายกลัวซักหน่อย” หลงเยว่หงร้องขึ้น

ซางเจี้ยนเย่าพยักหน้าเล็กน้อย

“เพราะว่าฉันพูดกับตัวเองในใจว่า ‘เป้าหมายของนายคือช่วยมนุษยชาติ’”

“…แล้วมันเกี่ยวกันยังไงกัน” หลงเยว่หงเริ่มคุ้นเคยกับคำตอบหลุดโลกเป็นบางครั้งของซางเจี้ยนเย่าแล้ว “ฉันหมายถึงว่า ทำไมพอทำแบบนั้นแล้วนายถึงเลิกกังวลเลิกกลัวได้ล่ะ”

ซางเจี้ยนเย่าตอบด้วยสีหน้าจริงจัง

“เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายนี้ การเสียสละเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้”

ในตอนนี้หลงเยว่หงชักเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าซางเจี้ยนเย่านั้นยังเป็นปกติดีอยู่หรือเปล่า

เขารีบเปลี่ยนเรื่อง ถามขึ้นว่า

“หลังจากที่ฆ่าไปคนสองคนแล้ว นายไม่รู้สึกไม่สบายใจบ้างเลยเหรอ

“ก่อนหน้านี้ไม่นาน เขายังพูดคุยเฮฮา ยังเดินเดินมา มีชีวิต มีเลือดเนื้อ

“เอ่อ… ไม่ใช่ว่าต้องไม่สบายใจหรอกนะ แต่นายไม่รู้สึกอะไรเป็นพิเศษบ้างเลยหรือไง”

ซางเจี้ยนเย่าพยักหน้าเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น

“รู้สึกสิ”

หลงเยว่หงฟังแล้วโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก

ซางเจี้ยนเย่าพูดต่อ

“รู้สึกอยากจะยิงอีกสองนัด”

“…ทำไม” หลงเยว่หงยอมยกธงเรื่องพยายามจะทำความเข้าใจกับวิธีคิดของซางเจี้ยนเย่าแล้ว

ซางเจี้ยนเย่าเหลือบมองเขาก่อนจะหันกลับไปจ้องมองรถจี๊ปด้านหลัง

“พวกเราไม่เคยคิดจะปล้นพวกมัน ทำร้ายพวกมัน หรือยิงพวกมัน แต่พวกมันก็มีเจตนามุ่งร้ายต่อเราตั้งแต่แรก พวกมันติดตามเรามาตลอดทาง และจู่โจมเราทันทีที่มีโอกาส

“ถ้าพวกเราไม่ได้สำแดงพลังอย่างเหนือชั้นและพวกมันไม่ได้ทำผิดพลาด อย่างนั้นตอนนี้ที่นอนเป็นศพอยู่ที่นี่ ถูกรื้อค้นร่าง ก็จะเป็นพวกเราเอง นายคิดว่าพวกมันจะรู้สึกพิเศษอะไรกับเราไหม

“ไม่หรอก พวกมันคงแค่ร้องเพลง ถ่มน้ำลายใส่เรา กินธัชพืชอัดแท่งของพวกเรา กินบิสกิตอัดแข็งของพวกเรา กินอาหารกระป๋องทหารของพวกเรา เอางูยักษ์ที่พวกเราฆ่ามาทำหม้อไฟ อย่างนี้นายจะทนได้ไหม”

ภาพฉากดังกล่าววาบเข้ามาในหัวหลงเยว่หงโดยอัตโนมัติ ทำให้เขาย้อนนึกถึงความหิวโหยอันโหดร้ายที่ต้องกล้ำกลืนฝืนทนมาตั้งแต่เด็ก

ความโกรธแค้นปะทุขึ้นในทันที

“ไม่มีทาง!”

พอตอบออกไปแล้ว เขาก็เหมือนลูกโป่งถูกเจาะลมจนแฟบ ความโกรธแค้นเจือจางลง

“แต่ว่า ฉันก็ยังรู้สึกอึดอัดไม่ค่อยสบายใจอยู่ดี”

เมื่อซางเจี้ยนเย่าได้ยินคำพูดนี้ มุมปากเขาก็ค่อยๆ ยกขึ้น เผยให้เห็นรอยยิ้มที่ดูโอ้อวดเล็กน้อย

“ที่นี่ก็คือแดนธุลี

“รีบคุ้นเคยกับมันซะ”

“พูดอย่างกับว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นายออกมาบนพื้นโลกงั้นแหละ…” หลงเยว่หงพึมพำและหันกลับไปทำให้ตัวเองยุ่งกับงานต่อ

เพียงไม่นานพวกเขาก็ปลดสายรัดหัวโลหะออกจนหมดและถอดชุดเกราะเสริมแรงออกมาจากศพ

เจี่ยงไป๋เหมียนที่ไม่รู้ว่ากลับมาถึงรถจี๊ปตั้งแต่เมื่อไหร่ พูดขึ้นอย่างใคร่ครวญ

“หลงเยว่หง นายลองดูหน่อยซิ ดูว่าจะขับเคลื่อนมันได้ไหม”

อุปกรณ์อะไรแบบนี้ทำให้ชายหนุ่มบางคนคลั่งไคล้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว หลงเยว่หงเองก็เป็นหนึ่งในนั้น เขาไม่สนใจเลือดที่ยังเลอะเปื้อนเกราะอยู่ รีบร้องเรียกซางเจี้ยนเย่า และอาศัยความช่วยเหลือของอีกฝ่ายช่วยปรับความยาวของกระดูกเกราะ สวมกล่องพลังงานสะพายหลัง หมวกโลหะ และยึดตะขอโลหะเข้าด้วยกัน

หลังจากระบบศูนย์รวมตรวจสอบตัวเองเสร็จสิ้น หลงเยว่หงเหลือบมองดูข้อมูลที่แสดงขึ้นมา แล้วรีบรายงานผลโดยไม่รอช้า

“ยังเหลือพลังงาน 23% บอกว่ายังใช้ได้อีก 1 ชั่วโมง 55 นาที”

“อย่าเพิ่งเชื่อตามที่มันบอก จะใช้ได้นานขนาดนั้นก็ต่อเมื่อเป็นสถานการณ์ที่นายเคลื่อนไหวแบบปกติและทำงานแบบพื้นฐานเท่านั้นแหละ แต่ถ้าคิดอยากจะบินขึ้นฟ้า โดดไปโดดมาไม่หยุด ใช้งานระบบทุกอย่างแบบเต็มพิกัดเหมือนที่เจ้าหมอนั่นทำเมื่อกี้ ฉันว่าคงไม่เกินครึ่งชั่วโมงหรอก” ระหว่างที่พูดเจี่ยงไป๋เหมียนก็ยกขาซ้ายขึ้นมาแล้วใช้ปลายเท้าชี้ไปยังซากศพของชายฉกรรจ์

“ครับ” หลงเยว่หงเริ่มทดลองขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวด้วยท่าพื้นฐานต่างๆ

หลังจากลองฝึกใช้ไปช่วงหนึ่งเขาก็พูดอย่างประหลาดใจ

“หัวหน้า เจ้านี่ทำได้หลายอย่างมากกว่าชุดที่เคยใช้ตอนอยู่บริษัทซะอีก!”

เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะ “ฮา” ออกมาคำหนึ่ง

“นั่นเป็นของที่บริษัททำเลียนแบบขึ้นมา นายลองคิดดูละกันว่าบริษัทที่ทำเกี่ยวกับชีวภาพของพวกเรา จะเชี่ยวชาญด้านเครื่องจักรและพวกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ได้ซักแค่ไหนกันเชียว”

“นั่นก็จริง” หลงเยว่หงทดสอบการใช้งานฟังก์ชันอื่นๆ ที่เหลือของเกราะเสริมแรงด้วยความตื่นเต้น

ซางเจี้ยนเย่ายังคงนั่งยองๆ อยู่ที่เดิม สำรวจตรวจค้นทุกกระเป๋าของซากศพโดยไม่เว้นแม้แต่ในกางเกงชั้นใน

“มีบิสกิตแค่สองห่อ” สุดท้ายแล้วเขาก็มองดูสิ่งของที่วางอยู่เบื้องหน้าอย่างรังเกียจ

บิสกิตทั้งสองห่อนี้ไม่ได้ถูกบีบอัด บรรจุภัณฑ์ที่ห่อไว้มีตัวหนังสือของแม่น้ำแดงเขียนเรียงเป็นแถว แต่เนื่องจากสภาพอันสมบุกสมบันของมัน ซางเจี้ยนเย่าจึงพอจะอ่านได้แค่คำว่า ‘ต้นหอม’ กับ ‘โซดา’ เท่านั้น

ภาษาที่ใช้กันเป็นหลักบนแดนธุลีก็คือ ภาษาแดนธุลีกับภาษาแม่น้ำแดง

ภาษาแรกนั้นเป็นภาษาที่ใช้กันทั่วไปใน ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ‘กองทัพกู้โลก’ และอีกหลายกองกำลัง ส่วนภาษาหลังนั้นใช้กันเป็นหลักในเขตแม่น้ำแดง และกองกำลังใหญ่ที่อยู่ใกล้แม่น้ำแดง อย่างเช่นพวก ‘ปฐมนคร’ ‘ชุมนุมอัศวินขาว’ และ ‘ออเรนจ์คอมพานี’

นอกจากบิสกิตสองห่อแล้ว ซางเจี้ยนเย่ายังพบกระดาษจดหมายสองฉบับและป้ายตราอีกด้วย

กระดาษจดหมายทั้งสองฉบับนั้น ฉบับหนึ่งพับอย่างประณีต ส่วนอีกฉบับนั้นพับไว้อย่างลวกๆ

ซางเจี้ยนเย่าคลี่จดหมายฉบับที่พับไว้อย่างประณีตสะอาดสะอ้านออก ประเมินแล้วพูดอย่างไม่ได้จริงจัง

“ถูกพับๆ คลี่ๆ มาหลายครั้งแล้ว”

หลังจากเจี่ยงไป๋เหมียนสั่งให้หลงเยว่หงออกไปคอยเฝ้าระวังโดยรอบ เธอก็เดินไปหาซางเจี้ยนเย่าแล้วนั่งยองลงอ่านจดหมายด้วยกันกับเขา

จดหมายนี้เขียนด้วยภาษาแดนธุลี

“คุณพ่อที่รัก

“ผมอยู่เมืองปฐมนครสบายดี ถึงแม้ว่ายังมีอุปสรรคในการอ่านอยู่บ้าง แต่เรื่องการสนทนาโดยพื้นฐานก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร สามารถใช้พูดคุยได้โดยไม่มีใครสังเกตออกว่าผมมาจากแดนร้าง…

“…ระดับชั้นของที่นี่แบ่งกันอย่างเข้มงวดมาก แต่เมื่อเทียบกับภายนอกแล้วที่นี่ก็ราวกับสวรรค์ ตราบใดที่ปฏิบัติตามกฎและเชื่อฟังคนที่ระดับสูงกว่า เมื่อสามารถหาระดับชั้นและสถานภาพให้ตัวเองได้เมื่อไหร่ก็จะมีชีวิตที่ราบรื่นได้…

“…พ่อไม่ต้องกังวลเรื่องการเรียนของผม ด้วยความช่วยเหลือของคนผู้นั้นทำให้ตอนนี้ผมได้ย้ายไปโรงเรียนที่เปิดอย่างเป็นทางการแล้ว ขอเพียงผมเรียนได้จนจบก็จะสามารถกำจัดสถานะ ‘ทาส’ และกลายเป็นพลเมืองของที่นี่ได้แล้ว…

“…ไม่รู้ว่าที่เมืองยังมีอาหารพอหรือเปล่า ถึงแม้ว่าตอนนี้ยังเป็นฤดูร้อนอยู่ แต่ผมได้ยินนักเรียนบางคนบอกว่าฤดูหนาวปีนี้จะยากลำบากมากเป็นพิเศษ ผมไม่รู้ว่าเขาดูจากอะไร แต่ก็รู้สึกว่าต้องบอกให้พ่อรู้ ทุกคนจะได้เตรียมตัวกันล่วงหน้าให้เร็วที่สุด และแม้ว่านี่จะเป็นแค่ข่าวลือ แต่ผมเลือกจะเชื่อมากกว่าจะปล่อยผ่านไป…

“…ครั้งก่อนพ่อบอกว่าได้เป็นนักล่าซากอารยะแล้ว ถือเป็นเรื่องดีนะ เทียบกับเป็นโจรแล้ว อาชีพนี้มั่นคงปลอดภัยกว่าเยอะ แต่ว่ามันก็มีอันตรายมากเหมือนกัน… อย่าไปที่ซากเมืองที่เพิ่งค้นพบ อย่าไปซากเมืองที่มีคนรอดกลับมาน้อยด้วย แล้วก็อย่ากลับไปเป็นโจรอีก ถึงแม้ว่ามันจะเป็นวิธีที่เร็วที่สุดที่จะเอาอาหารสำหรับหน้าหนาวกลับไปที่เมืองก็ตาม…

“…ผมพยายามตามหาพวกพ่อค้าในเมืองที่กล้าลักลอบค้าอาหารเถื่อนอยู่ แต่ผมก็ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ แถมยังไม่มีทรัพยากรที่จะเอาไปแลกด้วย ได้แต่หวังว่าคนผู้นั้นจะแนะนำให้ผมได้รู้จักพวกลูกหลานของระดับอาวุโสจากวุฒิสภาให้มากขึ้น ดูว่าพอจะหาโอกาสจากพวกเขาได้บ้างหรือเปล่า…

“…สุดท้ายนี้ ขอให้พ่อสุขภาพแข็งแรงตลอดไป ขอให้ไม่เกิดภัยอดอยากขาดแคลน ขอให้ลุงจี๋ซุ่น ลุงจิ่นเฟิง พี่อาอวี่ และพี่เฉียนหนิงสบายดี ให้พวกเขาสามารถหาอาหารกลับไปดูแลบ้านตัวเองได้เพียงพอ ขอให้ทุกคนรอได้จนถึงวันที่วุฒิสภาอนุมัติ รอได้จนถึงวันที่จะได้เข้าร่วมกับปฐมนครในฐานะพลเมือง ไม่ใช่ทาส แล้วก็อีกอย่าง คนผู้นั้นดูแลแม่เป็นอย่างดี ไม่ต้องเป็นห่วง…

“…อันจี๋น้อยของพ่อ”

หลังจากอ่านจดหมายจบ เจี่ยงไป๋เหมียนและซางเจี้ยนเย่าไม่ได้พูดอะไรออกมาอยู่ครู่ใหญ่

“ที่นี่คือแดนธุลี” ผ่านสักพัก เจี่ยงไป๋เหมียนก็หัวเราะเยาะตัวเอง

ซางเจี้ยนเย่าตอบด้วยเสียงต่ำ

“จดหมายฉบับนี้ เขาเปิดอ่านอย่างน้อยก็ยี่สิบครั้ง…”

เป็นการประเมินจากลักษณะของรอยพับและสภาพของกระดาษ

เจี่ยงไป๋เหมียนอยากจะบอกซางเจี้ยนเย่าว่านี่เป็นเรื่องที่ว่าถ้าไม่ใช่แกตายฉันก็ต้องตาย ไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด แต่จู่ๆ ก็พลันนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงทำเพียงแค่ตบบ่าซางเจี้ยนเย่าเท่านั้น

“ทุกคนล้วนมีสองด้าน บางทีก็มากกว่าสองอีก สิ่งที่ทำต่อลูกหลานตัวเองกับทำต่อคนแปลกหน้านั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

“ในฐานะคนแปลกหน้า นายไม่จำเป็นต้องไปกังวลว่าลูกเขาจะเป็นยังไงหลังจากเสียพ่อไป แค่รู้สึกยินดีที่ตัวเองยังมีชีวิตอยู่ก็พอแล้ว

“ฉันรู้ว่านายกำลังคิดอะไร ฉันเองก็เคยได้ยินข่าวลือมาบ้าง แต่ฉันกล้ารับประกันได้เลยว่าคนของบริษัทเราจะไม่ลดตัวลงไปเป็นโจรแดนร้างเด็ดขาด หากจะปล้น ก็จะปล้นเพียงแค่ทีมขนส่งวัสดุของกองกำลังฝ่ายศัตรูเท่านั้น”

ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้พูดอะไร เขาพับจดหมายแล้วสอดกลับเข้าไปในกระเป๋าเสื้อด้านในของชายฉกรรจ์

จากนั้นก็คลี่จดหมายอีกฉบับที่ยับยู่ยี่ออกมา

“รายละเอียดภารกิจ

“สำรวจพื้นที่ทางเหนือของสถานีเยว่หลู่ และรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเป้าหมาย

“รายละเอียดเป้าหมาย

“เพศชาย ไม่ทราบที่มา ความสูงโดยประมาณ 180 เซนติเมตร ผมสีดำ ตาสีทอง – หน้าตาหล่อเหลาเอาการมาก ทั้งยังมีเสน่ห์ดึงดูดด้วย – เขาชอบสวมเสื้อเทรนช์โค้ท รองเท้าบูท และถุงมือ หวีผมเรียบร้อยอยู่เสมอ – ลักษณะไม่มีอะไรเหมือนคนเร่ร่อนแดนร้าง – ระดับความเป็นอันตราย ประเมินชั่วคราว ‘สูง’

“ค่าตอบแทน

“แป้งเกรดธรรมดาหนึ่งตัน (รับประกันโดยสมาคม)

“ระดับภารกิจ

“ระดับ C, แต้มนักล่า[1] 100”

“นี่เป็นเอกสารภารกิจของสมาคมนักล่า” เจี่ยงไป๋เหมียนอธิบาย หลังจากครุ่นคิดแล้วก็หยิบป้ายตราที่ซางเจี้ยนเย่าพบขึ้นมา “สถานีเยว่หลู่คือซากปรักโลกเก่าในแดนร้างบึงดำ อยู่ไกลออกไปทางเหนือ ซึ่งก็คือส่วนลึกของแดนร้างบึงดำที่เต็มไปด้วยความอันตราย”

ในระหว่างที่พูด เจี่ยงไป๋เหมียนก็ตรวจสอบป้ายตราในมือไปด้วย

เป็นป้ายตราสีทองเหลือง มีภาพนูนต่ำเป็นใบหน้าพร่าเลือนของมนุษย์นูนออกมา ใบหน้านั้นสลักรูปมีดและหอกเอาไว้ที่แก้มด้านละข้าง

ด้านหลังของป้ายตรามีชิปขนาดเล็กฝังเอาไว้ด้วย

นี่คือป้ายตราของสมาคมนักล่า

* * * * *

[1] แต้มนักล่า (信用积分) หมายถึง คะแนนความน่าเชื่อถือ

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท