รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 34 “กระเบื้องหลังคา” ยังไม่มีเหลือ

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 34 “กระเบื้องหลังคา” ยังไม่มีเหลือ

ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเย่วหงมองดูเจี่ยงไป๋เหมียนกับไป๋เฉินกลับไปที่รถแล้วขับไปซ่อนในจุดที่ไม่ไกลนัก จากนั้นพวกเขาก็ตรวจสอบปืนพก ‘มอสน้ำแข็ง’ กับ ‘ยูไนเต็ด 202’ ที่เข็มขัดตนเอง กับปืนไรเฟิลจู่โจม ‘นักรบคลั่ง’ ที่สะพายไว้บนร่าง

หลังจากตรวจสอบเสร็จแล้วก็สลับกันนั่งยองผูกเชือกรองเท้าบูททหารอีกครั้งให้แน่ใจว่าจะไม่มีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้น

เมื่อเสร็จสิ้นทุกอย่างก็สะพายปืนไรเฟิลจู่โจมเดินอย่างไม่เร็วไม่ช้าไปตามถนนคอนกรีตที่มีสภาพเป็นหลุมเป็นบ่อ มุ่งหน้าไปยังลานจัตุรัส

แม้ว่าตอนนี้จะเป็นฤดูใบไม้ร่วง อากาศเริ่มเย็นลงแล้ว แต่ก็ยังคงมียุงมากมายในกอวัชพืชรกชัฏ พวกมันส่งเสียงหึ่งๆ บินวนรอบซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หง

หลงเยว่หงทนได้แค่ครู่เดียว สุดท้ายก็อดพูดขึ้นมาไม่ได้

“จะไล่ยุงนี่ต้องผลัดกันไล่ทีละคนด้วยไหม”

เขารู้สึกว่ายังไงก็ควรมีคนคอยสลับกันเฝ้าระวังไว้ตลอดเวลา

“ให้ช่วยตบไหมล่ะ” ซางเจี้ยนเย่าถามเมื่อมองเห็นยุงสีดำตอมอยู่บนใบหน้าของหลงเยว่หง

หลงเยว่หงถามอย่างระแวง

“นายอยากจะตบหน้าฉันหรือไง”

“คิดว่าฉันนิสัยแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ” ซางเจี้ยนเย่ากลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่

ว่าแล้วเขาก็หยิบขวดพลาสติกใบเล็กขนาดนิ้วมือออกมาจากกระเป๋าเสื้อ เปิดฝาแล้วฉีดใส่ตัวเองสองสามครั้ง

“ลืมแล้วเหรอว่าบริษัทของเราชื่อ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ น่ะ

“ยากันยุงนี่ ประสิทธิภาพไม่เลวนะ”

หลงเยว่หงตาโต ถามขึ้นมา

“นะ… นายเอามาตั้งแต่เมื่อไหร่ มันเก็บอยู่ในรถไม่ใช่เหรอ”

ใน ‘ผานกู่ชีวภาพ’ นั้นแทบจะไม่มียุงเลย ช่วงสองสามวันที่หลงเยว่หงออกมาสู่พื้นโลกเขาก็ไม่เจอปัญหาเรื่องยุง จึงลืมเสียสนิทว่ามีของจำพวกยากันยุงด้วย

“เอามาตั้งแต่ตอนเข้าเวรเฝ้ายามกลางคืนน่ะ” ซางเจี้ยนเย่าตอบเสียงเรียบ

“ละ… แล้วไหงเมื่อคืนฉันถึงไม่เจอยุงซักตัว” หลงเยว่หงรู้สึกงุนงงเป็นอย่างมาก

ซางเจี้ยนเย่าเหลือบมองเขา

“ลองใช้สมองคิดดูดีๆ แล้วนายก็จะรู้คำตอบเอง”

เมื่อเห็นหลงเยว่หงยังคงนิ่งงงอยู่ ซางเจี้ยนเย่าก็เลยเฉลยออกมา

“ช่วงสองวันมานี้ตอนที่หัวหน้ากับฉันอยู่เวรกลางคืน เธอก็ฉีดยากันยุงไปรอบๆ

“แล้วก็ตอนที่เริ่มก่อกองไฟเมื่อกี้เธอก็ฉีดด้วย นายไม่เห็นบ้างหรือไง”

“…” หลงเยว่หงไม่คิดว่าคำตอบจะง่ายดายเพียงนี้

เพื่อไม่ให้ซางเจี้ยนเย่าหัวเราะเยาะ เขารีบชี้ไปทางขวาแล้วพูดขึ้นทันที

“ไปดูตึกพวกนั้นกันก่อนละกัน หัวหน้าบอกว่าเป็นโรงพยาบาลกับสถานีวิทยุ”

เขาหมายถึงอาคารสามหลังที่อยู่รอบลานโล่งกลางแจ้งทางฝั่งขวาของถนน ซึ่งหนึ่งในนั้นพังถล่มไปแล้ว

“ได้” ซางเจี้ยนเย่ากำลังจะเก็บขวดยากันยุงลงกระเป๋า

“เฮ้ย แล้วฉันล่ะ” หลงเยว่หงอ้าปากค้าง ทั้งตกใจ ทั้งตะลึงงัน ทั้งงุนงง

ซางเจี้ยนเย่าหัวเราะแบบไร้เสียงออกมาสองคำ

“ก็ไม่เห็นนายบอกว่าจะฉีด ฉันจะไปรู้ได้ไงถ้านายไม่พูด…”

“พอ… พอเลย! ไม่ต้องมาพูดเลียนแบบในรายการวิทยุเลย” หลงเยว่หงรีบขัดซางเจี้ยนเย่า

ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้แกล้งเขาต่อ รีบคลายเกลียวฝาขวดแล้วฉีดยากันยุงใส่หลงเยว่หง อย่างไรเสียที่นี่ก็คือแดนร้าง ตอนนี้พวกเขากำลังอยู่ในซากโรงงานเหล็ก ล้อเล่นกันแค่พอหอมปากหอมคอก็พอ ไม่อย่างนั้นอาจจะทำให้เสียสมาธิและจิตใจคลายความระมัดระวังต่อสิ่งรอบข้างไป

หลังจากจัดการเรื่องยุงแล้วทั้งสองก็มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่เจี่ยงไป๋เหมียนเรียกว่าโรงพยาบาลกับสถานีวิทยุ สิ่งแรกที่ปรากฏแก่สายตาพวกเขาก็คือเสาที่ตั้งโดดเดี่ยวอยู่สองต้น

“นี่มัน… ประตูโดนฉกไปแล้ว” หลงเยว่หงรู้สึกอยากกุมขมับขึ้นมาทันที

ซางเจี้ยนเย่าร้อง “อื้อ” ออกมาคำหนึ่ง

“นี่เรียกว่าอัตวิสัยของมนุษย์

“ถ้าไม่ใช่เพราะว่าปูนแตกอิฐหักเอาไปแลกอะไรไม่ได้แล้วละก็ เสาสองต้นนี้ก็คงหายไปนานแล้วล่ะ”

หลงเยว่หงถอนหายใจ “เฮ้อ เฮ้อ” มาสองคำแล้วเดินผ่านช่องระหว่างเสา

พอผ่านเข้ามาแล้วพวกเขาถึงเพิ่งจะเห็นว่าด้านหน้าของอาคารริมถนนนั้นมีบ้านชั้นเดียวแถวหนึ่งอยู่ชิดกำแพง เพียงแค่เลี้ยวขวาก็ถึงแล้ว

ถ้าตรงไปก็จะเป็นทางลาดไปยังบ่อน้ำ สวนไม้ดอก และลานจอดรถเล็กๆ

ผ่านลานนี้ไปก็เหมือนว่าจะสามารถใช้ถนนทางด้านข้างเพื่อขึ้นไปชั้นสองได้เลย

หลงเยว่หงส่งสัญญาณให้ซางเจี้ยนเย่า แล้วเดินนำไปยังทางเดินที่อยู่ระหว่างอาคารกับแถวของบ้านชั้นเดียว

มีคูระบายน้ำขนาดไม่กว้างนัก ด้านในมีตะไคร่กับวัชพืชขึ้นรกเต็มไปหมด

หลงเยว่หงหันซ้ายแลขวา มองเห็นว่าประตูแต่ละบานที่ชั้นล่างของอาคารทางฝั่งนี้ถูกเปิดคาไว้ พื้นที่ด้านในมีขนาดเล็กบ้างใหญ่บ้าง สองห้องที่อยู่ติดกับทางลาดนั้นเชื่อมเข้าด้วยกัน หน้าต่างที่เปิดออกข้างนอกถูกเปิดอ้าออกจนสุด ไม่มีปิดบังอำพรางแม้แต่น้อย

บ้านชั้นเดียวที่เรียงเป็นแถวนั้นถูกกั้นเป็นห้องเล็กๆ อย่างเป็นระเบียบ แต่ละห้องมีขนาดใกล้เคียงกัน สิ่งที่มองเห็นในครรลองสายตาของคนทั้งคู่ก็มีโต๊ะที่ลิ้นชักถูกดึงเปิดออกมากับม้านั่งสูงที่ล้มตะแคงอยู่ที่พื้น

หลงเยว่หงรวมคำว่า ‘โรงพยาบาล’ กับ ‘สถานีวิทยุ’ เข้าด้วยกันเพื่อพยายามจำแนกว่าพื้นที่ส่วนไหนเป็นอะไร แต่ก็ไม่สามารถหาคำตอบได้

“ที่นี่มันคือที่ไหนล่ะเนี่ย” เขาถามขึ้นมาลอยๆ ไม่ได้คาดหวังว่าซางเจี้ยนเย่าจะรู้คำตอบ

ซางเจี้ยนเย่าละสายตากลับมา ลดข้อศอกขวาลง แล้วยกปากกระบอกปืนไรเฟิล ‘นักรบคลั่ง’ ขึ้นเล็กน้อยเพื่อชี้

“แผนกผู้ป่วยนอก”

เขาพูดด้วยเสียงต่ำ น้ำเสียงหนักแน่น

“หือ” หลงเยว่หงแปลกใจและสงสัย

ขณะที่กำลังจะเอ่ยถามว่ารู้ได้ยังไง เขาก็พลันนึกขึ้นมาได้

ในแต่ละชั้นของ ‘เขตพักอาศัย’ ที่ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ นั้นมีคลินิกเล็กๆ สำหรับรักษาอาการป่วยทั่วไปอย่างเช่นปวดหัวหรือเป็นไข้ ด้านในคลินิกจะแบ่งพื้นที่เป็นสองส่วน พื้นที่ส่วนภายนอกด้านหนึ่งเป็นห้องจ่ายยา อีกด้านหนึ่งเป็นห้องพบแพทย์ พื้นที่ส่วนภายในจะมีห้องให้น้ำเกลือและห้องฉีดยา

นอกจากนั้น ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ก็ยังมีโรงพยาบาลขนาดใหญ่อีกสามแห่ง แยกกันอยู่คนละชั้น มีไว้สำหรับรักษาพนักงานที่คลินิกไม่สามารถรักษาได้

หลงเยว่หงนั้นสุขภาพแข็งแรงมาตั้งแต่เด็ก พ่อแม่และผู้สูงอายุที่บ้านก็ไม่เคยป่วยหนัก ดังนั้นเขาจึงเคยไปแค่เพียงคลินิกแถวบ้านกับคลินิกของมหาวิทยาลัยเท่านั้น ไม่เคยไปโรงพยาบาลมาก่อน ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่มีความทรงจำที่เกี่ยวกับแผนกผู้ป่วยนอกเลยแม้แต่น้อย

แม่ของซางเจี้ยนเย่าเสียชีวิตจากการเจ็บป่วย เธอจึงต้องอยู่โรงพยาบาลเป็นเวลานานก่อนจะสิ้นลม ในเวลานั้นทุกๆ วันซางเจี้ยนเย่าจะต้องไปกลับระหว่างโรงเรียน โรงพยาบาล และบ้านตนเอง

พอนึกถึงสาเหตุที่มาที่ไปได้ หลงเยว่หงก็ปิดปากสนิท

ซางเจี้ยนเย่าใช้ปากบุ้ยไปทางขวาที่อาคารชั้นเดียว

“ด้านนี้น่าจะเป็นแผนกผู้ป่วยนอก ห้องฉีดยา แล้วก็ห้องให้น้ำเกลือ แต่ละห้องมีมากกว่าหนึ่งห้อง”

แล้วเขาก็หันหน้าไปทางอาคาร

“สองห้องที่ติดกับด้านนอกน่าจะเป็นห้องจ่ายยา ที่จริงตรงหน้าต่างควรจะมีตะแกรงเหล็กและช่องว่างสำหรับยื่นยาส่งออกมา แต่โดนฉกไปหมดแล้ว ส่วนห้องที่เหลือน่าจะเป็นห้องเครื่อง ห้องการเงิน ห้องปฏิบัติการ แต่ก็ไม่แน่เหมือนกัน”

“อืม อืม” หลงเยว่หงไม่ได้ปฏิเสธ

ทั้งสองถือปืนไรเฟิลเดินสำรวจทีละห้อง แต่ก็ไม่เจออะไรที่มีประโยชน์ แม้แต่โต๊ะเก้าอี้ก็กระจัดกระจายหลุดเป็นชิ้นๆ ไม่มีที่สภาพสมบูรณ์อยู่เลย เห็นได้ชัดว่าถูกนำไปใช้ก่อไฟอย่างแน่นอน

เมื่อมาถึงห้องสุดท้ายของแถวอาคารชั้นเดียว พอหลงเยว่หงเตะประตูไม้ที่แง้มไว้ครึ่งหนึ่งให้เปิดออกก็พลันมองเห็นหัวกะโหลกสีขาว เขาจ้องมองช่องกลวงโบ๋สีดำที่เบ้าตาทั้งสองช่องอยู่หนึ่งวินาทีเต็ม

แล้วก็สะดุ้งโหยง ยกปืนไรเฟิลจู่โจม ‘นักรบคลั่ง’ ขึ้นมาเตรียมยิง

ซางเจี้ยนเย่ามองดูรอบๆ แล้วพูดด้วยเสียงต่ำ

“ตายมานานแล้วล่ะ”

หลงเยว่หงผ่อนคลายลงเล็กน้อย สังเกตสถานการณ์ในห้องอย่างระแวดระวัง

โต๊ะไม้ล้มลงกองอยู่ที่พื้น กระดาษสีเหลืองขาดๆ สองสามแผ่นหล่นอยู่ โครงกระดูกสีขาวเอนพิงโต๊ะ ไม่มีเลือดเนื้อหลงเหลืออยู่ เสื้อผ้าก็ไม่มีเช่นกัน ชิ้นส่วนกระดูกก็ได้หายไปหลายชิ้น

“พวกนักล่าที่มาก่อนหน้านี้ลอกคราบศพซะเกลี้ยง แม้กระทั่งกางเกงใน… แถวนี้มีสัตว์ป่าผ่านเข้ามาไม่น้อย…” ถึงอย่างไรหลงเยว่หงก็ผ่านการฝึกฝนอย่างเข้มงวดมาแล้ว ดังนั้นจึงสามารถประเมินหลายๆ อย่างได้จากร่องรอยที่หลงเหลืออยู่

เพิ่งจะพูดขาดคำก็มีเงาดำโผล่ออกมาจากมุมห้อง วิ่งไปข้างผนังห้องแล้วมุดเข้าไปในรูที่ไม่สะดุดตา

“…หนู” หลงเยว่หงเกือบส่งลูกตะกั่วให้มันแล้ว

ซางเจี้ยนเย่าพยักหน้าอย่างครุ่นคิด

“กินได้หรือเปล่านะ”

“…ในทางทฤษฎีก็ได้อยู่แหละ แต่เชื้อโรคเพียบ ทั้งไวรัสเอย แบคทีเรียเอย กินแล้วอาจต้องพาส่งโรงพยาบาลน่ะสิ” หลงเยว่หงพยายามอธิบายอย่างละเอียด กลัวว่าเพื่อนสนิทจะเกิดความคิดพิลึกพิลั่นขึ้นมา “นี่ถ้าหัวหน้าอยู่นี่ด้วยก็คงจะพูดว่า ‘ถ้ายังไม่ถึงกับหาอะไรกินไม่ได้จริงๆ ก็อย่าไปกินของพวกนี้เลย’”

ซางเจี้ยนเย่าถอนใจราวกับกำลังรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง

“นายคอยดูรอบๆ ไว้นะ” เขาก้าวออกไปแล้วนั่งยองลงข้างกระดาษสีเหลืองสองสามแผ่นที่ถูกฉีกออก ร่วงอยู่บนพื้น

น่าเสียดาย ไม่มีอะไรเขียนไว้

แต่ซางเจี้ยนเย่าก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่าง ทั้งลักษณะและขนาดของกระดาษนั้นเป็นแบบเดียวกัน แสดงว่าถูกฉีกออกมาจากสมุดเล่มเดียวกัน

“ถ้ามีข้อมูลสำคัญอะไรเขียนอยู่ก็คงจะมีคนเอาไปนานแล้วแหละ” หลงเยว่หงพูดสิ่งที่คิด

ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้แย้งอะไร

“เก็บไปก่อนละกัน แล้วไว้ให้หัวหน้าไปตรวจดูอีกที”

พูดเสร็จเขาก็หยิบถุงกับแหนบพลาสติกออกมา แล้วคีบแผ่นกระดาษมาใส่ไว้ในถุง

ทั้งคู่ค้นหาด้านข้างอาคารอีกครั้งแต่ก็ยังคงไม่พบอะไร

หลังจากย้อนกลับมาที่ทางลาด ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงก็เดินมาที่ลานเล็กๆ พวกเขาเห็นตึกฝั่งตรงข้ามพังลงมา อาคารสี่ชั้นด้านขวาถูกปกคลุมด้วยพืชสีเขียว

เหนือบานประตูชั้นล่างมีตัวอักษรสีแดงขนาดใหญ่สามตัว ตัวหนังสือนั้นซีดจนด่าง ส่วนที่เป็นสีเขียวออกเลอะเลือน

“แผนก-ผู้ป่วย-ใน”

“เป็นโรงพยาบาลจริงๆ ด้วย” หลงเยว่หงหันไปมองอาคารข้างทางลาด “ตรงนี้เป็นโรงพยาบาล งั้น ที่น่าจะเป็นสถานีวิทยุก็คงเป็นตึกที่ถล่มหลังนี้สินะ”

อิฐด้านบนของอาคารที่พังลงมาถูกขนไปหมดแล้ว แสดงถึงความเป็นมืออาชีพและความอดทนเป็นอย่างยิ่งของพวกนักล่าซากอารยะ

“เข้าไปดูกันเถอะ” ซางเจี้ยนเย่าเดินนำเข้าไปที่แผนกผู้ป่วยใน

ที่นี่มีเศษกระจกแตกกับมูลสัตว์เต็มไปหมด แต่สภาพยังนับได้ว่าค่อนข้างดี เพียงแต่ว่าในแต่ละห้องไม่เห็นเตียงผู้ป่วยเลยสักเตียง

“ไม่จริงน่า เตียงผู้ป่วยนี่มันโคตรจะหนักเลยนะ…” หลงเยว่หงค่อนข้างแปลกใจ

“ลากไปก็ได้” ซางเจี้ยนเย่าตอบง่ายๆ “หรือไม่ก็พกเครื่องมือตัดมาด้วย”

“ขนไปซะเกลี้ยง ไม่เหลืออะไรเลย… นี่ก็คือนักล่าซากอารยะงั้นสินะ” หลงเยว่หงถอนใจแล้วเดินตามซางเจี้ยนเย่าขึ้นบันไดไปชั้นสอง ชั้นสาม และชั้นสี่

การเดินอยู่ที่แผนกผู้ป่วยในทำให้เขาเกิดความรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ ครั่นเนื้อครั่นตัว กลิ่นที่สูดหายใจเข้าไปก็รู้สึกแปลกๆ อธิบายไม่ถูก ไม่ค่อยเหมือนกลิ่นที่หลงเหลือจากการเน่ามานานสักเท่าไหร่

“พอกันหรือยัง ไม่มีอะไรให้ดูแล้วล่ะ” หลงเยว่หงเร่งให้ซางเจี้ยงเย่ากลับออกไป

“อืม” ซางเจี้ยนเย่ามองดูห้องน้ำใกล้บันได หยิบกระดาษปากกาออกมาวางทาบผนัง แล้วก็เริ่มวาดแผนผังโรงพยาบาล

“ออกไปวาดข้างนอกไม่ได้เหรอ” หลงเยว่หงเดินกลับไปกลับมาอยู่หลายรอบ

“จะเสร็จแล้ว อีกนิดเดียว” ปากกาในมือซางเจี้ยนเย่าตวัดอยู่เหนือกระดาษ

ขั้นตอนสุดท้ายเขาก็วาดสัญลักษณ์แปลกๆ เหมือนคนนั่งยองตรงบริเวณแผนกผู้ป่วยใน

“สัญลักษณ์อะไรเนี่ย” หลงเยว่หงถามด้วยความอยากรู้

ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้ตอบ เขาวาดสัญลักษณ์ที่เหมือนกันเพิ่มลงไปข้างๆ แล้วขีดเส้นแนวนอนก่อนจะเขียนกำกับไว้ว่า

“มีส้วม”

“…” หลงเยว่หงไม่อยากยุ่งกับซางเจี้ยนเย่าอีก

หลังจากวาดแผนที่ของบริเวณนี้เสร็จ ทั้งคู่ก็ออกจากแผนกผู้ป่วยในเดินลงไปตามทางลาด

พอมาถึงทางหลัก ก่อนที่จะเริ่มมองหาเป้าหมายใหม่ก็พลันเห็นเงาร่างสองร่างออกมาจากส่วนลึกของโรงงานเหล็ก แต่ละคนขี่จักรยานและสะพายปืนไรเฟิลไว้ด้วย

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท