ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงรู้สึกงุนงงเมื่อได้ยินถ้อยคำของหลวงจีนจักรกลจิ้งฝ่า
จิ้งฝ่าจ้องมองพวกเขาอยู่สองวินาทีด้วยดวงตาไฟกะพริบสีแดง จากนั้นก็พูดกับหลงเยว่หง
“ประสกไม่รู้จักผู้ครองกาล”
พูดจบก็หันมามองซางเจี้ยนเย่าแล้วพูดโดยปราศจากอารมณ์สั่นไหว
“ประสกรู้จัก”
อะไรนะ… หลงเยว่หงหันไปมองซางเจี้ยนเย่าด้วยความงุนงงแกมประหลาดใจ
นายกับฉันได้รับการศึกษาเหมือนกัน อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบเดียวกัน ปกติก็แทบไม่ได้แยกจากกัน แล้วทำไมฉันถึงไม่เคยได้ยินคำว่า ‘ผู้ครองกาล’ แต่นายกลับรู้จักดีล่ะ
ซางเจี้ยนเย่าคิ้วกระตุกเล็กน้อย ตอบด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“เคยฟังมานิดหน่อย”
ใบหน้าโลหะสีดำของจิ้งฝ่า แสงสีแดงกะพริบอีกครั้ง
“สิ้นสุด เริ่มต้น สิ้นปี เริ่มปี…
“ประสกรู้มาจากผู้ศรัทธาแห่งตุลากรชะตา”
เมื่อสักครู่ซางเจี้ยนเย่ายังรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้าง แต่ตอนนี้เขายืนยันได้แล้ว
หลวงจีนจักรกลเบื้องหน้าผู้นี้สามารถได้ยินเสียงในใจของเขาได้บางส่วน!
หลงเยว่หงไม่อาจเข้าใจนาม ‘ตุลากรชะตา’ แต่ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ปกติ
จิ้งฝ่าไม่ได้พูดต่อ แต่อธิบายแบบง่ายๆ
“ผู้ครองกาลคือทวยเทพผู้ซึ่งควบคุมกาลเวลาและปกครองดูแลโลกใบนี้ มีทั้งหมด 13 องค์ แยกกันจัดการแต่ละเดือน”
“เดือนมีแค่ 12 เดือนเองไม่ใช่เหรอ” หลงเยว่หงชี้ให้เห็นปัญหาข้อนี้ทันที
เขาเข้าใจคร่าวๆ ว่าผู้ครองกาลนั้นเป็นความเชื่อทางศาสนาอย่างหนึ่งที่คนบนพื้นโลกนิยมกัน หรือไม่ก็เป็นพวกตำนานเทพปกรณัม
โทนเสียงของจิ้งฝ่าทั้งต่ำและเย็นชา ฟังไม่เหมือนเสียงมนุษย์แม้แต่น้อย
“มีหนึ่งองค์ที่ปกครองอธิกมาส หรือก็คือ…ทั้งปี ตลอดปี”
โดยไม่รอให้หลงเยว่หงถามอะไรอีก จิ้งฝ่าตัดเข้าเรื่องทันที
“นิกายของพวกเราสอนว่ากายสังขารไร้รูปลักษณ์ สรรพสิ่งธาตุทั้งสี่ล้วนว่างเปล่า นั่นเป็นเพราะว่าโลกนี้ก็คือความฝันของพระโลเกศวรตถาคต[1]”
ซางเจี้ยนเย่าขัดหลวงจีนจักรกลจิ้งฝ่าขึ้นมาทันที
“พระโลเกศวรตถาคตเหรอ… ไม่ใช่เป็นพระพุทธะโพธิหรอกเหรอ
จิ้งฝ่าประนมมือ แล้วตอบ
“พระโลเกศวรตถาคตคือพระพุทธเจ้าในกาลอดีต เป็นพระผู้สร้าง พระพุทธะโพธิตถาคตคือพระพุทธเจ้าในกาลปัจจุบัน เป็นบ่อเกิดแห่งการรู้แจ้งของสรรพสิ่ง
“เมื่อสักครู่มิใช่ว่าประสกต้องการถามเกี่ยวกับผู้ครองกาลที่ปกครองเดือนอธิกมาส ซึ่งเป็นตัวแทนของตลอดทั้งปีหรอกหรือ
“หลวงจีนยากไร้ผู้นี้กำลังบอกว่า นั่นก็คือพระโลเกศวรตถาคตนั่นเอง”
ทั้งซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงแสดงสีหน้าว่าเข้าใจขึ้นมาพร้อมๆ กัน ผงกศีรษะเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น
จิ้งฝ่าก้มศีรษะแล้วสวดภาวนา
“นโม โลเกศวรตถาคต”
ขณะที่ภาวนาก็ยืดแผ่นหลังที่เป็นโครงโลหะเพื่อนั่งตัวตรง ยังคงอยู่ในท่าประนมมือแล้วโค้งคำนับเล็กน้อยต่อ ‘ปล่องไฟ’ ที่สูงตระหง่าน
“พวกประสกต้องการถามหรือไม่ว่าเหตุใดหลวงจีนยากไร้ถึงแสดงความเคารพต่อหอคอยที่สร้างจากโลหะและเหล็กกล้า” หลังจากที่จิ้งฝ่ากลับขึ้นมานั่งตัวตรง ก็พูดสิ่งที่อยู่ในความคิดของซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หง
“นั่นเป็นเพราะว่าพระโลเกศวรตถาคต ยังมีอีกพระนามหนึ่งคือ ‘พุทธะสถูป’[2] เป็นพระนามของพุทธองค์ซึ่งแทนความหมายของหอพุทธะอีกด้วย ดังนั้นเมื่อเราเอ่ยพระนามของพระตถาคต จึงควรสักการะหอคอยที่สูงที่สุดในบริเวณที่เราอยู่ จะเป็นหอพุทธะหรือเป็นหอส่งน้ำ หอคอยเหล็ก หอกระจายสัญญาณ หอไฟฟ้าแรงสูงก็ได้ทั้งนั้น”
ตอนแรกนั้นซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงต่างก็รู้สึกว่าคำพูดของหลวงจีนจักรกลนั้นฟังเป็นเหตุเป็นผล มีตรรกะอย่างชัดเจน แต่พอได้ฟังไปถึงครึ่งหลังกลับเริ่มรู้สึกแปลกๆ ชอบกล
ไม่ทราบว่าจิ้งฝ่ารับรู้ความคิดของพวกเขาหรือไม่ แต่ก็หยุดพูดเรื่องนี้ทันที หันไปพูดเรื่องอื่นต่อ
“ภายนอกแดนแห่งสมณะนั้น พระโลเกศวรตถาคตยังมีอีกพระนามหนึ่ง”
“ชื่ออะไรเหรอ” หลงเยว่หงโพล่งขึ้นมา
จิ้งฝ่าที่ยังคงอยู่ในท่านั่งขัดสมาธิ ใบหน้าโลหะไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมาให้เห็น
“มหาปราชญ์จวง”
“มหาปราชญ์จวง… มหาปราชญ์จวงแห่งผู้ครองกาล…จวงจื่อฝันว่าเป็นผีเสื้อ…[3]”
ซางเจี้ยนเย่าอดพึมพำกับตัวเองไม่ได้
ศีรษะจิ้งฝ่าผงกขึ้นลง
“ที่มหาปราชญ์จวงฝันถึง ก็คือโลกใบนี้นั่นเอง
“พวกประสกย่อมต้องเคยฝันกันมาก่อน รู้ว่าทุกสิ่งในฝันนั้นคือภาพมายา ดังนั้นความรู้สึกทั้งหมด ความแปรผันทั้งมวล ล้วนแต่เป็นเรื่องของเหตุสัมพันธ์ที่ลิขิต หากไม่อาจเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้ ก็จะจมดิ่งสู่ความมืดมนอนธกาลต่อไป เวียนว่ายในทุกข์ของวัฏฏะแห่งการเกิดแก่เจ็บตาย พลัดพรากจากสิ่งรัก ความเกลียดชัง ความปรารถนา และทุกข์ในขันธ์ห้า”
ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงคิดใคร่ครวญ ฟังแล้วเกิดความรู้สึกบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าคำพูดของหลวงจีนจักรกลเบื้องหน้านั้นมีกี่เรื่องที่เป็นหลักธรรม
หลักฐานก็คือที่บอกว่าโลกนี้เป็นเพียงความฝันหนึ่งตื่นขององค์เทพ
พูดมาถึงตอนนี้จิ้งฝ่าก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“ประสกทั้งสองโปรดรอสักครู่ ให้หลวงจีนยากไร้ผู้นี้ซ่อมบำรุงก่อน”
“…”ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงต่างก็จ้องเขม็งไปยังหลวงจีนจักรกลในชุดหลวงจีนห่มจีวรแดงเบื้องหน้าฝาเปิดโลหะที่ตำแหน่งเอวแล้วหยิบเอาขวดพลาสติกออกมาจากด้านใน
จากนั้นก็คลายเกลียวฝาขวดโลหะใบเล็ก จ่อไปที่ตำแหน่ง ‘ไหปลาร้า’ แล้วหยอด ‘น้ำมันหล่อลื่น’ ข้นหนืดสีเหลืองลงไปเล็กน้อย
“นี่คือ…” ซางเจี้ยนเย่าถามด้วยความอยากรู้
ที่จริงเขาไม่ได้คิดว่าจิ้งฝ่าจะตอบ แต่อีกฝ่ายกลับตอบออกมาตามตรง
“น้ำมันหล่อลื่นชนิดพิเศษ”
สีหน้าของซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงพลันแข็งทื่อค้างไปถึงสองวินาที และรู้สึกขึ้นมาทันทีว่าช่างเป็นเรื่องเหลวไหลยิ่งนักที่เมื่อครู่นี้เหตุใดจึงคิดว่าคำพูดของหลวงจีนฟังแล้วสมเหตุสมผลมาก
จิ้งฝ่าเหมือนจะไม่ได้ใส่ใจ หลังจากเก็บขวดน้ำมันหล่อลื่นชนิดพิเศษแล้วก็เงยหน้ามองทั้งสองคนด้วยดวงตากะพริบสีแดง
“ประสกทั้งสองเติบใหญ่กี่หนาวฝนแล้วหรือ”
“???” ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงต่างมึนงงไปชั่วครู่ ไม่อาจเข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการถามอะไร
ในหนังสือเรียนของ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ให้ความสำคัญกับกวีนิพนธ์และสำนวนภาษิตมากกว่าร้อยแก้วโบราณ
จิ้งฝ่าไม่ได้ใส่ใจ เปลี่ยนไปใช้คำถามที่นิยมใช้มากกว่า
“ประสกทั้งสองอายุเท่าใด”
“21” ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงตอบโดยพร้อมเพรียงกัน
จิ้งฝ่ายกชายจีวรขึ้นมาวางพาดที่หัวเข่า
“ประสกทั้งสองอายุยังน้อย จึงอาจจะยังไม่เข้าใจสิ่งที่หลวงจีนยากไร้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้มากนัก ไว้รอจนอายุ 30 40 50 ปีเมื่อไหร่ พอประสกทั้งสองอายุมากขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายเริ่มอ่อนแอลงเรื่อยๆ เจ็บป่วยบ่อยขึ้น มีโรคภัยมากขึ้น ได้พบเจอความน่าเศร้าสลดทุกข์ใจมากขึ้น ก็จะเข้าใจความหมายของคำว่าสรรพสัตว์ล้วนเป็นทุกข์ได้อย่างกระจ่างเอง”
ซางเจี้ยนเย่าอ้าปากอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็หุบปากลงก่อน
แต่หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีก็อดไม่ไหว พูดออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง
“แต่ว่าพวกเราได้รับการปรับปรุงพันธุกรรมแล้ว ต่อให้อายุ 50 ปีก็ยังคงแข็งแรงอยู่”
จิ้งฝ่าชะงักไปชั่วขณะ แต่ก็เรียกสติคืนได้อย่างรวดเร็ว
“แต่สุดท้ายยังคงต้องทิ้งกายสังขาร แม้ว่าจะทอดเวลาช้าไปอีกหน่อย ไม่ว่าจะห้าสิบปีหรือหนึ่งร้อยปีก็ล้วนไม่แตกต่าง”
หลงเยว่หงอยากจะแย้ง แต่เมื่อเหลือบมองเห็นเครื่องยิงระเบิดที่ติดตั้งไว้ที่แขนซ้ายของหลวงจีนจักรกลก็เปลี่ยนใจ ยอมแพ้อย่างมีเหตุผล
“ท่านพูดถูก” ซางเจี้ยนเย่าละสายตาจากตำแหน่งเดียวกับหลงเยว่หง
“พวกประสกคิดว่าในความฝันนั้น สิ่งใดคือเรื่องจริง หากพิจารณาจากความฝันตามปกติน่ะ”
ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงคิดใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็พากันสั่นศีรษะ
เสียงเย็นชาไร้ความรู้สึกของจิ้งฝ่าดังขึ้นอีกครั้ง
“อันที่จริงในความฝันนั้น มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่เป็นเรื่องจริง นั่นก็คือการตระหนักรู้ในตนเอง แต่ละคนที่ฝันต่างก็รู้ว่าตัวเองก็คือตัวเอง
“ประสกทั้งสองยังไม่เข้าใจอีกหรือ สรรพสิ่งล้วนว่างเปล่า แต่จิตสำนึกนั้นเป็นของจริง เมื่อประสกหนีจากบ่วงพันธนาการของกายสังขารได้ ก็จะสามารถควบคุมจิตสำนึกสติสัมปชัญญะของตัวเองได้อย่างแท้จริง สามารถหลุดพ้นจากสิ่งลวงตา เข้าสู่ดินแดนวิสุทธิ์ ได้รับชีวิตอมตะ มีความสุขเป็นนิรันดร์”
“อย่างนั้นเราจะควบคุมจิตสำนึกอย่างแท้จริงได้ยังไง” ซางเจี้ยนเย่าถามด้วยความเคยชิน
จิ้งฝ่าชี้ที่ตัวเอง
“ใช้อุปกรณ์โอนถ่ายจิตสำนึกเข้าไปในร่างกายหุ่นจักรกล นี่จะทำให้ประสกสามารถพ้นจากพันธนาการของกายสังขารได้โดยตรง”
“แต่ว่าศาสนาทั่วไปเน้นเรื่องการบำเพ็ญเพียรไม่ใช่เหรอ” หลงเยว่หงยกคำพูดบางส่วนมาจากตำราเรียนใน ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ขึ้นมา
เสียงโมโนโทนไร้ระดับสูงต่ำของจิ้งฝ่าตอบ
“สามพันวิถีธรรมเที่ยงแท้ สี่หมื่นประตูข้าง แม้ว่าแต่ละเส้นทางแตกต่างกันไปแต่ก็สามารถนำไปสู่แดนวิสุทธิ์ได้
“ชุมนุมหลวงจีนของเราเลือกเส้นทางวิทยาการเทคโนโลยีแห่งสามพันเส้นทางของวิถีธรรมเที่ยงแท้”
ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงริมฝีปากสั่นระริก ความคิดยุ่งเหยิงจนไม่รู้จะตอบยังไง
หลวงจีนจักรกลจิ้งฝ่าพูดต่อ
“เมื่อประสกละทิ้งกายสังขาร เคลื่อนย้ายจิตสำนึกไปยังชิปชีวจักรกลของหุ่นยนต์ก็จะพบดินแดนวิสุทธิ์ที่เรียกว่า ‘โลกใหม่’ บนแดนธุลี
“นี่จะทำให้พวกประสกได้ตระหนักถึงพุทธะธรรมและได้รับพลังแห่งทวยเทพ
“หลวงจีนยากไร้ผู้นี้สามารถได้ยินเสียงในใจของประสกเพราะว่าพระพุทธะโพธิตถาคตทรงมหาเมตตามหาการุญ ทำให้หลวงจีนยากไร้รู้แจ้งถึงวิธีการประสานใจ แต่แน่นอนว่าหลวงจีนยากไร้นั้นมรรคผลไม่เพียงพอ จึงไม่อาจได้ยินเนื้อหาในใจที่มากและลึกเกินไปได้”
…นี่บอกจุดอ่อนของตัวเองออกมาตรงๆ เลยงั้นเหรอ… ซางเจี้ยนเย่าและหลงเยว่หงเกิดความคิดเดียวกันนี้วาบขึ้นมา
จิ้งฝ่าประนมมือภาวนานามพระพุทธองค์
“บรรพชิตมิอาจมุสา”
“…อะไรคือมรรคผล” ซางเจี้ยนเย่าซักถามข้อสงสัยเพิ่ม
จิ้งฝ่าตอบด้วยเสียงโมโนโทน
“การโอนย้ายจิตสำนึกยังไม่ใช่ที่สิ้นสุด แต่เป็นการเริ่มต้น
“เส้นทางแห่งวิทยาการเทคโนโลยีไม่ใช่แกนหลัก แต่เป็นตัวช่วย หน้าที่ของพวกมันคือจัดเตรียมเงื่อนไขที่ดีกว่าเพื่อเข้าใจถึงพุทธะธรรมได้ง่ายขึ้น
“หลังจากละทิ้งกายสังขารไปแล้ว เราสามารถมองเห็นโลกจากมุมมองอื่น ทำให้เราเข้าใจพุทธะธรรมได้ลึกซึ้งขึ้น และเข้าใจว่าสรรพสิ่งธาตุทั้งสี่ล้วนว่างเปล่า
“นี่คือกระบวนการที่เกี่ยวข้อง จุดเชื่อมต่อที่สำคัญของกระบวนการนี้นี่แหละที่เรียกว่า ‘มรรคผล’ และเมื่อมรรคผลถึงพร้อมก็จะบรรลุถึง ‘มหาอรหันต์’ แล้วจะทำให้สามารถเข้าสู่แดนวิสุทธิ์ได้อย่างแท้จริง หลุดพ้นจากโลกโลกีย์”
หลังจากอธิบายเสร็จ จิ้งฝ่าก็มองซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หง
“ประสกทั้งสอง เรื่องนี้ค่อนข้างละเอียดลึกล้ำ สำหรับวันนี้คงพอแต่เพียงเท่านี้
“หลวงจีนยากไร้ผู้นี้มองออกว่าประสกทั้งสองกำลังเดินทางอยู่ในแดนธุลี หวังเพียงประสกผ่านพบประสบการณ์บนโลก จะสามารถเข้าใจได้ว่าสรรพสัตว์ล้วนเป็นทุกข์ กายสังขารล้วนไร้รูปลักษณ์
“เมื่อถึงเวลานั้น หากมีวาสนาสัมพันธ์ได้พบกัน หลวงจีนยากไร้ผู้นี้จะเปลี่ยนผ่านพวกประสกแล้วส่งไปยังแดนวิสุทธิ์มายาเอง”
ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงเห็นว่าหลวงจีนจักรกลสิ้นสุดการเทศนาต่างก็รู้สึกยินดีมีสุข ไหนเลยจะกล้าถามอะไรต่ออีก
พวกเขารีบลุกขึ้นยืนแล้วหลบไปด้านข้างเพื่อหลีกทางให้
“หากประสกไม่ปรารถนาเรียกนามทางธรรม[4]ของอาตมา จะเรียกอาตมาว่าอาจารย์เซน[5]ก็ได้” จิ้งฝ่าประนมสองมือ
เขาสะบัดจีวรก้าวถอยหลังไป แล้วหายลับไปทางหัวมุม
เมื่อเห็นหลวงจีนจักรกลจากไปแล้ว ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงก็มองหน้ากัน แล้วเดินย้อนกลับไปตามทางเดิม ออกจาก ‘ป่า’ กองเหล็กขึ้นสนิม
พอมาถึงประตูทางเข้า หลงเยว่หงมองไปรอบๆ เพื่อคำนวณระยะทาง จากนั้นก็รีบหยิบวิทยุสื่อสารขึ้นมาแล้วกดปุ่ม
“หัวหน้า พวกเราเจอหลวงจีนจากชุมนุมหลวงจีน!”
ซางเจี้ยนเย่าเองก็ต้องการทำแบบนี้เช่นกัน จึงไม่ได้ห้ามหลงเยว่หง
“อะไรนะ ชื่อทางธรรมของเขาคืออะไร” เสียงเจี่ยงไป๋เหมียนดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงคลื่นแทรกซ่าๆ
ใกล้ๆ กับ ‘ปล่องไฟ’ สูงตระหง่านเหล่านั้น หลวงจีนจักรกลจิ้งฝ่าที่กำลังเดินเข้าไปในส่วนลึกของซากปรักโรงงานเหล็กก็พลันหยุดชะงัก
แสงสีแดงในดวงตาสว่างวาบ ลำคออันแข็งทื่อหมุนไป พลางพูดด้วยเสียงเย็นชาไร้อารมณ์
“เสียงผู้หญิง…”
* * * * *
[1] พระโลเกศวรตถาคต (世自在如来) พระโลเกศวรราชพุทธเจ้า เป็นพระพุทธเจ้าในอดีตกาลตามคติพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน
[2] พุทธะสถูป (浮屠) สิ่งก่อสร้างที่มีรูปโอคว่ำ ไว้สำหรับบรรจุของควรบูชาในศาสนาพุทธ เช่น พระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าและพระธาตุของพระอรหันต์ บางครั้งยังใช้คู่กับคำว่า เจดีย์ เป็น สถูปเจดีย์ เช่น เดินเวียนเทียนรอบพระสถูปเจดีย์
[3] จวงจื่อฝันว่าเป็นผีเสื้อ (庄生晓梦迷蝴蝶) จวงจื่อเป็นจอมปราชญ์นักปรัชญาลัทธิเต๋าชาวจีน รุ่นหลังจากเหลาจื่อที่เป็นศาสดาของลัทธิเต๋า
[4] นามทางธรรม (法号) เมื่อบวชเป็นหลวงจีนหรือนักพรตเต๋า จะมีการตั้งชื่อทางธรรมใช้แทนชื่อตัวของเดิม เพื่อแสดงถึงการตัดขาดจากทางโลก
[5] อาจารย์เซน (禅师)“เซน” เป็นนิกายหนึ่งของศาสนาพุทธฝ่ายมหายาน ซึ่งเป็นการอ่านออกเสียงแบบญี่ปุ่น ส่วนในภาษาจีนแมนดารินออกเสียงว่า “ฉาน” มาจากภาษาสันสกฤตว่า “ธฺยาน”