รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 37 ความฝันหนึ่งตื่น

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 37 ความฝันหนึ่งตื่น

ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงรู้สึกงุนงงเมื่อได้ยินถ้อยคำของหลวงจีนจักรกลจิ้งฝ่า

จิ้งฝ่าจ้องมองพวกเขาอยู่สองวินาทีด้วยดวงตาไฟกะพริบสีแดง จากนั้นก็พูดกับหลงเยว่หง

“ประสกไม่รู้จักผู้ครองกาล”

พูดจบก็หันมามองซางเจี้ยนเย่าแล้วพูดโดยปราศจากอารมณ์สั่นไหว

“ประสกรู้จัก”

อะไรนะ… หลงเยว่หงหันไปมองซางเจี้ยนเย่าด้วยความงุนงงแกมประหลาดใจ

นายกับฉันได้รับการศึกษาเหมือนกัน อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบเดียวกัน ปกติก็แทบไม่ได้แยกจากกัน แล้วทำไมฉันถึงไม่เคยได้ยินคำว่า ‘ผู้ครองกาล’ แต่นายกลับรู้จักดีล่ะ

ซางเจี้ยนเย่าคิ้วกระตุกเล็กน้อย ตอบด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น

“เคยฟังมานิดหน่อย”

ใบหน้าโลหะสีดำของจิ้งฝ่า แสงสีแดงกะพริบอีกครั้ง

“สิ้นสุด เริ่มต้น สิ้นปี เริ่มปี…

“ประสกรู้มาจากผู้ศรัทธาแห่งตุลากรชะตา”

เมื่อสักครู่ซางเจี้ยนเย่ายังรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้าง แต่ตอนนี้เขายืนยันได้แล้ว

หลวงจีนจักรกลเบื้องหน้าผู้นี้สามารถได้ยินเสียงในใจของเขาได้บางส่วน!

หลงเยว่หงไม่อาจเข้าใจนาม ‘ตุลากรชะตา’ แต่ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ปกติ

จิ้งฝ่าไม่ได้พูดต่อ แต่อธิบายแบบง่ายๆ

“ผู้ครองกาลคือทวยเทพผู้ซึ่งควบคุมกาลเวลาและปกครองดูแลโลกใบนี้ มีทั้งหมด 13 องค์ แยกกันจัดการแต่ละเดือน”

“เดือนมีแค่ 12 เดือนเองไม่ใช่เหรอ” หลงเยว่หงชี้ให้เห็นปัญหาข้อนี้ทันที

เขาเข้าใจคร่าวๆ ว่าผู้ครองกาลนั้นเป็นความเชื่อทางศาสนาอย่างหนึ่งที่คนบนพื้นโลกนิยมกัน หรือไม่ก็เป็นพวกตำนานเทพปกรณัม

โทนเสียงของจิ้งฝ่าทั้งต่ำและเย็นชา ฟังไม่เหมือนเสียงมนุษย์แม้แต่น้อย

“มีหนึ่งองค์ที่ปกครองอธิกมาส หรือก็คือ…ทั้งปี ตลอดปี”

โดยไม่รอให้หลงเยว่หงถามอะไรอีก จิ้งฝ่าตัดเข้าเรื่องทันที

“นิกายของพวกเราสอนว่ากายสังขารไร้รูปลักษณ์ สรรพสิ่งธาตุทั้งสี่ล้วนว่างเปล่า นั่นเป็นเพราะว่าโลกนี้ก็คือความฝันของพระโลเกศวรตถาคต[1]”

ซางเจี้ยนเย่าขัดหลวงจีนจักรกลจิ้งฝ่าขึ้นมาทันที

“พระโลเกศวรตถาคตเหรอ… ไม่ใช่เป็นพระพุทธะโพธิหรอกเหรอ

จิ้งฝ่าประนมมือ แล้วตอบ

“พระโลเกศวรตถาคตคือพระพุทธเจ้าในกาลอดีต เป็นพระผู้สร้าง พระพุทธะโพธิตถาคตคือพระพุทธเจ้าในกาลปัจจุบัน เป็นบ่อเกิดแห่งการรู้แจ้งของสรรพสิ่ง

“เมื่อสักครู่มิใช่ว่าประสกต้องการถามเกี่ยวกับผู้ครองกาลที่ปกครองเดือนอธิกมาส ซึ่งเป็นตัวแทนของตลอดทั้งปีหรอกหรือ

“หลวงจีนยากไร้ผู้นี้กำลังบอกว่า นั่นก็คือพระโลเกศวรตถาคตนั่นเอง”

ทั้งซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงแสดงสีหน้าว่าเข้าใจขึ้นมาพร้อมๆ กัน ผงกศีรษะเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น

จิ้งฝ่าก้มศีรษะแล้วสวดภาวนา

“นโม โลเกศวรตถาคต”

ขณะที่ภาวนาก็ยืดแผ่นหลังที่เป็นโครงโลหะเพื่อนั่งตัวตรง ยังคงอยู่ในท่าประนมมือแล้วโค้งคำนับเล็กน้อยต่อ ‘ปล่องไฟ’ ที่สูงตระหง่าน

“พวกประสกต้องการถามหรือไม่ว่าเหตุใดหลวงจีนยากไร้ถึงแสดงความเคารพต่อหอคอยที่สร้างจากโลหะและเหล็กกล้า” หลังจากที่จิ้งฝ่ากลับขึ้นมานั่งตัวตรง ก็พูดสิ่งที่อยู่ในความคิดของซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หง

“นั่นเป็นเพราะว่าพระโลเกศวรตถาคต ยังมีอีกพระนามหนึ่งคือ ‘พุทธะสถูป’[2] เป็นพระนามของพุทธองค์ซึ่งแทนความหมายของหอพุทธะอีกด้วย ดังนั้นเมื่อเราเอ่ยพระนามของพระตถาคต จึงควรสักการะหอคอยที่สูงที่สุดในบริเวณที่เราอยู่ จะเป็นหอพุทธะหรือเป็นหอส่งน้ำ หอคอยเหล็ก หอกระจายสัญญาณ หอไฟฟ้าแรงสูงก็ได้ทั้งนั้น”

ตอนแรกนั้นซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงต่างก็รู้สึกว่าคำพูดของหลวงจีนจักรกลนั้นฟังเป็นเหตุเป็นผล มีตรรกะอย่างชัดเจน แต่พอได้ฟังไปถึงครึ่งหลังกลับเริ่มรู้สึกแปลกๆ ชอบกล

ไม่ทราบว่าจิ้งฝ่ารับรู้ความคิดของพวกเขาหรือไม่ แต่ก็หยุดพูดเรื่องนี้ทันที หันไปพูดเรื่องอื่นต่อ

“ภายนอกแดนแห่งสมณะนั้น พระโลเกศวรตถาคตยังมีอีกพระนามหนึ่ง”

“ชื่ออะไรเหรอ” หลงเยว่หงโพล่งขึ้นมา

จิ้งฝ่าที่ยังคงอยู่ในท่านั่งขัดสมาธิ ใบหน้าโลหะไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมาให้เห็น

“มหาปราชญ์จวง”

“มหาปราชญ์จวง… มหาปราชญ์จวงแห่งผู้ครองกาล…จวงจื่อฝันว่าเป็นผีเสื้อ…[3]”

ซางเจี้ยนเย่าอดพึมพำกับตัวเองไม่ได้

ศีรษะจิ้งฝ่าผงกขึ้นลง

“ที่มหาปราชญ์จวงฝันถึง ก็คือโลกใบนี้นั่นเอง

“พวกประสกย่อมต้องเคยฝันกันมาก่อน รู้ว่าทุกสิ่งในฝันนั้นคือภาพมายา ดังนั้นความรู้สึกทั้งหมด ความแปรผันทั้งมวล ล้วนแต่เป็นเรื่องของเหตุสัมพันธ์ที่ลิขิต หากไม่อาจเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้ ก็จะจมดิ่งสู่ความมืดมนอนธกาลต่อไป เวียนว่ายในทุกข์ของวัฏฏะแห่งการเกิดแก่เจ็บตาย พลัดพรากจากสิ่งรัก ความเกลียดชัง ความปรารถนา และทุกข์ในขันธ์ห้า”

ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงคิดใคร่ครวญ ฟังแล้วเกิดความรู้สึกบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าคำพูดของหลวงจีนจักรกลเบื้องหน้านั้นมีกี่เรื่องที่เป็นหลักธรรม

หลักฐานก็คือที่บอกว่าโลกนี้เป็นเพียงความฝันหนึ่งตื่นขององค์เทพ

พูดมาถึงตอนนี้จิ้งฝ่าก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา

“ประสกทั้งสองโปรดรอสักครู่ ให้หลวงจีนยากไร้ผู้นี้ซ่อมบำรุงก่อน”

“…”ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงต่างก็จ้องเขม็งไปยังหลวงจีนจักรกลในชุดหลวงจีนห่มจีวรแดงเบื้องหน้าฝาเปิดโลหะที่ตำแหน่งเอวแล้วหยิบเอาขวดพลาสติกออกมาจากด้านใน

จากนั้นก็คลายเกลียวฝาขวดโลหะใบเล็ก จ่อไปที่ตำแหน่ง ‘ไหปลาร้า’ แล้วหยอด ‘น้ำมันหล่อลื่น’ ข้นหนืดสีเหลืองลงไปเล็กน้อย

“นี่คือ…” ซางเจี้ยนเย่าถามด้วยความอยากรู้

ที่จริงเขาไม่ได้คิดว่าจิ้งฝ่าจะตอบ แต่อีกฝ่ายกลับตอบออกมาตามตรง

“น้ำมันหล่อลื่นชนิดพิเศษ”

สีหน้าของซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงพลันแข็งทื่อค้างไปถึงสองวินาที และรู้สึกขึ้นมาทันทีว่าช่างเป็นเรื่องเหลวไหลยิ่งนักที่เมื่อครู่นี้เหตุใดจึงคิดว่าคำพูดของหลวงจีนฟังแล้วสมเหตุสมผลมาก

จิ้งฝ่าเหมือนจะไม่ได้ใส่ใจ หลังจากเก็บขวดน้ำมันหล่อลื่นชนิดพิเศษแล้วก็เงยหน้ามองทั้งสองคนด้วยดวงตากะพริบสีแดง

“ประสกทั้งสองเติบใหญ่กี่หนาวฝนแล้วหรือ”

“???” ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงต่างมึนงงไปชั่วครู่ ไม่อาจเข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการถามอะไร

ในหนังสือเรียนของ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ให้ความสำคัญกับกวีนิพนธ์และสำนวนภาษิตมากกว่าร้อยแก้วโบราณ

จิ้งฝ่าไม่ได้ใส่ใจ เปลี่ยนไปใช้คำถามที่นิยมใช้มากกว่า

“ประสกทั้งสองอายุเท่าใด”

“21” ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงตอบโดยพร้อมเพรียงกัน

จิ้งฝ่ายกชายจีวรขึ้นมาวางพาดที่หัวเข่า

“ประสกทั้งสองอายุยังน้อย จึงอาจจะยังไม่เข้าใจสิ่งที่หลวงจีนยากไร้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้มากนัก ไว้รอจนอายุ 30 40 50 ปีเมื่อไหร่ พอประสกทั้งสองอายุมากขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายเริ่มอ่อนแอลงเรื่อยๆ เจ็บป่วยบ่อยขึ้น มีโรคภัยมากขึ้น ได้พบเจอความน่าเศร้าสลดทุกข์ใจมากขึ้น ก็จะเข้าใจความหมายของคำว่าสรรพสัตว์ล้วนเป็นทุกข์ได้อย่างกระจ่างเอง”

ซางเจี้ยนเย่าอ้าปากอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็หุบปากลงก่อน

แต่หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีก็อดไม่ไหว พูดออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง

“แต่ว่าพวกเราได้รับการปรับปรุงพันธุกรรมแล้ว ต่อให้อายุ 50 ปีก็ยังคงแข็งแรงอยู่”

จิ้งฝ่าชะงักไปชั่วขณะ แต่ก็เรียกสติคืนได้อย่างรวดเร็ว

“แต่สุดท้ายยังคงต้องทิ้งกายสังขาร แม้ว่าจะทอดเวลาช้าไปอีกหน่อย ไม่ว่าจะห้าสิบปีหรือหนึ่งร้อยปีก็ล้วนไม่แตกต่าง”

หลงเยว่หงอยากจะแย้ง แต่เมื่อเหลือบมองเห็นเครื่องยิงระเบิดที่ติดตั้งไว้ที่แขนซ้ายของหลวงจีนจักรกลก็เปลี่ยนใจ ยอมแพ้อย่างมีเหตุผล

“ท่านพูดถูก” ซางเจี้ยนเย่าละสายตาจากตำแหน่งเดียวกับหลงเยว่หง

“พวกประสกคิดว่าในความฝันนั้น สิ่งใดคือเรื่องจริง หากพิจารณาจากความฝันตามปกติน่ะ”

ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงคิดใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็พากันสั่นศีรษะ

เสียงเย็นชาไร้ความรู้สึกของจิ้งฝ่าดังขึ้นอีกครั้ง

“อันที่จริงในความฝันนั้น มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่เป็นเรื่องจริง นั่นก็คือการตระหนักรู้ในตนเอง แต่ละคนที่ฝันต่างก็รู้ว่าตัวเองก็คือตัวเอง

“ประสกทั้งสองยังไม่เข้าใจอีกหรือ สรรพสิ่งล้วนว่างเปล่า แต่จิตสำนึกนั้นเป็นของจริง เมื่อประสกหนีจากบ่วงพันธนาการของกายสังขารได้ ก็จะสามารถควบคุมจิตสำนึกสติสัมปชัญญะของตัวเองได้อย่างแท้จริง สามารถหลุดพ้นจากสิ่งลวงตา เข้าสู่ดินแดนวิสุทธิ์ ได้รับชีวิตอมตะ มีความสุขเป็นนิรันดร์”

“อย่างนั้นเราจะควบคุมจิตสำนึกอย่างแท้จริงได้ยังไง” ซางเจี้ยนเย่าถามด้วยความเคยชิน

จิ้งฝ่าชี้ที่ตัวเอง

“ใช้อุปกรณ์โอนถ่ายจิตสำนึกเข้าไปในร่างกายหุ่นจักรกล นี่จะทำให้ประสกสามารถพ้นจากพันธนาการของกายสังขารได้โดยตรง”

“แต่ว่าศาสนาทั่วไปเน้นเรื่องการบำเพ็ญเพียรไม่ใช่เหรอ” หลงเยว่หงยกคำพูดบางส่วนมาจากตำราเรียนใน ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ขึ้นมา

เสียงโมโนโทนไร้ระดับสูงต่ำของจิ้งฝ่าตอบ

“สามพันวิถีธรรมเที่ยงแท้ สี่หมื่นประตูข้าง แม้ว่าแต่ละเส้นทางแตกต่างกันไปแต่ก็สามารถนำไปสู่แดนวิสุทธิ์ได้

“ชุมนุมหลวงจีนของเราเลือกเส้นทางวิทยาการเทคโนโลยีแห่งสามพันเส้นทางของวิถีธรรมเที่ยงแท้”

ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงริมฝีปากสั่นระริก ความคิดยุ่งเหยิงจนไม่รู้จะตอบยังไง

หลวงจีนจักรกลจิ้งฝ่าพูดต่อ

“เมื่อประสกละทิ้งกายสังขาร เคลื่อนย้ายจิตสำนึกไปยังชิปชีวจักรกลของหุ่นยนต์ก็จะพบดินแดนวิสุทธิ์ที่เรียกว่า ‘โลกใหม่’ บนแดนธุลี

“นี่จะทำให้พวกประสกได้ตระหนักถึงพุทธะธรรมและได้รับพลังแห่งทวยเทพ

“หลวงจีนยากไร้ผู้นี้สามารถได้ยินเสียงในใจของประสกเพราะว่าพระพุทธะโพธิตถาคตทรงมหาเมตตามหาการุญ ทำให้หลวงจีนยากไร้รู้แจ้งถึงวิธีการประสานใจ แต่แน่นอนว่าหลวงจีนยากไร้นั้นมรรคผลไม่เพียงพอ จึงไม่อาจได้ยินเนื้อหาในใจที่มากและลึกเกินไปได้”

…นี่บอกจุดอ่อนของตัวเองออกมาตรงๆ เลยงั้นเหรอ… ซางเจี้ยนเย่าและหลงเยว่หงเกิดความคิดเดียวกันนี้วาบขึ้นมา

จิ้งฝ่าประนมมือภาวนานามพระพุทธองค์

“บรรพชิตมิอาจมุสา”

“…อะไรคือมรรคผล” ซางเจี้ยนเย่าซักถามข้อสงสัยเพิ่ม

จิ้งฝ่าตอบด้วยเสียงโมโนโทน

“การโอนย้ายจิตสำนึกยังไม่ใช่ที่สิ้นสุด แต่เป็นการเริ่มต้น

“เส้นทางแห่งวิทยาการเทคโนโลยีไม่ใช่แกนหลัก แต่เป็นตัวช่วย หน้าที่ของพวกมันคือจัดเตรียมเงื่อนไขที่ดีกว่าเพื่อเข้าใจถึงพุทธะธรรมได้ง่ายขึ้น

“หลังจากละทิ้งกายสังขารไปแล้ว เราสามารถมองเห็นโลกจากมุมมองอื่น ทำให้เราเข้าใจพุทธะธรรมได้ลึกซึ้งขึ้น และเข้าใจว่าสรรพสิ่งธาตุทั้งสี่ล้วนว่างเปล่า

“นี่คือกระบวนการที่เกี่ยวข้อง จุดเชื่อมต่อที่สำคัญของกระบวนการนี้นี่แหละที่เรียกว่า ‘มรรคผล’ และเมื่อมรรคผลถึงพร้อมก็จะบรรลุถึง ‘มหาอรหันต์’ แล้วจะทำให้สามารถเข้าสู่แดนวิสุทธิ์ได้อย่างแท้จริง หลุดพ้นจากโลกโลกีย์”

หลังจากอธิบายเสร็จ จิ้งฝ่าก็มองซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หง

“ประสกทั้งสอง เรื่องนี้ค่อนข้างละเอียดลึกล้ำ สำหรับวันนี้คงพอแต่เพียงเท่านี้

“หลวงจีนยากไร้ผู้นี้มองออกว่าประสกทั้งสองกำลังเดินทางอยู่ในแดนธุลี หวังเพียงประสกผ่านพบประสบการณ์บนโลก จะสามารถเข้าใจได้ว่าสรรพสัตว์ล้วนเป็นทุกข์ กายสังขารล้วนไร้รูปลักษณ์

“เมื่อถึงเวลานั้น หากมีวาสนาสัมพันธ์ได้พบกัน หลวงจีนยากไร้ผู้นี้จะเปลี่ยนผ่านพวกประสกแล้วส่งไปยังแดนวิสุทธิ์มายาเอง”

ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงเห็นว่าหลวงจีนจักรกลสิ้นสุดการเทศนาต่างก็รู้สึกยินดีมีสุข ไหนเลยจะกล้าถามอะไรต่ออีก

พวกเขารีบลุกขึ้นยืนแล้วหลบไปด้านข้างเพื่อหลีกทางให้

“หากประสกไม่ปรารถนาเรียกนามทางธรรม[4]ของอาตมา จะเรียกอาตมาว่าอาจารย์เซน[5]ก็ได้” จิ้งฝ่าประนมสองมือ

เขาสะบัดจีวรก้าวถอยหลังไป แล้วหายลับไปทางหัวมุม

เมื่อเห็นหลวงจีนจักรกลจากไปแล้ว ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงก็มองหน้ากัน แล้วเดินย้อนกลับไปตามทางเดิม ออกจาก ‘ป่า’ กองเหล็กขึ้นสนิม

พอมาถึงประตูทางเข้า หลงเยว่หงมองไปรอบๆ เพื่อคำนวณระยะทาง จากนั้นก็รีบหยิบวิทยุสื่อสารขึ้นมาแล้วกดปุ่ม

“หัวหน้า พวกเราเจอหลวงจีนจากชุมนุมหลวงจีน!”

ซางเจี้ยนเย่าเองก็ต้องการทำแบบนี้เช่นกัน จึงไม่ได้ห้ามหลงเยว่หง

“อะไรนะ ชื่อทางธรรมของเขาคืออะไร” เสียงเจี่ยงไป๋เหมียนดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงคลื่นแทรกซ่าๆ

ใกล้ๆ กับ ‘ปล่องไฟ’ สูงตระหง่านเหล่านั้น หลวงจีนจักรกลจิ้งฝ่าที่กำลังเดินเข้าไปในส่วนลึกของซากปรักโรงงานเหล็กก็พลันหยุดชะงัก

แสงสีแดงในดวงตาสว่างวาบ ลำคออันแข็งทื่อหมุนไป พลางพูดด้วยเสียงเย็นชาไร้อารมณ์

“เสียงผู้หญิง…”

* * * * *

[1] พระโลเกศวรตถาคต (世自在如来) พระโลเกศวรราชพุทธเจ้า เป็นพระพุทธเจ้าในอดีตกาลตามคติพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน

[2] พุทธะสถูป (浮屠) สิ่งก่อสร้างที่มีรูปโอคว่ำ ไว้สำหรับบรรจุของควรบูชาในศาสนาพุทธ เช่น พระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าและพระธาตุของพระอรหันต์ บางครั้งยังใช้คู่กับคำว่า เจดีย์ เป็น สถูปเจดีย์ เช่น เดินเวียนเทียนรอบพระสถูปเจดีย์

[3] จวงจื่อฝันว่าเป็นผีเสื้อ (庄生晓梦迷蝴蝶) จวงจื่อเป็นจอมปราชญ์นักปรัชญาลัทธิเต๋าชาวจีน รุ่นหลังจากเหลาจื่อที่เป็นศาสดาของลัทธิเต๋า

[4] นามทางธรรม (法号) เมื่อบวชเป็นหลวงจีนหรือนักพรตเต๋า จะมีการตั้งชื่อทางธรรมใช้แทนชื่อตัวของเดิม เพื่อแสดงถึงการตัดขาดจากทางโลก

[5] อาจารย์เซน (禅师)“เซน” เป็นนิกายหนึ่งของศาสนาพุทธฝ่ายมหายาน ซึ่งเป็นการอ่านออกเสียงแบบญี่ปุ่น ส่วนในภาษาจีนแมนดารินออกเสียงว่า “ฉาน” มาจากภาษาสันสกฤตว่า “ธฺยาน”

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท