รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 89 กลับบ้าน (องก์สอง ยังไม่จบ)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 89 กลับบ้าน (องก์สอง ยังไม่จบ)

“แต่เดิมนั้นไม่เคยมีพระผู้ปลดปล่อย และไม่ต้องพึ่งพาเทพเซียนหรือฮ่องเต้

“จะสร้างความสุขของมวลมนุษย์ ก็ต้องพึ่งพาตัวเอง…”

ท่ามกลางเสียงร้องเพลงที่แหบห้าว รถจี๊ปขับมุ่งผ่านภูเขาลำเนาไพร

“ในที่สุดก็ได้กลับบริษัทเสียที…” หลงเยว่หงมองดูถนนที่มองไม่เห็นปลายทาง อดทอดถอนใจด้วยความสะเทือนอารมณ์ไม่ได้

แม้ว่าในแดนธุลีจะมีท้องฟ้าสีครามสดใส เมฆสีขาวล่องลอย ดวงอาทิตย์เจิดจ้า สุมทุมแมกไม้ ทิวทัศน์หลากหลายละลานตา และสภาพแวดล้อมเปิดโล่งกว้างขวาง แต่หลังจากที่ต้องออกไปอยู่บนโลกภายนอกเป็นเวลานาน เขาก็อดคิดถึงชีวิตที่เงียบสงบและมั่นคงภายในบริษัทไม่ได้

สำหรับผู้คนที่รู้เรื่องของแดนธุลีนั้น นามของ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ไม่ได้เป็นอะไรที่แปลกประหลาด แต่ทว่าแทบจะไม่มีใครรู้ว่าศูนย์บัญชาการของบริษัทตั้งอยู่ที่ใด นี่จึงสร้างความลึกลับให้กับ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ เพิ่มอีกชั้นหนึ่ง นักล่าซากอารยะส่วนมากรู้เพียงว่าบริเวณสถานที่ตั้งของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ นั้นมีกลุ่มโจรที่แข็งแกร่งหลายกลุ่มอาศัยอยู่ ทำให้พวกเขาไม่กล้าเข้าใกล้

เจี่ยงไป๋เหมียนที่นั่งอยู่เบาะข้างคนขับได้ยินหลงเยว่หงทอดถอนใจ เธอแตะเครื่องช่วยฟังแล้วเอียงหน้ามายิ้มให้

“ฉันคิดว่านายไม่อยากจะกลับบริษัทแล้วซะอีก เห็นพวกสาวๆ ที่เมืองฉีเฟิงมามะรุมมะตุ้มนายกันใหญ่”

พอหลงเยว่หงได้ยินคำพูดนี้ก็ทำเอาหน้าแดงทันที

“ไม่มีอะไรสักหน่อย หัวหน้าอย่าพูดมั่วๆ สิ!”

เมืองฉีเฟิงนั้นตั้งอยู่ท่ามกลางป่าเขาของแดนร้างบึงดำ เป็นสถานที่ห่างไกลและยากเข้าถึง ทาง ‘ทีมสำรวจเก่า’ เองก็ไม่สามารถขับรถจี๊ปเข้าไปได้

พวกเขาต้องเดินตามยามรักษาการณ์ด้วยเส้นทางเล็กๆ ไปยังเชิงเขา เดินเท้าไปราวสิบห้านาทีก็จะพบพื้นที่โล่งกว้าง มองเห็นพื้นที่เพาะปลูกกว้างใหญ่ไพศาล

ข้อได้เปรียบทางภูมิศาสตร์นี้จึงทำให้เมืองฉีเฟิงได้รับการรับประกันความปลอดภัย แต่ขณะเดียวกันก็ส่งผลต่อปัญหาการขาดแคลนแหล่งน้ำด้วยเช่นกัน

นี่ไม่ได้หมายความว่าบนภูเขาไม่มีน้ำ เพียงแต่ว่าน้ำที่นั่นดูสกปรกมาก ราวกับว่ามีดินจำนวนมากละลายปะปนลงไป แม้จะใช้รดพืชผักได้ แต่ชาวเมืองก็ไม่ค่อยวางใจนักเพราะกลัวว่าจะปนเปื้อนมลพิษและไม่สะอาด

ก่อนจะมาเข้าร่วมกับ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ นั้น พวกเขาต้องรองน้ำฝนเก็บไว้ หรือไม่ก็ต้องอ้อมไปอีกฟากของภูเขาแล้วแบกน้ำมาด้วยความเหนื่อยยาก

เมื่อถึงฤดูกาลที่ยากลำบาก เส้นทางบนภูเขาก็ยากสัญจร พวกเขาก็ได้แต่ต้องกล้ำกลืนฝืนทนดื่มน้ำสกปรกที่ทำให้ตกตะกอนแล้ว อายุขัยโดยเฉลี่ยชาวเมืองฉีเฟิงจึงสั้นยิ่งกว่าชาวเมืองน้ำล้อมมาก

ดังนั้นเมื่อชาวเมืองฉีเฟิงได้เห็น ‘ทีมสำรวจเก่า’ มาส่งชิปกรองน้ำอันใหม่ และซ่อมแซมโรงงานผลิตน้ำดิบให้ พวกเขาจึงมีความสุขและรู้สึกซาบซึ้งจากใจจริง

ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงนำอาหารล้ำค่าที่เก็บสะสมไว้มาเลี้ยงรับรองแขกผู้ทรงเกียรติ

ในตอนนั้นหญิงสาวชาวเมืองฉีเฟิงมากหน้าหลายตาต่างก็รุมล้อมซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หง แสดงความกระตือรือร้นอย่างออกหน้าออกตา เช่นเดียวกับที่หนุ่มๆ มารุมล้อมเจี่ยงไป๋เหมียนกับไป๋เฉิน

เจี่ยงไป๋เหมียนได้ยินแล้วก็หัวเราะ

“เหรออออ ถึงหูฉันจะไม่ค่อยดี แต่ตาฉันไม่ได้บอดสักหน่อย

“ช่วงสองสามวันนั้น นายไปที่ไหนก็มีแต่สาวๆ ล้อมหน้าล้อมหลัง ฉันเห็นนายยิ้มแฉ่งหน้าบานเป็นกระด้งเลย”

“แค่ก…” หลงเยว่หงไอแห้งๆ ไม่รู้จะตอบเช่นไร

ตอนนั้นเขามีความสุขมากจริงๆ นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาได้รับความนิยมจากเพศตรงข้ามมากถึงขนาดนี้

เจี่ยงไป๋เหมียน ไม่ได้ ‘เข้าใจ’ ถึงเจตนาที่แท้จริงของการไอของหลงเยว่หงแม้แต่น้อย ยังคงหยอกเย้าเขาต่อไป

“ว่าไงนะ ไม่มีความสัมพันธ์กับคนไหนเกินเพื่อนเลยงั้นเหรอ

“หรือว่านายเป็น…”

ซางเจี้ยนเย่าซึ่งกำลังขับรถฟังเพลงก็พูดแทรกขึ้นมา

“เขากลัวน่ะ”

หลงเยว่หงอยากจะแย้ง แต่น่าเศร้าที่มันเป็นความจริง

ผู้หญิงพวกนั้นกระตือรือร้นกันมากเกินไปทำให้เขากลัวจนไม่กล้าทำอะไร

แน่นอนว่านั่นเป็นเพราะว่าก่อนหน้านี้เขาได้ยินหัวหน้าทีมพูดถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของสาวๆ เหล่านี้ให้ฟังแล้ว

นั่นก็คือการได้แต่งงานเข้าไปอยู่ในดินแดนสุขาวดีของ ‘ผานกู่ชีวภาพ’

หากว่าไม่สามารถแต่งงานเข้าไปอยู่ที่นั่นได้ งั้นก็ขอเพียงแค่ได้ตั้งครรภ์เพื่อเพิ่มลูกหลานที่มีพันธุกรรมอันยอดเยี่ยมให้กับเมืองเล็กๆ แห่งนี้ก็ยังดี

นอกจากนี้หลงเยว่หงก็ต้องยอมรับว่าตนเองมีเหตุผลเล็กน้อยอีกประการหนึ่งที่ทำให้เขากลัวก็คือหญิงสาวเหล่านี้ดูสกปรกมอมแมมเนื่องจากว่าเมืองฉีเฟิงขาดแคลนน้ำสะอาด จนกระทั่งชิปกรองน้ำอันใหม่ได้ขนส่งมาถึง

“กลัวก็ไม่เห็นจะเป็นไรนี่” เจี่ยงไป๋เหมียนเดาะลิ้นแล้วก็หันไปถามซางเจี้ยนเย่า “แล้วนายล่ะ ไหงพวกสาวๆ ถึงไม่มาเจ๊าะแจ๊ะกับนาย ใช้พลังกับพวกเธอหรือไง”

ร่างซางเจี้ยนเย่าโยกเบาๆ ไปตามจังหวะดนตรี

“เปล่าหรอก

“ผมเพียงแค่สนทนากับพวกเธออย่างจริงจังเกี่ยวกับสถานการณ์ของมนุษยชาติในทุกวันนี้ พูดคุยเรื่องมลพิษ โรคภัย ความอดอยาก การกลายพันธุ์ แล้วก็ ‘คนไร้ใจ’ และสาธยายเรื่องชะตากรรมที่พวกเราแต่ละคนต้องแบกรับไว้

“พวกเธอฟังแล้วรู้สึกซาบซึ้งและเกิดแรงบันดาลใจอย่างมาก แสดงท่าทางว่าอยากจะรีบกลับบ้านไปคิดทบทวน

“อืม ก็คงต้องใช้เวลาพอสมควรในการย่อยข้อมูลแหละ หวังว่าพวกเธอจะตกผลึกทางความคิด เข้าใจได้กระจ่างอย่างรวดเร็ว”

เจี่ยงไป๋เหมียนได้ฟังแล้วก็เม้มริมฝีปากแน่นเพราะกลัวว่าจะระเบิดหัวเราะออกมา

“ฉันประเมินนายต่ำไปซะแล้ว” เธอกล่าวชมเชยเขาด้วย ‘สีหน้าจริงจัง’

ไป๋เฉินที่นั่งอยู่เบาะหลังได้ฟังทั้งสามพูดคุยกัน แม้ว่าเธอไม่ได้ร่วมวงสนทนาด้วย แต่ก็แสดงสีหน้าที่ดูอ่อนโยนมาก เธอฟังอย่างตั้งใจ บางทีก็เผยอยิ้มออกมา

รถจี๊ปขับมาอีกไม่กี่นาที เจี่ยงไป๋เหมียนก็ตบที่วางแขนคอนโซลกลางเบาๆ ก่อนจะพูด

“จอดก่อน เปลี่ยนให้ฉันขับได้แล้วล่ะ ถึงยังไงพอไปถึงประตูทางเข้าเพื่อตรวจสอบ ก็ต้องเปลี่ยนที่นั่งกันอยู่ดี”

ซางเจี้ยนเย่าจอดรถอย่างอิดออด เปิดประตูลงมาแล้วขึ้นไปนั่งที่ตำแหน่งข้างคนขับ

เจี่ยงไป๋เหมียนปิดลำโพง หัวเราะร่า

“กลับบ้าน!”

จากนั้นเธอก็เหยียบคันเร่ง มุ่งหน้าสู่ทางเข้าอาคารใต้ดินของ ‘ผานกู่ชีวภาพ’

ระหว่างนี้ภายในใจของหลงเยว่หงก็มีภาพเหตุการณ์ที่ได้ประสบพบเจอมาก่อนหน้านี้ผ่านวูบเข้ามาอย่างต่อเนื่องอย่างไม่อาจควบคุมได้

การต่อสู้กับงูเหล็กบึงดำและชุดเกราะกระดูกเสริมแรงทางทหาร – การท่องหนังสือของเด็กๆ ในเมืองน้ำล้อม – การได้พบกับจิ้งฝ่าที่ซากโรงงานเหล็ก – การฆ่าล้างเมืองหนูดำ – พลังทำเสน่ห์ที่ทรงพลังของเฉียวชู – ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ กับสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ – หลังจากที่ ‘ไฟฟ้า’ สว่างขึ้น พวก ‘คนไร้ใจ’ ก็ดูเหมือนมนุษย์ปกติ – เสียงหอนโหยหวนที่เศร้าสร้อยอ้างว้างดังก้องสะท้อนอยู่ในเมืองที่ตายไปแล้ว – ความกระตือรือร้นของชาวเมืองฉีเฟิง – การฝึกเพื่อเอาชีวิตรอดในแดนร้าง…

ระยะเวลาสั้นๆ เพียงแค่เดือนเดียว แต่กลับทำให้เขารู้สึกเหมือนมีชีวิตอยู่มานานกว่าสิบปีแล้ว

เพียงไม่นานนัก ‘ทีมสำรวจเก่า’ ทั้งสี่คนก็มองเห็นทางเข้าอาคารใต้ดินของ ‘ผานกู่ชีวภาพ’

ในตอนนี้จิตใจของหลงเยว่หงกลับมาเป็นปกติแล้ว เขารู้สึกสบายใจและสงบสุขอย่างไม่มีอะไรเทียบได้

ราวกับใบไม้ที่ปลิวล่องลอยตามลม ในที่สุดก็ร่วงหล่นกลับคืนสู่โคนต้นเสียที

“พอออกไปนานๆ ก็อยากจะกลับมา แต่พอกลับมาอยู่นานๆ เข้าก็อยากจะออกไปใหม่ มนุษย์หนอมนุษย์… ช่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่ย้อนแย้งเสียจริง” เจี่ยงไป๋เหมียนขับรถไปพลาง ทอดถอนใจไปพลาง

รถจี๊ปเคลื่อนตัวมุ่งหน้าเข้าใกล้ประตูทางเข้าไปทุกขณะ

* * * * *

หลังจากที่ผ่านการตรวจสอบหลายครั้งหลายครา ในที่สุดสมาชิกทั้งสี่ของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ก็กลับมาที่ห้องเลขที่ 14 ชั้น 647

“เอาของทุกอย่างที่นำกลับมาจากข้างนอกมาให้ฉัน” เจี่ยงไป๋เหมียนมองดูทุกคนรอบกายแล้วพูดขึ้น “ของพวกนี้ต้องส่งไปให้บริษัทตรวจสอบก่อน ถึงจะตัดสินได้ว่าจะได้คืนมาหรือเปล่า”

เธอยิ้มแล้วพูดเสริมอีกสองประโยค

“วางใจได้ ของชิ้นไหนที่ต้องส่งมอบให้กับบริษัทก็จะได้แต้มส่วนร่วมเป็นค่าตอบแทน บริษัทไม่เอาเปรียบพวกนายหรอกน่า

“ส่วนพวกข้าวของจิปาถะที่ทางบริษัทไม่สนใจ ก็จะคืนกลับมาให้พวกนาย

“ฮ่า ฮ่า ไม่รู้ว่าหน่วยปฏิบัติการของหวังเป่ยเฉิงกลับมาถึงหรือยัง เรายังมีรถหุ้มเกราะกับข้าวของอื่นๆ อยู่ที่พวกเขาด้วย”

เมื่อได้ยินคำว่า ‘หวังเป่ยเฉิง’ ไป๋เฉินก็ครุ่นคิดก่อนจะพูดขึ้น

“ไม่รู้ว่าพวกเขาจะพบเบาะแสอะไรที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับความผิดปกติต่างๆ ในซากเมืองนั้นบ้างหรือเปล่านะ”

เจี่ยงไป๋เหมียนร้อง “อืม” ออกมาคำหนึ่ง

“ไว้เจอกันเมื่อไหร่จะลองถามดู หวังว่าเรื่องนี้คงไม่ได้มีมาตรการรักษาความลับสูงเกินไป

“เฮ้อ ในความคิดฉันนะ ฉันคิดว่าโอกาสที่พวกเขาจะหาเบาะแสเจอ ไม่น่าจะมีมากสักเท่าไหร่ ห้องแล็บนั่นก็ระเบิดไปแล้ว ไอ้เจ้าตัวที่หอนที่อยู่ข้างในน่าจะไม่เหลือซากด้วยซ้ำ…”

ระหว่างที่เธอกำลังพูดอยู่ ซางเจี้ยนเย่าก็นำเอาข้าวของทั้งหมดที่เขานำกลับมาด้วย วางกองไว้บนโต๊ะ

สิ่งที่มีก็คือ…

แว่นกันแดดสีดำ, นาฬิกาข้อมือแบบแมคคานิกส์หน้าปัดสีดำ, ลูกแก้วใสมีกลีบดอกไม้สีเหลืองฝังอยู่ข้างในที่ได้มาจากเมืองน้ำล้อม, แผ่นกระดาษจากซากโรงพยาบาลที่โรงงานเหล็ก, เครื่องบันทึกเสียงของเด็กหญิงเมืองหนูดำ, ปืนพกอูเป่ย 7 ของอู๋โส่วสือกับเหรียญ 12 เหรียญ, ตรานักล่าของโจรที่สวมเกราะกระดูกเสริมแรง…

ส่วนของที่เหลือชิ้นอื่นๆ นั้นยังอยู่ในรถจี๊ป

เจี่ยงไป๋เหมียนกวาดตามอง ชี้แผ่นกระดาษแล้วถาม

“นี่อะไรเหรอ”

“กระดาษที่เก็บมาจากแผนกผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาลที่ซากโรงงานเหล็กน่ะ” ซางเจี้ยนเย่าตอบ

“ทำไมไม่เห็นนายเล่าให้ฟังเลยล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนถามออกมาอย่างอัตโนมัติ

ซางเจี้ยนเย่าตอบเต็มปากเต็มคำ

“ผมลืม”

“…ก็จริงนะ เป็นเพราะว่าตอนนั้นเราเจอจิ้งฝ่านี่นา” เจี่ยงไป๋เหมียนละสายตากลับมา “ดีเลย ส่งไปให้เบื้องบน ให้พวกเขาไปวิเคราะห์ดูว่ามีข้อมูลอะไรที่มีประโยชน์บ้างไหม”

หลังจากจบเรื่องนี้แล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็ให้ทุกคนนั่งลง พูดด้วยรอยยิ้ม

“ฉันรู้ว่าทุกคนเหนื่อยกันมากแล้ว แต่พวกเรายังต้องวิเคราะห์ทบทวนการฝึกภาคสนามกันก่อน”

ขณะที่พูดก็มองที่ไป๋เฉิน

“เธออยากพูดอะไรไหม”

ไป๋เฉินครุ่นคิดก่อนจะตอบ

“ที่ควรพูดก็พูดไปหมดแล้วตั้งแต่การทบทวนเมื่อสองสามครั้งก่อน”

“โดยหลักแล้วครั้งนี้จะให้พูดถึงภาพรวมทั้งหมดเลยน่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนชี้นำทิศทางหัวข้อสนทนา

ไป๋เฉินเงียบไปสองสามวินาทีก่อนจะเริ่มพูด

“เจอเรื่องไม่คาดคิดเยอะไปหน่อย

“ฝึกครั้งนี้แค่ครั้งเดียว แต่ได้เจออันตรายพอๆ กับที่ฉันเจอมาตลอดสามปีเลยล่ะ”

เมื่อเธอพูดขาดคำ ซางเจี้ยนเย่าก็ผงกศีรษะด้วยสีหน้าจริงจัง

“สาเหตุหลักเป็นเพราะว่าชะตาไม่ดี…”

ได้ยินแบบนี้ทำเอาหลงเยว่หงถึงกับทรุด

“พอเลย” เจี่ยงไป๋เหมียนรีบขัดจังหวะ ‘ความคิดเห็น’ ของซางเจี้ยนเย่า แล้วยิ้มให้หลงเยว่หง “พวกชะตาเอย ดวงเอย ฉันไม่เชื่อเรื่องพวกนี้หรอก เรื่องงมงายทั้งนั้น!”

หลงเยว่หงถอนหายใจเงียบๆ ในขณะกำลังจะเปิดปากพูดอะไรบางอย่างก็เห็นหัวหน้าทีมสาวสวยมองมาแล้วยิ้มให้

“แต่ว่านะ ชื่อนายก็ไม่ค่อยจะดีจริงๆ นั่นแหละ กลับไปเปลี่ยนชื่อดีไหม ชื่อ ‘หลงอ้ายหง’ เป็นไง พ่อแม่นายต้องชอบมากแน่ๆ”

“…” หลงเยว่หงตอบสนองด้วยสีหน้าเซื่องซึม “หัวหน้า เมื่อกี้คุณเพิ่งจะบอกว่าไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ไม่ใช่เหรอ”

“บนแดนธุลีน่ะ บางเรื่องถึงไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่เชียว” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดๆ ไปแล้วก็หัวเราะออกมา “ฮ่า ฮ่า ล้อเล่นหรอกน่า อืม… ฉันจะเขียนลงไปในรายงานการปฏิบัติภารกิจครั้งนี้ว่าคุณสมบัติของนายผ่านเกณฑ์ แล้วก็จะบอกลงไปด้วยว่านายไม่เหมาะกับวิถีชีวิตของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ แนะนำว่าควรเปลี่ยนงาน ด้วยวิธีนี้ถึงแม้ว่านายจะถูกย้ายงานไปตำแหน่งอื่น แต่ในประวัติบุคคลก็จะไม่มีดาวดำ”

หลงเยว่หงได้ยินแล้วรู้สึกซาบซึ้งมาก

“ขอบคุณครับ… ขอบคุณมาก”

เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้มพลางส่ายหน้า

“อย่าเพิ่งรีบขอบคุณเลย ฉันทำได้แค่เพียงส่งคำแนะนำเท่านั้น สุดท้ายนายจะได้ย้ายหรือเปล่าก็ขึ้นอยู่กับเบื้องบนนั่นแหละ

“ยกเว้นว่าจะเขียนไปว่าฉันกับนายเหมือนน้ำกับไฟเข้ากันไม่ได้ เขียนไปว่าคุณสมบัตินายไม่ผ่านเกณฑ์ วิธีคิดมีปัญหา แบบนี้แหละถึงจะได้ย้ายงานชัวร์ แต่ถ้าเป็นแบบนั้น ประวัตินายจะมีดาวดำแหง”

“ผมเข้าใจ ขอบคุณครับ หัวหน้า” หลงเยว่หงตอบจากใจจริง

เจี่ยงไป๋เหมียนหันมาพูดด้วยรอยยิ้ม

“จะว่าไปแล้วฉันเองก็ไม่อยากให้นายไปซักเท่าไหร่หรอก

“ความโชคร้ายน่ะ บางทีก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดีหรอกนะ นายลองคิดดูสิ ถ้าพวกเราไม่ได้ดวงกุดเคราะห์หามยามร้ายจนต้องไปเจอสารพัดเรื่องพวกนั้น เราก็คงไม่ได้เข้าไปที่ซากเมืองนั่น แล้วก็จะไม่รู้ว่าพวกมนุษย์จากโลกเก่านั้นได้ทำการทดลองที่อันตรายพวกนั้นด้วยใช่ไหมล่ะ นี่เป็นการเก็บเกี่ยวที่คุ้มเกินคุ้มสุดๆ!”

หลงเยว่หงพูดแก้ต่างด้วยเสียงอ่อยๆ

“หัวหน้า… ผมไม่ได้เป็นตัวซวยขนาดนั้นสักหน่อย…”

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท