ในความมืดมิดที่แทบจะกลายเป็นการแช่แข็ง ซางเจี้ยนเย่ากับเจี่ยงไป๋เหมียนที่นั่งหันหน้าเข้าหากันต่างก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมา
ราวกับว่ากำลังเล่นเกมใครพูดก่อนเป็นฝ่ายแพ้
ในที่สุดเจี่ยงไป๋เหมียนก็ทำลายความเงียบลง และหัวเราะเยาะตัวเอง
“นี่ทำไมฉันต้องมาแข่งกับนายแบบนี้ด้วยล่ะเนี่ย”
ขณะที่พูดไปพลางๆ เธอก็ลุกยืนขึ้นพร้อมกับยกมือขึ้นปิดปากที่อ้าหาวหวอด
“ฉันจะไปนอนพักที่โซฟางีบสักหน่อย
“ส่วนนายน่ะ จะนั่งนับจังหวะหัวใจเต้นไปเรื่อยๆ หรือจะคอยจับสัมผัสการเคลื่อนไหวของอวัยวะร่างกายแต่ละส่วน หรือจะนั่งคิดทบทวนประวัติศาสตร์จากคำบอกเล่าที่เคยอ่านมาแล้วก็สรุปประมวลผลและตรวจสอบไปในใจ ดูว่าได้รับแรงบันดาลใจอะไรมาบ้างก็ได้
“หรือไม่ก็ทบทวนเรื่องราวของหวังย่าเฟยและเสิ่นตู้ตั้งแต่ต้นจนจบอีกครั้ง ดูว่ามีจุดสำคัญอะไรที่เล็ดลอดหลงหูหลงตาไปบ้างไหม
“หรือว่าจะทำอย่างอื่น อย่างลุกขึ้นเดินไปเดินมา เดินเล่นเรื่อยเปื่อยอะไรก็ได้ ตราบใดที่ยังลืมตามองอยู่ อยากจะเต้นรำก็ตามใจนาย”
หลังจากสั่งการเสร็จ เจี่ยงไป๋เหมียนก็สาวเท้าเดินไปข้างหน้า หลบหลีกสิ่งกีดขวางต่างๆ ในความมืดจนไปถึงโซฟาได้อย่างราบรื่น
ซางเจี้ยนเย่าพูดด้วยความรู้สึกผิดหวัง
“ทำไมหัวหน้าถึงไม่เดินชนเดินสะดุดอะไรบ้างนะ”
เจี่ยงไป๋เหมียนพูดด้วยรอยยิ้ม
“ให้ความร่วมมือดีมาก รู้อยู่แล้วว่านายจะต้องทักเรื่องนี้
“ตอนที่ฉันเปิดไฟฉายเมื่อตะกี้ ฉันก็สังเกตสภาพแวดล้อมรอบตัวไว้หมดแล้ว และก็จำตำแหน่งข้าวของส่วนใหญ่ที่วางอยู่เอาไว้เรียบร้อย ขณะเดียวกันฉันก็ตรวจจับสัญญาณไฟฟ้าจากการเคลื่อนไหวของตัวเองไปด้วย ดังนั้นจึงสามารถปรับทิศทางที่มุ่งหน้าไปโดยไม่ออกจากตำแหน่งจุดหมายที่เล็งไว้
“จำไว้นะ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม จะต้องรีบทำความเข้าใจแผนผังโครงร่างและสภาพแวดล้อมโดยเร็ว นี่จะช่วยชีวิตในยามวิกฤตได้”
เห็นได้ชัดว่าเธอนั้นภูมิใจในเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง
หลังจากสั่งสอนสมาชิกทีมเสร็จแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็นั่งลงพับขาเก็บ
“นอนล่ะนะ”
ขาดคำเธอก็หัวเราะออกมาคำหนึ่ง
“ถ้านายกลัวก็ปลุกฉันได้นะ
“แต่ห้ามร้องเพลงเพื่อปลุกฉันเด็ดขาด!”
คำพูดของซางเจี้ยนเย่าที่กำลังจะออกจากปากก็พลันค้างติดอยู่ทันที
เจี่ยงไป๋เหมียนจงใจแกล้งหลับ หลังจากรออยู่พักหนึ่งก็โล่งใจเมื่อเห็นว่าซางเจี้ยนเย่าไม่ได้มีท่าทางอาการดังเช่นก่อนหน้านี้
เธอแกล้งทำเป็นหลับ แต่สุดท้ายก็ผล็อยหลับลงไปจริงๆ
จนกระทั่งเจี่ยงไป๋เหมียนถูกปลุกด้วยแสงสว่างที่ฉายส่องออกมาอย่างฉับพลัน
เธอรีบกระวีกระวาดลุกขึ้นยืน หยิบเสื้อโค้ทผ้าฝ้ายเนื้อหนาที่คลุมตัวอยู่ออกพลางเหลียวซ้ายแลขวาอย่างงุนงง
“กี่โมงแล้ว”
“หกโมงครึ่ง เช้าแล้ว” เสียงซางเจี้ยนเย่าดังขึ้นมาจากสถานที่ใกล้เคียงกับตำแหน่งเดิมของเขาที่นั่งอยู่ก่อนหน้า
เจี่ยงไป๋เหมียนหันหน้าไปมองโดยอัตโนมัติทันที และพบว่าคนผู้นี้กำลังทำท่าหกสูง[1]หันหลังพิงผนังห้องอยู่
“ทำอะไรของนายอยู่เนี่ย” ถึงแม้ว่าในช่วงนี้เจี่ยงไป๋เหมียนพอจะเริ่มรับมือกับปฏิกิริยาตอบสนองของซางเจี้ยนเย่าได้บ้างแล้ว และสามารถสกัดขัดจังหวะคำพูดพิลึกพิลั่นของเขาได้ทันเวลา แต่ทว่าในครั้งนี้เธอนั้นไม่อาจเข้าใจได้จริงๆ ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้ตีลังกาหกสูงอยู่แบบนี้
ซางเจี้ยนเย่ายังคงอยู่ในท่าเดิม ตอบกลับมาอย่างใจเย็น
“เปลี่ยนมุมมองการคิดน่ะ
“ผมลองมองปัญหาด้วยมุมมองที่แตกต่างดู”
“…มองด้วยมุมมองนี้ นี่มันพิเศษสุดๆ ไปเลยเนอะ” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดชื่นชมเขาด้วยความรู้สึกที่ปากไม่ตรงกับใจ “แล้วได้อะไรบ้างไหม”
“ไม่” ซางเจี้ยนเย่าออกแรงจากเอวและท้องน้อย มือดันพื้นแล้วลุกขึ้นมายืน
เจี่ยงไป๋เหมียนตกลงใจว่าจะไม่สานต่อหัวข้อสนทนาเดิม สูดหายใจเงียบๆ สองเฮือกแล้วถามขึ้น
“เมื่อคืนเป็นไงบ้าง”
“ไม่ได้เข้าห้องน้ำเลย” ซางเจี้ยนเย่าตอบเรียบๆ
เจี่ยงไป๋เหมียนโล่งใจ พูดกลั้วหัวเราะ
“นายจะไปก็ได้นี่นา
“ห้องน้ำสาธารณะของที่นี่มีไฟเซ็นเซอร์ตอนกลางคืน”
“ประเด็นคือกว่าจะออกจากห้องไปได้ คงจะชนข้าวของนู่นนี่ก่อนน่ะ” ซางเจี้ยนเย่าอธิบายอย่างจริงจัง
เจี่ยงไป๋เหมียนกำลังจะตอบไปว่า ‘ไม่ใช่เรื่องใหญ่นี่นา ชนนู่นชนนี่ก็ไม่ถึงตายสักหน่อย’ แต่ก็พลันคิดอะไรได้จึงยิ้มออกมา
“นายคงกลัวว่าถ้าทำเสียงดังแล้วจะทำให้ฉันตื่นสินะ”
“ทำแบบนั้นมันเสียมารยาทน่ะ” ซางเจี้ยนเย่าตอบโดยไม่ลังเล
เจี่ยงไป๋เหมียนพูดชมเขาทันที
“ดีมาก”
เธอยืดเอวเหยียดแขนแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
“นายปรับตัวได้ดี เช้านี้ก็อ่านประวัติศาสตร์จากคำบอกเล่าต่อละกัน ตอนบ่ายก็กลับไปพักผ่อนได้ ไม่ต้องเข้าฝึกภาคปฏิบัติ
“ต่อไปครั้งหน้า พอถึงรอบที่นายต้องมาอยู่ที่นี่ก็ไม่ต้องกังวลเกินไป ค่อยๆ ก้าวไปทีละก้าว
“ขอเพียงให้ก้าวไปอย่างมั่นคงทุกๆ ก้าว เชื่อฉันเถอะว่าความกลัวของนายจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่อีกต่อไป นายจะเอาชนะมันได้อย่างแน่นอน”
พูดถึงตรงนี้เจี่ยงไป๋เหมียนก็หยุดคิดชั่วขณะก่อนจะพูดต่อ
“ฉันเคยอ่านหนังสือจากโลกเก่าเล่มหนึ่ง มีประโยคหนึ่งเขียนเอาไว้ว่า
“สิ่งที่ฆ่าเราให้ตายไม่ได้ มันจะทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น[2]”
ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะอย่างเคร่งขรึมเพื่อบ่งบอกว่าเขาจดจำเอาไว้แล้ว
ขณะที่เจี่ยงไป๋เหมียนเดินไปที่ประตูเธอก็พูดว่า
“ฉันจะไปล้างหน้าแปรงฟันก่อน
“อืม… คืนนี้จะกลับไปนอนให้เต็มอิ่มสักที
“อ๊ะ ไม่ได้สิ ถ้าเกิดไป๋เฉินเป็นโรคกลัวความมืดด้วยล่ะ แล้วถ้าหลงเยว่หงดันกลัวความมืดยิ่งกว่านาย แถมยังกลัวความเงียบ กลัวการอยู่ในที่มืดที่ปิดสนิทอีก
“เฮ้อ… นี่ฉันยังต้องคอยเฝ้าดูพวกนั้นไปอีกสองคืน ต้องคอยระวังไม่ให้มีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้น…
“เป็นหัวหน้าทีมนี่มันเหนื่อยซะจริง!”
ซางเจี้ยนเย่านิ่งเงียบฟังคำบ่นตัดพ้อของเจี่ยงไป๋เหมียน แล้วก็ขันอาสา
“ผมช่วยหัวหน้าคอยเฝ้าดูพวกเขาได้นะ”
เจี่ยงไป๋เหมียนขมวดคิ้ว และถามขึ้นอย่างระแวง
“นี่นายคิดจะหาเรื่องหลอกพวกเขาใช่ไหมล่ะ”
“ในเมื่อเป็นการฝึกความกล้า จะพลาดเรื่องแบบนี้ได้ไง” ซางเจี้ยนเย่าพูดอย่างเต็มปากเต็มคำด้วยความมั่นใจ
ดวงตาเจี่ยงไป๋เหมียนขยับวูบไหวเล็กน้อยแล้วยิ้มพลางพูดขึ้น
“เป็นคำแนะนำที่น่าสนใจดี แต่ว่าในช่วงสองสามครั้งแรกอย่าเพิ่งทำแบบนั้นดีกว่า เดี๋ยวพวกเขาเกิดกลัวจนขวัญผวาจับไข้หัวโกร๋นขึ้นมาก็ยุ่งกันพอดี”
หึ หึ คอยดูเถอะว่าพอถึงตอนนั้นใครจะหลอกใครกันแน่
ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้พูดอะไรอีก เขารีบจ้ำตรงดิ่งไปยังห้องน้ำสาธารณะทันที
* * * * *
เวลาหนึ่งทุ่มตรง หลังจากตื่นนอนแล้วซางเจี้ยนเย่าก็ไปที่โรงอาหารเล็กที่ชั้น 647 เพื่อรับประทานมื้อเย็น จากนั้นก็กลับไปที่ ‘ศูนย์กิจกรรม’ ชั้น 495
เขาไปยังมุมที่ว่างอยู่อย่างที่เคยทำ แล้วนั่งลงคอยเฝ้ามองสังเกตทุกคนที่เข้าๆ ออกๆ
อย่างที่คาดเอาไว้ เขามองเห็นหลงเยว่หงมากับคู่เดต
นี่ต่างไปจากครั้งก่อนๆ ในครั้งนี้หลงเยว่หงใช้เงินจำนวนมากไปกับ ‘ตลาดโภคภัณฑ์’ ด้านข้างเพื่อซื้อลูกอม เมล็ดฟักทอง และเครื่องดื่มบรรจุขวด
“ฟุ่มเฟือยชะมัด…” ซางเจี้ยนเย่าพูดเบาๆ ออกมาหนึ่งคำ
ในระหว่างที่กวาดสายตามองไปรอบๆ ก็พลันสังเกตเห็นเจี่ยนซินที่ไว้ผมสั้นเสมอหู กำลังมองดูจั๋วเจิ้งหยวนผู้เป็นสามีกำลังเล่นไพ่
หลังจากผ่านไปหลายวัน หญิงสาวผู้นี้ที่ก่อนหน้านั้นมีอาการวิตกกังวล จิตใจหดหู่ และตื่นตระหนกกับการเสียชีวิตของหวังย่าเฟย ในตอนนี้ดูเหมือนว่าได้กลับมาเป็นปกติแล้ว สีหน้ามีเลือดฝาด พูดคุยสนทนากับผู้คนรอบตัวอย่างมีความสุข
เฉกเช่นเดียวกับความเศร้าโศกและหวาดกลัวจากการเสียชีวิตของเสิ่นตู้ก็ปลาสนาการไม่หลงเหลืออีกต่อไป
เพียงไม่นานนัก เจี่ยนซินก็ก้มศีรษะลงพูดกับจั๋วเจิ้งหยวนสามีของเธอ จากนั้นก็หันกายเดินไปยังประตูทางเข้าออก
ดูแล้วเธอน่าจะกำลังไปห้องน้ำสาธารณะ
ซางเจี้ยนเย่าผุดลุกขึ้นยืน รีบเดินตามออกไปทันที แล้วก็พบกับเจี่ยนซินที่เดินมาใกล้ประตูทางเข้าออกด้วยความ ‘บังเอิญ’
ไม่มีใครอยู่ตรงนี้
เมื่อเจี่ยนซินเห็นซางเจี้ยนเย่า สีหน้าของเธอก็พลันกลายเป็นซับซ้อนเล็กน้อย เธอฝืนยิ้มแล้วถามไถ่ขึ้นมา
“ได้ยินว่านายกับหลงเยว่หงเจอของดีที่พื้นโลกมาเยอะเลยใช่ไหม”
ระหว่างที่พูดก็อดเหลือบมองดูนาฬิกาข้อมือที่สวมอยู่บนข้อมือซ้ายของซางเจี้ยนเย่าไม่ได้
“ของพวกนี้มีอยู่ในซากเมืองเต็มไปหมด” ซางเจี้ยนเย่าตอบตามความสัตย์
โดยไม่รอให้เจี่ยนซินเอ่ยปากต่อ เขารีบถามเธอออกมาตรงๆ
“ในวันนั้น คุณอยู่ที่ชั้น 478 ได้เห็นใครที่ไม่ควรจะอยู่ในนั้นบ้างไหม”
เขาไม่ได้พูดคำว่า ‘วันที่หวังย่าเฟยตาย’ ออกมาตรงๆ
สีหน้าของเจี่ยนเฟยซีดเผือดลงเล็กน้อย พูดเสียงพึมพำราวกับยุงบิน
“ช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้ ฉันก็คิดเรื่องนี้มาตลอด
“ฉันเอาแต่วุ่นกับการทำความสะอาด ก็เลยไม่ได้สนใจสภาพแวดล้อมรอบตัวสักเท่าไหร่”
เธอหยุดไปชั่วขณะหนึ่งก่อนจะพูดต่ออย่างรวดเร็ว
“พอหลังจากนั้น หวังย่าเฟยก็ตาย ทำให้ฉันรู้สึกว้าวุ่นมาก กลัวมาก เลยยิ่งไม่มีแก่ใจจะไปสังเกตอะไรอื่นอีก”
ระหว่างที่พูดก็เหลียวมองรอบตัว เม้มริมฝีปาก
“คนเดียวที่ทำให้ฉันรู้สึกแปลกๆ ก็คือสงหมิง
“ฉันเจอเขาที่โรงอาหารตอนไปกินมื้อเที่ยง แต่ว่าโดยปกติแล้วเขาควรจะทำงานอยู่ที่ ‘เขตนิเวศน์ภายใน’ มากกว่า บางทีเขาอาจจะลาป่วย…”
สีหน้าของซางเจี้ยนเย่าไม่ได้เปลี่ยนไป เขารีบถามขึ้น
“ทำไมคุณถึงจำเขาได้แม่นนักล่ะ”
พอพูดคุยสนทนากันในเรื่องนี้ เธอก็ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวอะไรอีก เริ่มกลับมาพูดคุยด้วยน้ำเสียงที่ดังตามปกติแล้ว
“เขาเป็นคนที่จำได้ง่ายมากเลยล่ะ นายไม่รู้หรอก ตาของเขาน่ะมีปัญหานิดหน่อย ลูกตาเขาไม่ค่อยขยับ เขาจะมองเหมือนกับว่าไม่ได้มองมาที่เรา เหมือนมองแบบลอยๆ เวลาที่มองดูจากด้านข้างน่ะ…”
“อย่างนี้นี่เอง” ซางเจี้ยนเย่าพยักหน้า แล้วก็พูดต่อ “เรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว”
“ก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นล่ะนะ” เจี่ยนซินถอนใจเบาๆ แล้วชี้ไปข้างนอก “ฉันจะไปแล้วนะ”
ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้รั้งเธอเอาไว้ เขาเดินไปอีกด้านหนึ่ง
มองดูแล้วเหมือนกับว่าทั้งคู่นั้นบังเอิญเจอกันระหว่างทางในจุดที่ไม่มีคนอื่นอยู่ข้างๆ แล้วก็คุยกันสองสามคำ
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ซางเจี้ยนเย่าไปที่ห้องที่ 14 ชั้น 647 ก่อนเวลาอยู่พักใหญ่
เขารออยู่ครู่ใหญ่ ในที่สุดเจี่ยงไป๋เหมียนก็มาถึง
“ผมมาถึงก่อน” ซางเจี้ยนเย่ารู้สึกราวกับได้รับชัยชนะอันยิ่งใหญ่จากอะไรบางอย่าง
เจี่ยงไป๋เหมียนร้อง “อา” ออกมาคำหนึ่ง
“ที่จริงฉันก็ไม่อยากจะทำให้นายสะเทือนใจหรอกนะ ฉันอยู่บ้านทำอาหารเช้ากินเองน่ะ”
บางครั้งเธอก็ทำอาหารให้พ่อแม่ทานบ้างเป็นครั้งคราว
เนื่องเพราะเกรงว่าหัวข้อสนทนานี้อาจจะทำให้ซางเจี้ยนเย่าสะเทือนใจ เจี่ยงไป๋เหมียนมองซางเจี้ยนเย่าแล้วถามขึ้น
“นายมาแต่เช้านี่ มีเรื่องอะไรงั้นเหรอ”
ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะ
“เมื่อวานผมไปคุยกับเจี่ยนซินมา…”
เขาเล่าว่าที่จริงแล้วสงหมิงควรจะต้องไปทำงาน แต่กลับมากินอาหารเที่ยงในชั้นที่เขาพักอาศัย และไม่ลืมเล่าถึงรายละเอียดเกี่ยวกับดวงตาของเป้าหมายที่มีบางอย่างผิดปกติไปจากคนทั่วไปด้วย
สีหน้าของเจี่ยงไป๋เหมียนขยับวูบไหวขณะที่ผงกศีรษะเล็กน้อย
“คนๆ นี้น่าสงสัยมากจริงๆ แถมยังมีลักษณะของ ‘การสละ’ อีกด้วย
“ที่ต้องทำต่อไปก็คือต้องหาข้อพิสูจน์ยืนยันให้ได้ว่าเป็นเขาจริงๆ แต่ต้องไม่ทิ้งร่องรอยเบาะแสเอาไว้”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เจี่ยงไป๋เหมียนก็มองซางเจี้ยนเย่าพลางยิ้มขึ้น
“ถึงเวลาทดสอบพลังการสร้างเพื่อนของนายแล้วล่ะ!”
* * * * *
[1] หกสูง (倒立) เป็นท่าตีลังกายืนด้วยมือ (Handstand)
[2] สิ่งที่ฆ่าเราให้ตายไม่ได้ มันจะทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น (凡不能毁灭我的,必使我强大) มาจากภาษาอังกฤษคำว่า “What doesn’t kill you makes you stronger” กล่าวโดย Friedrich Nietzsche