รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 107 ใส่ขยะเข้าไปก็ได้ขยะออกมา[1]

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 107 ใส่ขยะเข้าไปก็ได้ขยะออกมา[1]

เงาร่างคนผู้นั้นยืนอยู่ระหว่างห้อง 188 กับ 190 ห่างจากซางเจี้ยนเย่าไปเกือบสิบเมตร

เขาสวมหมวกแก๊ปสีเข้ม เสื้อสีน้ำเงิน กางเกงขายาวสีดำ และรองเท้าหนังที่เก่าเล็กน้อย

ในขณะนี้คนผู้นี้กำลังยืนหันหลังพิงกำแพงบ้านอยู่ หมวกถูกกดลงต่ำจนแทบจะปิดบังดวงตาเอาไว้

เงาดำที่เกิดจากปีกหมวกนั้นบดบังใบหน้าไว้ทั้งหมด ซางเจี้ยนเย่าจึงเห็นเพียงท่อโลหะสีเงินดำในปากของเขาเท่านั้น

ท่อโลหะนี้ยาวเพียงแค่นิ้วมือ ดูเผินๆ แล้วเหมือนเป็นบุหรี่มวนด้วยมือแบบง่ายๆ

หัวใจซางเจี้ยนเย่าเต้นระรัว ล้มเลิกความคิดที่จะหยิบกุญแจออกมา เขาย่อเข่าลงเล็กน้อย เกร็งเอวและท้องน้อย อยู่ในท่าเตรียมพร้อม

ทันใดนั้นทัศนวิสัยในครรลองสายตาก็มืดลงทันที

ไม่ใช่ว่าเขากำลังจะเป็นลมหมดสติ แต่เป็นเพราะแสงรอบตัวในบริเวณนี้ราวกับว่าถูกอะไรสักอย่างดูดออกไปจนหมดสิ้น

ไม่เพียงเท่านั้น ในหูตนเองก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรแม้แต่นิดเดียว

สถานการณ์ของซางเจี้ยนเย่านั้นราวกับว่าเขาได้กลับไปยัง ‘ทะเลต้นกำเนิด’ กลับไปยัง ‘เกาะ’ แห่งแรกที่ได้พบ

เป็นความมืดมิด เป็นความเงียบสงัด นอกจากตัวเองแล้วก็ไม่มีใครอื่นอีก

ความกลัวอันคุ้นเคยพรั่งพรูออกมาจากภายในใจอีกครั้ง ทำให้ร่างกายสั่นเทิ้มไปเล็กน้อย

เยว่ฉี่ฝานที่เอนกายพิงกำแพงก็พลันยืนตรงหมุนกายมา

เขาเงยหน้าขึ้นมองและเล็งท่อโลหะสีเงินดำในปากมาที่ซางเจี้ยนเย่า

มันเป็นท่อเป่าลูกดอก

แต่มันต่างไปจากท่อเป่าลูกดอกธรรมดาที่ทำจากไม้ซึ่งทำโดยคนเร่ร่อนแดนร้างบนพื้นโลก ท่อเป่าลูกดอกโลหะนี้มีโครงสร้างเชิงกลที่ค่อนข้างซับซ้อน ทำงานด้วยสปริงและระบบกลไก ดังนั้นจึงไม่ต้องยาวขนาด 1-2 เมตร นี่เป็นอาวุธลับที่พกพาซุกซ่อนได้สะดวก นอกจากนั้นเวลาใช้ก็ไม่จำเป็นต้องเป่าลงไปจริงๆ เพียงแค่ใช้ลิ้นกดก็สามารถยิงลูกดอกออกไปได้แล้ว

จะว่าไปแล้วก็คงจะเรียกว่าท่อเป่าลูกดอกไม่ได้เต็มปากนัก เพราะมันสามารถใช้นิ้วกดปุ่มยิงได้

ดังนั้นที่จริงแล้วมันมีชื่อเรียกว่า ‘ลอบกัด’

สาเหตุที่เยว่ฉี่ฝานต้องใช้ทั้งปากและลิ้นซึ่งเป็นวิธีการที่แสนจะไม่สะดวก นั่นก็เป็นเพราะว่าคุรุศักดิ์สิทธิ์บอกเขาว่าเป้าหมายนั้นมีพลังพิเศษของผู้ตื่นรู้ที่จะทำให้มือคู่ต่อสู้ไม่สามารถใช้งานได้

ด้วยเหตุนี้เยว่ฉี่ฝานจึงไม่ใช้มือ

ในขณะเดียวกันเขายังรู้อีกด้วยว่าพลังพิเศษผู้ตื่นรู้ของซางเจี้ยนเย่าที่เหลืออีกสองอย่างนั้นคืออะไร

พลังพิเศษอย่างหนึ่งนั้นคล้ายกับการ ‘สะกดจิต’ ที่จำเป็นต้องสนทนาพูดคุย ระยะทางที่เกิดประสิทธิผลก็ค่อนข้างสั้น พลังอีกอย่างหนึ่งคือทำให้คนมีพฤติกรรมที่ไร้เหตุผล มีระยะประสิทธิผลอยู่ที่ระยะสี่ถึงแปดเมตร

จากข้อมูลนี้ทำให้เยว่ฉี่ฝานรักษาระยะห่างจากซางเจี้ยนเย่าอย่างเคร่งครัด

ในเวลานี้เขาอยู่ห่างจากห้องของซางเจี้ยนเย่าเกือบสิบเมตร วางตัวเองไว้ที่นอกขอบเขตระยะทำการของพลังพิเศษผู้ตื่นรู้ทั้งสองอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ‘สะกดจิตผ่านการสนทนา’ และ ‘พฤติกรรมไร้เหตุผล’ ส่วนพลังที่ ‘จำกัดการเคลื่อนไหวของมือ’ นั้น เยว่ฉี่ฝานอาศัยการ ‘เป่าลูกดอก’ เพื่อหลีกเลี่ยงจากผลกระทบ

แต่ละห้องของที่นี่มีความกว้างสองเมตรจึงง่ายต่อการคำนวณระยะทาง

การที่เขาไม่อยู่ห่างมากกว่านี้ก็เนื่องมาจากพลังพิเศษผู้ตื่นรู้ทั้งสามอย่างของเขาเอง พลัง ‘ท่องความฝัน’ ที่มีระยะประสิทธิผลครอบคลุมพื้นที่ได้มากสุดนั้นสามารถส่งผลกระทบได้ในระยะไม่เกินสิบเอ็ดเมตรเท่านั้น

แผนการของเยว่ฉี่ฝานก็คือ…

จากระยะห่างที่เหมาะสมที่สุด ก่อนอื่นก็ใช้พลัง ‘ท่องความฝัน’ เพื่อกระตุ้นความทรงจำบางอย่างของอีกฝ่ายแล้วสร้างภาพลวงตาของจริงขึ้นมา นี่จะทำให้ซางเจี้ยนเย่าตกอยู่ในสภาวะหวาดกลัว สับสน และความจำเสื่อม ทำให้เยว่ฉี่ฝานสามารถควบคุมเขาได้ชั่วคราว

จากนั้นก็จะเป่าลูกดอกขนาดเล็กเพื่อทำให้อีกฝ่ายหมดสติแล้วก็ลากเขาเข้าไปในห้อง 196 ตามด้วยใช้พลัง ‘ลบชิ้นส่วนความจำ’ เพื่อเปิดดูความทรงจำของซางเจี้ยนเย่า จะได้ลบเบาะแสที่เกี่ยวข้องทั้งหมดทิ้งไป

นี่เป็นแผนการที่ดีที่สุดที่เยว่ฉี่ฝานได้ประมวลออกมาโดยอิงจากพลังพิเศษของตนผนวกกับอุปกรณ์ที่มีอยู่ เรื่องนี้ค่อนข้างจะฉุกละหุกไปบ้างเนื่องจากบัญชาของคุรุศักดิ์สิทธิ์มาอย่างกะทันหันไปหน่อยจนทำให้เขาไม่มีเวลาเตรียมตัวเพิ่มเติม

ส่วนเหตุผลว่าทำไมเขาถึงเตรียม ‘ท่อเป่าลูกดอก’ เอาไว้อยู่เสมอ นั่นเป็นเพราะว่าเขาต้องอาศัยอุปกรณ์นี้เพื่อช่วยยับยั้งผลจากสิ่งที่สละไปนั่นเอง

ที่จริงแล้วเยว่ฉี่ฝานเองก็รู้สึกแปลกใจอยู่บ้างเล็กน้อย เนื่องจากมุมมองของเขานั้น หากมอบหมายภารกิจนี้ให้สงหมิงจะดีกว่า เพราะพลังที่ทำให้ ‘หัวใจวาย’ นั้นเป็นการฆ่าคนที่ปิดปากและทำลายเบาะแสที่ยอดเยี่ยมเป็นอย่างยิ่ง

บางทีคุรุศักดิ์สิทธิ์คงไม่อยากให้เกิดการตายอย่างต่อเนื่องเพราะเกรงว่าจะเป็นการดึงดูดความสนใจจากพวกระดับสูงของ

บริษัทก็เป็นได้ ถึงได้มอบหมายหน้าที่นี้ให้ผู้ตื่นรู้อย่างเราที่สามารถลบความทรงจำได้…

ห้วงความคิดของเยว่ฉี่ฝานกำลังวิ่งพล่านในระหว่างที่กำลังคาดการณ์ว่าหากซางเจี้ยนเย่าเกิดรู้สึกตัวขึ้นมาแล้วจะหลบ

แบบไหนอย่างไร จากนั้นเขาก็เตรียมจะใช้ลิ้นกดกลไกที่ก้น ‘ท่อเป่าลูกดอก’

ณ ขณะนี้ ซางเจี้ยนเย่าที่ร่างกายค้อมลงและสั่นเทิ้มอยู่เล็กน้อยก็พลันหัวเราะออกมา

“เป็นพลังที่อ่อนด้อยไปหน่อยนะ”

นี่ทำให้เยว่ฉี่ฝานตกตะลึง

ทำไมแกถึงยังพูดได้ล่ะ

ในเวลาแบบนี้ ต่อให้แกไม่ได้รับผลจาก ‘ท่องความฝัน’ มากพอและรู้สึกตัวขึ้นมาแล้วก็เถอะ ก็น่าจะต้องหลบหรือกลิ้งม้วนตัวเพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตีต่อเนื่องที่จะตามมาไม่ใช่หรือไง…

ทำไมยังจะมัวเสียเวลามาพูดคุยอยู่ได้

คนปกติที่ไหนเขาทำแบบนี้กัน

บ้าชะมัด… แกพูดออกทำไม!

ลิ้นของเยว่ฉี่ฝานเพิ่งจะสัมผัสสวิตช์ของ ‘ท่อเป่าลูกดอก’ แต่ทว่าก่อนที่เขาจะได้ออกแรงกดลงไป กลับพลันสูญเสียการกระทำต่อเนื่องหลังจากนั้นไปในทันที

หน้าผากเขาเหงื่อไหลพรากในขณะที่อ้าปากตอบคำโดยไม่อาจควบคุมตัวเองได้

“มันจะอ่อนด้อยได้ไง”

เสียงดังแคร้ง ท่อโลหะสีเงินดำร่วงหล่นลงบนพื้นแล้วกระเด้งกระดอนไปสองสามครั้ง

แต่ทว่าเยว่ฉี่ฝานไม่ได้หยุดคำพูดเพราะเรื่องนี้

“มันควรจะไปกระตุ้นความทรงจำบางเรื่องของแก ทำให้จมดิ่งอยู่กับความทรงจำในอดีต

“ถ้าหากว่าออกแบบความฝันเอาไว้อย่างดีล่ะก็ แต่ละชิ้นส่วนจะเชื่อมโยงสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดจนทำให้แกสับสนจนแยกไม่ออกว่าอะไรจริงอะไรปลอม”

ซางเจี้ยนเย่าได้ยินแล้วสะดุ้งตกใจไปแว่บหนึ่ง

“แล้วทำไมแกถึงตอบสนองคำพูดเยาะเย้ยของฉันด้วยล่ะ

“ฉันก็แค่สมองกระตุกเท่านั้นเอง”

โดยไม่รอให้เยว่ฉี่ฝานตอบคำ เขาก็พลันเข้าใจขึ้นมาทันที พูดพลางหัวเราะฮาฮา

“อ้อ สิ่งที่แกสละไปก็คือไม่ว่าใครจะพูดอะไร แกก็ต้องตอบโต้ทุกอย่างสินะ”

“แล้วจะทำไม แกคิดว่าเป็นเรื่องง่ายๆ แค่นั้นหรือไง” เยว่ฉี่ฝานตอบโต้อย่าง ‘ต่อปากต่อคำ’

เหงื่อบนหน้าผากเขาไหลโทรมหน้า หยดลงมาเป็นสาย

สิ่งที่เขาสละออกไปก็คือ ‘วินัยในตนเอง’

ที่จริงแล้วสิ่งที่ต้องสละนี้ก็ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร เยว่ฉี่ฝานเองก็ขาดวินัยแค่ในบางเรื่องเท่านั้น

เรื่องนั้นก็คือ ‘การโต้เถียง’

หากว่ามีคนเริ่มประเด็นขึ้นมาแล้ว เขาจะอดโต้เถียงไม่ได้ จะต้องโต้แย้งกลับไปทันที

แม้ว่าบางครั้งเขาเองจะเห็นด้วยกับมุมมองของอีกฝ่ายก็ตาม แต่ก็อดไม่ได้ที่จะพยายามหาจุดเล็กจุดน้อยสักอย่างสองอย่างมาโต้แย้งจนได้

เดิมทีเยว่ฉี่ฝานก็ไม่ได้รู้สึกว่าเรื่องนี้จะมีปัญหาอะไร ไม่อย่างนั้นเขาก็คงไม่เลือกที่จะสละด้วย ‘วินัยในตนเอง’ เช่นนี้หรอก แต่เมื่อเวลาผ่านไปเขาก็ตระหนักได้ว่าสิ่งที่เขาสละไปนั้นเป็นอะไรที่อันตรายยิ่งนัก

การโต้แย้งกับคนอื่น ใช่ว่าจะทำได้ทุกเรื่องทุกที่ทุกเวลาเสียหน่อย

ในช่วงวิกฤตหน้าสิ่วหน้าขวาน ในวินาทีเป็นตายนั้น อาจตัดสินกันในช่วงเวลาเพียงหนึ่งถึงสองวินาที ทว่ากลับต้องเสียเวลาเพื่อคิดหาเรื่องที่จะโต้เถียงด้วย และสำหรับเยว่ฉี่ฝานผู้ซึ่งมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมค่อนข้างแย่ เรื่องนี้จึงยิ่งส่งผลเลวร้ายขึ้นไปอีก

ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้สั่งทำท่อโลหะนี้ผ่านทางสมาชิกนิกาย

ตราบใดที่เขายังคาบมันไว้ในปาก ก็จะเป็นการคอยย้ำเตือนตนไว้ ทำให้เยว่ฉี่ฝานพอจะควบคุมตัวเองได้ในระดับหนึ่ง

และเมื่อถึงเวลาที่ต้องปฏิบัติการลับเมื่อใด เจ้า ‘ท่อเป่าลูกดอก’ นี้ก็ยังใช้เป็นอาวุธได้อีกด้วย

แน่นอนว่าการสละนี้ย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อย่างสมบูรณ์ แต่เยว่ฉี่ฝานก็รับประกันได้ว่าตราบใดที่คนอื่นไม่ได้พูดอะไรที่เกี่ยวข้องกับตัวเขา ก็ยังพอจะหุบปากให้สนิทได้

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าแผนปฏิบัติการครั้งนี้เขาได้ออกแบบมาเพื่อไม่เปิดโอกาสให้เป้าหมายได้พูดอะไรออกมา

และเขาก็เชื่อว่าในยามที่เผชิญอันตรายถึงชีวิต ย่อมไม่มีมนุษย์คนใดที่ไม่หลบหลีกหรือตอบโต้ แต่กลับเปิดปากพูดก่อนจะทำสิ่งใดๆ

แต่ใครจะรู้ วันนี้เขากลับได้พบพานตัวประหลาดเข้าเสียแล้ว

แถมตัวประหลาดนี้ยังมาค่อนแคะเหน็บแนมเขาเสียอีก

แล้วจะให้กล้ำกลืนฝืนทนได้ยังไง

ในตอนนี้ ซางเจี้ยนเย่าที่ต้องเจอกับคำถามตอบกลับแบบไม่ยอมลดราวาศอกของเยว่ฉี่ฝาน ก็โต้ตอบกลับไปเป็นรอบที่สอง

“การดื้อรั้นหัวแข็งก็เป็นสิ่งที่แกสละไปด้วยหรือไง” ขณะที่ซางเจี้ยนเย่าพูด เขาก็ออกแรงที่ข้อเท้า หัวเข่า และเอวด้านหลังไปพร้อมๆ กัน พุ่งกระโจนเข้าใส่เยว่ฉี่ฝานราวกับสัตว์ร้าย

เขาต้องการลดระยะห่างระหว่างทั้งคู่ลง

แต่ทันใดนั้นซางเจี้ยนเย่าก็พลันรู้สึกว่าร่างกายเสียสมดุลไปอย่างฉับพลัน

ที่จริงแล้วสำหรับเขานั้น การเคลื่อนไหวเช่นนี้เป็นอะไรที่ง่ายดายราวปอกกล้วยเข้าปาก ทำร้อยครั้งก็ไม่พลาดสักครั้ง

แต่ใครจะรู้ วันนี้เขากลับเสียการทรงตัวกลางอากาศเสียอย่างนั้น

พลั่ก!

ซางเจี้ยนเย่าล้มลงไปนอนกับพื้น

“ไม่จำเป็นต้องไปเถียงกับเรื่องที่เป็นความจริง” เยว่ฉี่ฝานหยิบเอา ‘ลอบกัด’ อีกอันหนึ่งออกมาจากกระเป๋า

เขาเตรียมอาวุธไว้มากกว่าหนึ่งชิ้น!

ขณะที่พูดเยว่ฉี่ฝานก็กดปุ่มกลไกพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า

พลังพิเศษผู้ตื่นรู้อย่างที่สามของเขาก็คือ…

‘เสียการทรงตัว!’

ระยะประสิทธิผลคือหกเมตร

การที่ซางเจี้ยนเย่ากระโจนเข้ามานั้นเป็นสิ่งที่เขาต้องการอยู่แล้ว

แน่นอนว่าแรกเริ่มเดิมทีเขาไม่ได้หวังว่าจะใช้พลังนี้เนื่องจากว่าระยะทำการของพลังพิเศษผู้ตื่นรู้ของอีกฝ่ายก็อยู่ในระยะนี้เช่นกัน

ดีที่การเปลี่ยนแปลงนี้เอื้อประโยชน์ต่อเขาเป็นอย่างยิ่ง

เสียงดังฟุ่บ ลูกดอกโลหะขนาดเล็กถูกยิงออกไป พุ่งตรงไปยังซางเจี้ยนเย่า

ซางเจี้ยนเย่ามีเวลาเพียงน้อยนิด ทำได้เพียงแค่เบี่ยงศีรษะเล็กน้อยเพื่อหลบเลี่ยงไม่ให้ถูกยิงเข้าที่ศีรษะแค่นั้น

ฉึก!

ลูกดอกโลหะเจาะเข้าไปในบริเวณระหว่างไหล่ซ้ายกับหน้าอกของซางเจี้ยนเย่า

ซางเจี้ยนเย่าใช้ท่าปลาหลีฮื้อพลิกกาย[2] ลุกขึ้นมายืนทันที ไม่มีอาการท่าทางเป็นอัมพาตแม้แต่น้อย

เขายืนอยู่เบื้องหน้าสายตาที่จ้องมองมาด้วยความประหลาดใจของเยว่ฉี่ฝาน จากนั้นก็ถอนลูกดอกออกมาโยนลงไปบนพื้นพลางพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“ช่วงนี้ฉันสวมเสื้อเกราะไว้ตลอดน่ะ!”

แม้ว่าหวังย่าเฟยและเสิ่นตู้ไม่ได้เสียชีวิตจากการถูกยิง แต่เพื่อความปลอดภัยเจี่ยงไป๋เหมียนจึงสั่งชุดเกราะมาให้ลูกทีมทุกคนสวมใส่หลังจากที่ซางเจี้ยนเย่าได้สอดมือเข้ามาในเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ

ภายใน ‘ผานกู่ชีวภาพ’ นั้น ทั้งอาวุธปืนและลูกกระสุนล้วนแต่ถูกควบคุมอย่างเข้มงวด การฝึกซ้อมด้วยกระสุนจริงนั้นเจี่ยงไป๋เหมียนต้องแจ้งล่วงหน้าและปฏิบัติตามขั้นตอนที่วุ่นวายหลายเรื่อง แต่อุปกรณ์อย่างเสื้อเกราะกันกระสุนนั้นไม่ใช่ยุทธภัฑณ์ที่เป็นเรื่องคอขาดบาดตายแต่อย่างใด การขออนุมัตินั้นไม่ยุ่งยาก แต่ละทีมก็ล้วนได้รับการจัดสรรไว้อยู่แล้ว หัวหน้าทีมเพียงแค่เอ่ยปากก็เป็นที่รู้กัน

“ไอ้ขี้ขลาด!” เยว่ฉี่ฝานเถียงออกไปหนึ่งคำ

พูดแล้วก็รีบหมุนกายวิ่งหนีไปทันที

ในสถานการณ์แบบนี้เยว่ฉี่ฝานรู้สึกได้ว่าตนเองนั้นไม่มีโอกาสมีชัยได้เลย

เรื่องราวที่เหลือ ก็คงต้องปล่อยให้คุรุศักดิ์สิทธิ์ไปคิดหาวิธีจัดการเอาเองก็แล้วกัน!

แต่ทว่าเมื่อเยว่ฉี่ฝานเพิ่งจะหมุนกายหันกลับไปนั้น ก็เกิดความคิดอันแรงกล้าผุดขึ้นมาทันที

จะหนีไปแบบนี้ได้ไง

จะยอมแพ้แบบนี้ได้ไง

จะปล่อยให้เสียหน้าแบบนี้ได้ไง

ขณะที่ความคิดกำลังวิ่งวุ่น เขาก็หมุนกายหันกลับไปพุ่งเข้าใส่ซางเจี้ยนเย่าทันที

ดวงตาสีน้ำตาลแก่ของเขาเปลี่ยนกลายเป็นสีดำสนิท

เกือบในเวลาเดียวกัน ซางเจี้ยนเย่าก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่างในใจที่มองไม่เห็นจับต้องไม่ได้ขยายตัวพองขึ้นมา

พวกมันลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าเหมือนดวงดาว ปกคลุมพื้นที่โดยรอบอย่างเนืองแน่น

เศษ ‘ดวงดาว’ ชิ้นเล็กชิ้นน้อยเหล่านี้ แต่ละชิ้นคือประสบการณ์ชีวิตของซางเจี้ยนเย่า

แล้วในตอนนี้ก็มีลำแสงจากภายนอกสาดทะลุเข้ามา นำพา ‘ดวงดาว’ ดวงหนึ่งพุ่งพาดผ่านท้องฟ้าแล้วตกลงไปในภาพลวงตาของ ‘ทะเลต้นกำเนิด’

ซางเจี้ยนเย่าขมวดคิ้วราวกับกำลังงุนงงว่าในขณะนี้ตนเองกำลังทำอะไรอยู่

สติของเยว่ฉี่ฝานก็พลันรู้ตัวขึ้นมาในตอนนี้เอง ม่านตาขยายตัวขึ้นมาทันที

เชี่ย ทำไมเรายังไม่รีบหนีไปอีก!

แถมเมื่อกี้ก็ยังใช้ ‘ลบชิ้นส่วนความจำ’ เพื่อโจมตีออกไปอีกด้วย…

นี่ก็คือพลังพิเศษผู้ตื่นรู้ที่ทำให้คนทำเรื่องไร้เหตุผลงั้นสินะ

เยว่ฉี่ฝานเข้าใจในทันทีว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น หัวใจเต้นระรัว

พลังพิเศษ ‘ลบชิ้นส่วนความจำ’ ของเขานั้นไม่ใช่พลังสำหรับการต่อสู้ เพราะว่าจะต้องเข้าไปดูความทรงจำของเป้าหมายเสียก่อนถึงจะทำเครื่องหมายเพื่อเลือกชิ้นส่วนความทรงจำที่จะลบโดยต้องเป็นช่วงความทรงจำที่ไม่ยาวเกินกว่าสามนาทีถึงจะเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด

การดำเนินการนี้ต้องใช้เวลามิใช่น้อย และระยะห่างของทั้งสองฝ่ายก็ต้องไม่เกินกว่าสามเมตรอีกด้วย

เมื่อครู่นี้เขาเพิ่งจะลบความทรงจำส่วนหนึ่งไปโดยสัญชาตญาณ ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะส่งผลอะไรบ้าง

นี่เป็นเรื่องยากมากที่จะสร้างความเสียหายอย่างจริงจังต่อเป้าหมาย นอกจากนั้นแล้วความทรงจำเพียงแค่สามนาทีก็ถือว่าน้อยมากๆ

ซางเจี้ยนเย่าขมวดคิ้วมองไปยังเยว่ฉี่ฝานที่กดปีกหมวกลงมาต่ำมาก เขาไม่พูดไม่จา และก็ไม่ได้ลงมือทำอะไร

“…” เยว่ฉี่ฝานใจหายวูบ

เมื่อกี้เราลบความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องที่ลงมือต่อสู้กันงั้นเหรอ เขาจำไม่ได้แล้วว่าเราเป็นศัตรูกัน แถมยังไม่รู้ด้วยว่าเราลงมือโจมตี…

พอคิดมาถึงตรงนี้ เยว่ฉี่ฝานก็พลันรู้สึกยินดี ยืดตัวตรงขึ้นมา

เขาแกล้งทำเป็นฮัมเพลงในระหว่างที่ก้มตัวเก็บท่อโลหะกับลูกดอกบนพื้นขึ้นมา

หลังจากนั้นก็ลดปีกหมวกลงมากกว่าเดิมเพื่อไม่ให้ซางเจี้ยนเย่ามองเห็นใบหน้าตนได้อย่างชัดเจน

หนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว เยว่ฉี่ฝานฮัมเพลงและค่อยๆ เดินจากไปอย่างช้าๆ

“เฮ้” ในตอนนี้เอง จู่ๆ ซางเจี้ยนเย่าก็หมุนตัวร้องตะโกนขึ้นมา

ม่านตาเยว่ฉี่ฝานขยายตัว เหงื่อเย็นเยียบไหลพรากเต็มหลัง เขารีบวิ่งหน้าตื่นหนีไปทันที

มองเห็นแผ่นหลังของร่างเยว่ฉี่ฝานหายลับไปจากหัวมุม ‘ถนน’ ซางเจี้ยนเย่าพูด “เอ่อ” ออกมาคำหนึ่งแล้วพึมพำกับตัวเอง

“เขารับไม่ได้ที่จะถูกประเมินว่าร้องเพลงแย่งั้นเหรอ”

* * * * *

ห้องเลขที่ 12 เขต C ชั้น 349

เจี่ยงไป๋เหมียนลงชื่อเข้าใช้บัญชีตัวเอง ตั้งใจเขียนอีเมลอย่างระมัดระวัง

หลังจากตรวจสอบชื่อผู้รับแล้ว เธอก็เลื่อนเมาส์แล้วคลิกปุ่มซ้ายเพื่อส่งอีเมลออกไป

* * * * *

[1] ใส่ขยะเข้าไปก็ได้ขยะออกมา (错进错出) เป็นคำศัพท์คอมพิวเตอร์ “Garbage In, Garbage Out” ใช้ตัวย่อว่า GIGO แปลตามตัวว่า “ขยะเข้า ขยะออก” หมายถึง ถ้าเราเอาสิ่งที่ไร้ประโยชน์ใส่เข้าไปในระบบ ผลลัพธ์ที่ได้กลับมาก็คือสิ่งที่ไร้ประโยชน์เช่นกัน

[2] ปลาหลีฮื้อพลิกกาย (鲤鱼打挺) ปลาหลีฮื้อคือปลาคาร์พ ท่านี้เป็นหนึ่งในกระบวนท่ากังฟู ในขณะที่นอนหงายอยู่นั้นจะยกขาแล้วใช้แรงดีดจากหัวไหล่ หลัง เอว และมือออกแรงพร้อมกับใช้แรงเหวี่ยงกระโดดขึ้นมายืน

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท