หลังจากรออยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าอีเมลถูกส่งไปสำเร็จเรียบร้อย เจี่ยงไป๋เหมียนก็ถอนใจโล่งอก เอนหลังพิงเก้าอี้
เรื่องราวที่เหลือต่อจากนี้ก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเธออีกต่อไปแล้ว
“หวังว่าทางบริษัทจะจัดการเรื่องได้อย่างรวดเร็ว ไม่ปล่อยให้หลงเหลือภัยซ่อนเร้นอะไรไว้อีก…” เจี่ยงไป๋เหมียนพึมพำกับตัวเอง เอี้ยวตัวก้มลงไปหยิบกระติกน้ำร้อนสีน้ำเงินที่วางไว้ด้านข้างเพื่อจะเอามาเติมใส่แก้วน้ำตัวเอง
เธอเขย่ากระติกสองครั้งแล้วพบว่าน้ำหนักเบากว่าที่คิดไว้
น้ำหมดแล้ว… เธอส่ายหน้า หยิบกระติกน้ำร้อนขึ้นมาแล้วเดินออกจากห้องหนังสือไปที่ห้องนั่งเล่น
“กลับมาถึงบ้านแล้วทำไมถึงเอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องอยู่ได้” เซวียซู่เหมยผู้เป็นมารดาเริ่มบ่นทันทีเมื่อเห็นหน้าเธอ
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้ใส่ใจ ตอบกลับไปอย่างยิ้มแย้ม
“ก็เพราะว่าหนูทุ่มเทให้กับงานไงคะ”
พูดจบเธอก็รีบเบี่ยงเบนหัวข้อสนทนา
“ผมทรงใหม่ของแม่ดูดีมากเลยล่ะ”
ชั้นที่ 349 นั้นมีร้านทำผมไว้ให้เป็นการเฉพาะ
แน่นอนว่า ‘เขตที่พักอาศัย’ ของชั้นอื่นที่สูงขึ้นไปกว่าชั้น 349 ก็มีสถานที่บริการที่คล้ายๆ กัน แต่เป็นอะไรที่เรียบง่ายธรรมดากว่ากันมาก โดยปกติแล้วจะตัดผมและทำผมให้เฉพาะทรงธรรมดาเท่านั้น ช่วงวันเทศกาลถึงจะมีบริการพิเศษอย่างเช่นการดัดผมเพิ่มขึ้นมา
เซวียซู่เหมยยกมือขึ้นมาแตะจอนผมตนเองอย่างไม่รู้ตัว ถามกลับมาอย่างยิ้มแย้ม
“ดูดีใช่ไหมล่ะ
“แม่เพิ่งไปทำมาเมื่อตอนบ่ายนี่เอง ตอนลูกเข้ามาไม่ได้สังเกตหรือไง”
เซวียซู่เหมยแทบไม่มีริ้วรอยบนใบหน้า ดูสะอาดสะอ้านหมดจด เส้นผมม้วนเป็นลอน ดูอ่อนกว่าวัยจริงอยู่หลายปี
“หนูให้โอกาสพ่อเป็นคนพูดก่อนไง จะให้ทักก่อนพ่อได้ไงล่ะคะ” เจี่ยงไป๋เหมียนเบิกตาโตพูดไปเรื่อยเปื่อย
เธอโยนกลองไปให้เจี่ยงเหวินเฟิงผู้เป็นบิดาได้ในที่สุด
และเป็นดังคาด เซวียซู่เหมยเริ่มบ่นเรื่องสัพเพเหระในบ้าน บ่นว่าเจี่ยงเหวินเฟิงเอาแต่ขลุกอยู่ในไร่ฝ้ายทั้งเดือน กลับมาก็ตัวเหม็นคลุ้ง
พูดไปพูดมาเธอก็หันมาถลึงตาใส่
“แล้วนี่ทำไมแม่ต้องมาบ่นเรื่องพวกนี้กับลูกล่ะเนี่ย
“แม่จะบอกอะไรให้นะ คนที่ชื่อเสี่ยวจ้าวนั่นถูกใจลูกมาก ทำไมลูกเอาแต่ไม่หือไม่อือ กระตือรือร้นหน่อยไม่ได้หรือไง”
“หนูรอให้บริษัทจัดคู่ให้อยู่น่ะ ไว้ถ้าทางบริษัทเขาจัดคู่ให้เมื่อไหร่หนูก็ค่อยแต่งเอาตอนนั้นนั่นแหละ” เจี่ยงไป๋เหมียนรีบยกเอาบริษัทมาเป็น ‘โล่กันภัย’
“ที่จริงก็แต่งๆ ไปก่อนก็ได้ ส่วนเรื่องมีลูกมีหลานก็ไว้ทีหลังได้ แม่ไม่รีบ” เซวียซู่เหมยพยายามเกลี้ยกล่อม
แล้วในตอนนี้ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมาขัดจังหวะ
“ใครคะ” เจี่ยงไป๋เหมียนถามเสียงดัง
เธอรีบฉวยโอกาสนี้ปลีกตัวออกจากมารดา รีบวิ่งไปที่ประตู
นอกประตูเป็นชายสวมเครื่องแบบสีเขียวอมเทา
เขาอายุสามสิบปี ไม่ได้ติดป้ายตรา ผิวเป็นสีแทน ใบหน้ามีร่องรอยความตรากตรำ
หางตาของชายผู้นี้มีรอยแผลเป็นที่เห็นได้ชัด ทำให้ใบหน้าดูค่อนข้างดุดัน
“เฉินซิ่นเหยียน…” เจี่ยงไป๋เหมียนจำผู้มาเยือนได้ในทันที เธอยิ้มให้เขา “คณะบริหารเริ่มลงมือแล้วใช่ไหม”
ที่อยู่เบื้องหน้าเธอก็คือเพื่อนที่รู้จักกันหลังจากเข้าทำงานในแผนกความมั่นคงได้ไม่นาน ในขณะนั้นเฉินซิ่นเหยียนอยู่ในทีมปฏิบัติการพิเศษ และเขาเองก็ได้รับการดัดแปลงพันธุกรรมมาเช่นกัน
เนื่องจากว่ามีผลงานโดดเด่นในการปฏิบัติงานอยู่หลายครั้ง ในเวลาต่อมาจึงได้ถูกย้ายสังกัดไปอยู่ในกองพลภายใต้คณะบริหารโดยตรง ปัจจุบันเขาอยู่ระดับ D8 เป็นหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการหน่วยหนึ่ง
เฉินซิ่นเหยียนพยักหน้าให้เล็กน้อย
“ใช่
“ภารกิจที่ผมมอบหมายให้ตัวเองก็คือมาคุ้มครองพยานคนสำคัญ”
เมื่อพูดแล้วเขาก็หัวเราะออกมา
“ถึงแม้ว่าที่จริงแล้วเธอไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นมาคอยคุ้มครองก็ได้”
“ประเด็นก็คือฉันไม่ได้รับอนุญาตให้พกปืนได้นี่สิ” เจี่ยงไป๋เหมียนหันหน้าเล็กน้อย ตรวจจับรับสัญญาณจากบริเวณโดยรอบ “นายพาทีมมาด้วยเหรอ”
ถึงแม้ว่ากองพลภายใต้คณะบริหารนั้นจะมีจำนวนคนน้อยกว่ากองพลที่ปฏิบัติการภาคสนามก็ตาม แต่ในทีมย่อยนั้นก็ยังคงมีกำลังพลมากกว่าสิบคน
“เตรียมไว้รับมือเหตุวุ่นวายด้วยน่ะ” เฉินซิ่นเหยียนอธิบายสั้นๆ
เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้มให้พลางเบี่ยงตัวหลบ ชี้มือไปที่ห้องนั่งเล่น
“งั้นนายเข้ามานั่งก่อนเถอะ ฉันก็จะได้รอฟังความคืบหน้าจากปฏิบัติการของนายด้วย”
เซวียซู่เหมยมองมาทางด้านนี้อยู่ครู่หนึ่ง ถึงแม้ว่าในใจจะอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่สุดท้ายเธอก็ตัดสินใจเดินเข้าไปในห้องนอน
* * * * *
ในห้องแห่งหนึ่งที่มีแสงไฟฉายส่องกระจายอยู่รายรอบ
เยว่ฉี่ฝานยกหูโทรศัพท์แบบใช้สายเครื่องสีน้ำเงินเข้ม ค่อยๆ กดหมายเลขโทรออกอย่างระมัดระวัง
“ฮัลโหล” เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นจากปลายสาย
เยว่ฉี่ฝานรีบรายงานไปอย่างรวดเร็ว
“ท่านคุรุศักดิ์สิทธิ์ ปฏิบัติการล้มเหลวครับ
“เป้าหมายระวังตัวมาก”
อีกฝ่ายเงียบไปสองวินาทีก่อนถามกลับ
“ถูกเผยตัวหรือเปล่า”
“เปล่าครับ ผมได้ลบความจำในช่วงที่เราพบกันและต่อสู้กันทิ้งไปแล้ว เขาจำไม่ได้ว่าผมจู่โจมเขา เพียงแค่คิดว่าผมเป็นพนักงานที่เดินผ่านไปเท่านั้น แล้วผมก็ยังลดปีกหมวกให้บังหน้าไว้ด้วย” เยว่ฉี่ฝานรีบตอบเป็นชุด
อีกฝ่ายเงียบไปอีกครั้ง แต่ไม่นานก็พูดต่ออย่างไม่เร่งรีบด้วยเสียงที่กดให้เบาลง
“ไม่ต้องทำอะไรต่อแล้ว
“เรื่องที่เหลือปล่อยให้ฉันจัดการเอง”
“ทราบแล้ว ท่านคุรุศักดิ์สิทธิ์” เยว่ฉี่ฝานถอนใจโล่งอก
* * * * *
ชั้น 478 บริเวณทางแยกระหว่างเขต A และ B
ทีมปฏิบัติการของกองพลภายใต้คณะบริหารจำนวนสองทีมกระจายตัวแอบซุ่มอยู่ทั่วพื้นที่เพื่อควบคุมสถานการณ์
หลังจากเจ้าหน้าที่ผู้นำปฏิบัติการได้ตรวจสอบเครื่องกระตุ้นหัวใจและระยะห่างจากห้องสงหมิงซ้ำอีกครั้งเสร็จ เขาก็ออกคำสั่ง
“เริ่มปฏิบัติการทันที ใช้เวลาให้น้อยที่สุด อย่าเปิดโอกาสให้เป้าหมายตอบโต้”
เมื่อพูดจบ สมาชิกทีมจำนวนสี่คนที่สวมหน้ากากกันแก๊สพิษก็ก้มตัววิ่งขึ้นหน้าทันที
เพียงไม่กี่วินาทีก็มาถึงหน้าห้องของสงหมิง
จากนั้นหนึ่งคนกระแทกประตูให้เปิดออก อีกคนหนึ่งโยนระเบิดแก๊สสลบเข้าไป อีกสองคนยกปืนขึ้นเล็งเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการจู่โจมระลอกสอง
เสียงระเบิดดังขึ้นเบาๆ แก๊สกระจายไปทั่วห้องเล็กๆ แห่งนั้น
เสียงดังตุ้บ ภายในห้องเกิดเสียงของหนักล้มลงบนพื้น
สมาชิกทีมปฏิบัติการทั้งสองคนรออยู่สองสามวินาที จากนั้นจึงเข้าห้องไปด้วยความระมัดระวัง
เพียงไม่นานพวกเขาก็นำร่างไร้สติของสงหมิงออกมา
คนที่รู้จักสงหมิงรีบเข้าไปดู เพียงแว่บเดียวก็ยืนตัวตรงพูดขึ้น
“ยืนยันตัวเป้าหมายครับ!”
หัวหน้าปฏิบัติการผงกศีรษะเล็กน้อยแล้วโบกมือ
“พาตัวกลับไปสอบปากคำ”
จากนั้นเขาก็มองดูรอบๆ แล้วสั่งการตามขั้นตอนปฏิบัติ
“เจ้าหน้าที่ชีวภาพจัดการกับแก๊สสลบที่ตกค้างอยู่
“เจ้าหน้าที่สนับสนุนไปปลอบขวัญประชาชนที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้
“คนที่เหลือ ถอนกำลังทันที!”
* * * * *
ที่ชั้น 5 ของอาคารใต้ดิน ภายในห้องหนึ่งของ ‘เขตบริหาร’
สงหมิงตื่นขึ้นมาพบว่าตนกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะ มือสองข้างถูกสวมกุญแจมือล็อกไว้กับที่ท้าวแขนเก้าอี้
อีกด้านหนึ่งของโต๊ะเป็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่ดูสงบนิ่งเยือกเย็น
ร่างท่อนบนของเขาเปลือยเปล่า มีอุปกรณ์การแพทย์สารพัดชนิดแบบเคลื่อนย้ายได้ติดตั้งเอาไว้ ดูราวกับเป็นมนุษย์ดัดแปลงชีวจักรกล
ข้างกายเขามีอุปกรณ์กู้ชีพระดับสูงอีกด้วย
“พวกแกกลัวฉันมากหรือไง” อารมณ์ตื่นตระหนกและเกรี้ยวกราดของสงหมิงสงบลงทันที
เขาไม่เคยนึกฝันมาก่อนเลยว่าผู้ที่ได้รับการประทานพรจากองค์เทพีอย่างเขาจะถูกจับได้อย่างง่ายดายเช่นนี้
ในตอนที่ถูกจับนั้นเขาไม่มีเวลาให้ทำอะไรได้เลย
ชายวัยกลางคนมองดูดวงตาไม้แกะสลักของสงหมิงแล้วตอบอย่างใจเย็นสงบนิ่ง
“กันไว้ก่อนก็ไม่เสียหลายนี่”
สงหมิงนิ่งเงียบไปสองวินาทีก่อนจะยิ้มออกมา
“พวกแกอยากรู้อะไร”
“หือ” ชายวัยกลางคนผู้นั้นมีสีหน้าสงสัย
สงหมิงอยากจะเอนหลัง แต่ถูกจำกัดด้วยกุญแจมือ จึงทำได้เพียงแค่ยิ้มโดยไม่ได้เปลี่ยนท่าทาง
“ฉันคิดว่าไม่มีองค์กรไหนจะปฏิเสธการยอมจำนนของนีโอฮิวแมนหรอกนะ
“ความสามารถของฉัน รวมถึงวิธีการที่ได้พลังมา ต้องบอกเลยว่าเรื่องพวกนี้มีประโยชน์ต่อพวกแกอย่างมหาศาลอยู่แล้ว”
ชายวัยกลางคนผู้นั้นเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ
“นายดูเข้าใจสถานการณ์ได้ดีมาก
“แต่ว่าในฐานะที่เป็นสมาชิกนิกาย ไม่ใช่ว่าจะต้องบ้าคลั่งเกรี้ยวกราดหรือไง”
สงหมิงหัวเราะ
“ฉันศรัทธาเพียงองค์เทพีตุลากรชะตาเท่านั้น
“พวกสมาชิกนิกายคนอื่นน่ะ ฉันไม่สนใจหรอก”
ชายกลางคนผ่อนลมหายใจออกอย่างช้าๆ
“งั้นบอกหน่อย คุรุศักดิ์สิทธิ์วิญญาณหวนเป็นใครกันแน่ แล้วนายยังรู้จักตัวจริงของคุรุศักดิ์สิทธิ์คนไหนอีกหรือเปล่า”
เขากล่าวเสริมอีกหนึ่งประโยคโดยไม่รอให้สงหมิงตอบกลับ
“อย่าโกหก
“นายคงไม่คิดหรอกนะว่าบริษัทที่เป็นองค์กรใหญ่ขนาดนี้จะไม่มีผู้ตื่นรู้คนอื่นอีกแล้ว”
สีหน้าของสงหมิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย กลายมาเป็นเคร่งขรึม
“ในเมื่อฉันตัดสินใจไปแล้ว ก็จะไม่ปิดบังอะไรพวกแกอีก”
* * * * *
ห้องที่ 12 เขต C ชั้น 349 บ้านเจี่ยงไป๋เหมียน เสียงเรียกเข้าอันไพเราะของโทรศัพท์ดังขึ้น
เฉินซิ่นเหยียนพูดออกมาก่อนที่เจี่ยงไป๋เหมียนจะลุกขึ้นไปรับโทรศัพท์
“นี่น่าจะเป็นสายที่โทรหาผม”
“ดูท่าว่าเป็นข่าวดีสินะ” เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้ม
เฉินซิ่นเหยียนยกหูโทรศัพท์แบบมีสายที่วางอยู่บนโต๊ะเล็กข้างตัว และแจ้งชื่อตัวเองแบบสั้นๆ
หลังจากฟังอย่างเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่งก็วางสายลงแล้วหันหน้ามาพูดกับเจี่ยงไป๋เหมียน
“ยืนยันตัวตนของคุรุศักดิ์สิทธิ์วิญญาณหวนได้แล้ว
“เป็นจางจื่อชง ผู้รับผิดชอบแผนกสอดส่องกล้องวงจรปิดของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ พนักงานระดับ D9”
“ผู้รับผิดชอบแผนกสอดส่องงั้นเหรอ มิน่าล่ะ…” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่รู้สึกแปลกใจกับเรื่องนี้เลย
เธอสงสัยมานานแล้วว่ามีสมาชิกของ ‘พิธีกรรมชีวิต’ แฝงตัวอยู่ในแผนกสอดส่อง และมีตำแหน่งสูงพอสมควร
ไม่อย่างนั้นแล้วสงหมิงก็คงไม่มีทางเข้าใจขั้นตอนการทำงานของกล้องวงจรปิดและวางแผนหลบเลี่ยงได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่อย่างนั้นแล้วการรายงานของเสิ่นตู้ก็คงไม่ถูกตรวจพบและดำเนินการอย่างรวดเร็วทันการขนาดนั้น
ส่วนสาเหตุว่าทำไมการสนทนาระหว่างตนเองกับซางเจี้ยนเย่านั้นถึงไม่เกิดปัญหาอะไร นั่นเป็นเพราะว่าพวกเขาพูดคุยกันในห้องทำงานของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ทุกครั้ง ซึ่งที่นั่นเป็นสถานที่ซึ่งไม่มีกล้องวงจรปิดติดตามสอดส่อง
ปัญหาเดียวที่เหลืออยู่ในตอนนี้ก็คือ ‘พิธีกรรมชีวิต’ นั้นทำให้เสิ่นตู้ป่วยอย่างกะทันหันได้อย่างไร
เฉินซิ่นเหยียนมองดูสีหน้าของเจี่ยงเหมียนเหมียนแล้วถามด้วยรอยยิ้ม
“ดูเหมือนว่าเธอจะคิดไว้แล้วสินะ ว่าผลต้องออกมาแบบนี้”
“ก็เพียงแค่เดาได้บ้างน่ะ แต่ก็ไม่ได้มั่นใจเต็มร้อยหรอก มีเรื่องที่อธิบายไม่ได้มากเกินไป ดังนั้นฉันก็เลยให้ลูกทีมวางมือ ไม่ไปสืบต่อ ไม่งั้นอาจถูกเปิดโปงได้ง่ายๆ” เจี่ยงไป๋เหมียนดวงตาวูบไหวเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ “มิน่าล่ะ ‘ผู้ชี้นำ’ ถึงได้บอกว่าคุรุศักดิ์สิทธิ์คอยมองเราตลอดเวลา ประโยคนี้มันมีความหมายแฝงอยู่แบบนี้นี่เอง…”
พูดถึงตรงนี้เธอก็พลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
“ตอนที่ซางเจี้ยนเย่าไปหาสงหมิง เขาไปคุยกันข้างนอก แถวนั้นมีกล้องอยู่ด้วย!”
เฉินซิ่นเหยียนร้อง “อืม” คำหนึ่ง
“วางใจเถอะ ตอนที่ผมมานี่ก็ให้เพื่อนร่วมทีมไปคุ้มครองเขาแล้วล่ะ”
* * * * *
ซางเจี้ยนเย่านั่งอยู่ที่โต๊ะข้างหน้าต่าง มองดูเสื้อตัวเองผ่านแสงที่ส่องมาจากไฟถนนด้านนอก
“มันขาดตั้งแต่เมื่อไหร่นะ” เขากดรูเล็กๆ ที่อยู่บนเสื้อบริเวณระหว่างไหล่ซ้ายกับหน้าอก พูดพึมพำกับตัวเอง
ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงบางสิ่งจึงเงยหน้าขึ้นมองดู
เขาเห็นเงาร่างกระโดดผ่านหน้าต่างไป
เป็นหญิงวัยกลางคนสวมเสื้อใยสังเคราะห์ ใบหน้าบิดเบี้ยว หลังโก่งงองุ้ม
ดวงตาขุ่นมัว มีเส้นเลือดแดงก่ำราวกับสัตว์ร้าย
เหรินเจี๋ย…
‘ผู้ชี้นำ’ เหรินเจี๋ย…
* * * * *
ณ ห้องทำงานของผู้รับผิดชอบแผนกสอดส่องของคณะกรรมการยุทธศาสตร์
เสียงดังปัง เจ้าหน้าที่กองพลภายใต้คณะบริหารกระแทกประตูให้เปิดออก
จากแสงภายในห้องส่องให้เห็นร่างๆ หนึ่ง
ร่างนั้นห้อยลงมาจากเพดาน สวมเสื้อสีดำ กางเกงขายาวสีดำ และรองเท้าหนังสีดำ แกว่งไปมาเบาๆ เนื่องมาจากประตูที่เปิดออก