รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 108 ค่ำคืนอันอึกทึก

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 108 ค่ำคืนอันอึกทึก

หลังจากรออยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าอีเมลถูกส่งไปสำเร็จเรียบร้อย เจี่ยงไป๋เหมียนก็ถอนใจโล่งอก เอนหลังพิงเก้าอี้

เรื่องราวที่เหลือต่อจากนี้ก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเธออีกต่อไปแล้ว

“หวังว่าทางบริษัทจะจัดการเรื่องได้อย่างรวดเร็ว ไม่ปล่อยให้หลงเหลือภัยซ่อนเร้นอะไรไว้อีก…” เจี่ยงไป๋เหมียนพึมพำกับตัวเอง เอี้ยวตัวก้มลงไปหยิบกระติกน้ำร้อนสีน้ำเงินที่วางไว้ด้านข้างเพื่อจะเอามาเติมใส่แก้วน้ำตัวเอง

เธอเขย่ากระติกสองครั้งแล้วพบว่าน้ำหนักเบากว่าที่คิดไว้

น้ำหมดแล้ว… เธอส่ายหน้า หยิบกระติกน้ำร้อนขึ้นมาแล้วเดินออกจากห้องหนังสือไปที่ห้องนั่งเล่น

“กลับมาถึงบ้านแล้วทำไมถึงเอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องอยู่ได้” เซวียซู่เหมยผู้เป็นมารดาเริ่มบ่นทันทีเมื่อเห็นหน้าเธอ

เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้ใส่ใจ ตอบกลับไปอย่างยิ้มแย้ม

“ก็เพราะว่าหนูทุ่มเทให้กับงานไงคะ”

พูดจบเธอก็รีบเบี่ยงเบนหัวข้อสนทนา

“ผมทรงใหม่ของแม่ดูดีมากเลยล่ะ”

ชั้นที่ 349 นั้นมีร้านทำผมไว้ให้เป็นการเฉพาะ

แน่นอนว่า ‘เขตที่พักอาศัย’ ของชั้นอื่นที่สูงขึ้นไปกว่าชั้น 349 ก็มีสถานที่บริการที่คล้ายๆ กัน แต่เป็นอะไรที่เรียบง่ายธรรมดากว่ากันมาก โดยปกติแล้วจะตัดผมและทำผมให้เฉพาะทรงธรรมดาเท่านั้น ช่วงวันเทศกาลถึงจะมีบริการพิเศษอย่างเช่นการดัดผมเพิ่มขึ้นมา

เซวียซู่เหมยยกมือขึ้นมาแตะจอนผมตนเองอย่างไม่รู้ตัว ถามกลับมาอย่างยิ้มแย้ม

“ดูดีใช่ไหมล่ะ

“แม่เพิ่งไปทำมาเมื่อตอนบ่ายนี่เอง ตอนลูกเข้ามาไม่ได้สังเกตหรือไง”

เซวียซู่เหมยแทบไม่มีริ้วรอยบนใบหน้า ดูสะอาดสะอ้านหมดจด เส้นผมม้วนเป็นลอน ดูอ่อนกว่าวัยจริงอยู่หลายปี

“หนูให้โอกาสพ่อเป็นคนพูดก่อนไง จะให้ทักก่อนพ่อได้ไงล่ะคะ” เจี่ยงไป๋เหมียนเบิกตาโตพูดไปเรื่อยเปื่อย

เธอโยนกลองไปให้เจี่ยงเหวินเฟิงผู้เป็นบิดาได้ในที่สุด

และเป็นดังคาด เซวียซู่เหมยเริ่มบ่นเรื่องสัพเพเหระในบ้าน บ่นว่าเจี่ยงเหวินเฟิงเอาแต่ขลุกอยู่ในไร่ฝ้ายทั้งเดือน กลับมาก็ตัวเหม็นคลุ้ง

พูดไปพูดมาเธอก็หันมาถลึงตาใส่

“แล้วนี่ทำไมแม่ต้องมาบ่นเรื่องพวกนี้กับลูกล่ะเนี่ย

“แม่จะบอกอะไรให้นะ คนที่ชื่อเสี่ยวจ้าวนั่นถูกใจลูกมาก ทำไมลูกเอาแต่ไม่หือไม่อือ กระตือรือร้นหน่อยไม่ได้หรือไง”

“หนูรอให้บริษัทจัดคู่ให้อยู่น่ะ ไว้ถ้าทางบริษัทเขาจัดคู่ให้เมื่อไหร่หนูก็ค่อยแต่งเอาตอนนั้นนั่นแหละ” เจี่ยงไป๋เหมียนรีบยกเอาบริษัทมาเป็น ‘โล่กันภัย’

“ที่จริงก็แต่งๆ ไปก่อนก็ได้ ส่วนเรื่องมีลูกมีหลานก็ไว้ทีหลังได้ แม่ไม่รีบ” เซวียซู่เหมยพยายามเกลี้ยกล่อม

แล้วในตอนนี้ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมาขัดจังหวะ

“ใครคะ” เจี่ยงไป๋เหมียนถามเสียงดัง

เธอรีบฉวยโอกาสนี้ปลีกตัวออกจากมารดา รีบวิ่งไปที่ประตู

นอกประตูเป็นชายสวมเครื่องแบบสีเขียวอมเทา

เขาอายุสามสิบปี ไม่ได้ติดป้ายตรา ผิวเป็นสีแทน ใบหน้ามีร่องรอยความตรากตรำ

หางตาของชายผู้นี้มีรอยแผลเป็นที่เห็นได้ชัด ทำให้ใบหน้าดูค่อนข้างดุดัน

“เฉินซิ่นเหยียน…” เจี่ยงไป๋เหมียนจำผู้มาเยือนได้ในทันที เธอยิ้มให้เขา “คณะบริหารเริ่มลงมือแล้วใช่ไหม”

ที่อยู่เบื้องหน้าเธอก็คือเพื่อนที่รู้จักกันหลังจากเข้าทำงานในแผนกความมั่นคงได้ไม่นาน ในขณะนั้นเฉินซิ่นเหยียนอยู่ในทีมปฏิบัติการพิเศษ และเขาเองก็ได้รับการดัดแปลงพันธุกรรมมาเช่นกัน

เนื่องจากว่ามีผลงานโดดเด่นในการปฏิบัติงานอยู่หลายครั้ง ในเวลาต่อมาจึงได้ถูกย้ายสังกัดไปอยู่ในกองพลภายใต้คณะบริหารโดยตรง ปัจจุบันเขาอยู่ระดับ D8 เป็นหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการหน่วยหนึ่ง

เฉินซิ่นเหยียนพยักหน้าให้เล็กน้อย

“ใช่

“ภารกิจที่ผมมอบหมายให้ตัวเองก็คือมาคุ้มครองพยานคนสำคัญ”

เมื่อพูดแล้วเขาก็หัวเราะออกมา

“ถึงแม้ว่าที่จริงแล้วเธอไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นมาคอยคุ้มครองก็ได้”

“ประเด็นก็คือฉันไม่ได้รับอนุญาตให้พกปืนได้นี่สิ” เจี่ยงไป๋เหมียนหันหน้าเล็กน้อย ตรวจจับรับสัญญาณจากบริเวณโดยรอบ “นายพาทีมมาด้วยเหรอ”

ถึงแม้ว่ากองพลภายใต้คณะบริหารนั้นจะมีจำนวนคนน้อยกว่ากองพลที่ปฏิบัติการภาคสนามก็ตาม แต่ในทีมย่อยนั้นก็ยังคงมีกำลังพลมากกว่าสิบคน

“เตรียมไว้รับมือเหตุวุ่นวายด้วยน่ะ” เฉินซิ่นเหยียนอธิบายสั้นๆ

เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้มให้พลางเบี่ยงตัวหลบ ชี้มือไปที่ห้องนั่งเล่น

“งั้นนายเข้ามานั่งก่อนเถอะ ฉันก็จะได้รอฟังความคืบหน้าจากปฏิบัติการของนายด้วย”

เซวียซู่เหมยมองมาทางด้านนี้อยู่ครู่หนึ่ง ถึงแม้ว่าในใจจะอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่สุดท้ายเธอก็ตัดสินใจเดินเข้าไปในห้องนอน

* * * * *

ในห้องแห่งหนึ่งที่มีแสงไฟฉายส่องกระจายอยู่รายรอบ

เยว่ฉี่ฝานยกหูโทรศัพท์แบบใช้สายเครื่องสีน้ำเงินเข้ม ค่อยๆ กดหมายเลขโทรออกอย่างระมัดระวัง

“ฮัลโหล” เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นจากปลายสาย

เยว่ฉี่ฝานรีบรายงานไปอย่างรวดเร็ว

“ท่านคุรุศักดิ์สิทธิ์ ปฏิบัติการล้มเหลวครับ

“เป้าหมายระวังตัวมาก”

อีกฝ่ายเงียบไปสองวินาทีก่อนถามกลับ

“ถูกเผยตัวหรือเปล่า”

“เปล่าครับ ผมได้ลบความจำในช่วงที่เราพบกันและต่อสู้กันทิ้งไปแล้ว เขาจำไม่ได้ว่าผมจู่โจมเขา เพียงแค่คิดว่าผมเป็นพนักงานที่เดินผ่านไปเท่านั้น แล้วผมก็ยังลดปีกหมวกให้บังหน้าไว้ด้วย” เยว่ฉี่ฝานรีบตอบเป็นชุด

อีกฝ่ายเงียบไปอีกครั้ง แต่ไม่นานก็พูดต่ออย่างไม่เร่งรีบด้วยเสียงที่กดให้เบาลง

“ไม่ต้องทำอะไรต่อแล้ว

“เรื่องที่เหลือปล่อยให้ฉันจัดการเอง”

“ทราบแล้ว ท่านคุรุศักดิ์สิทธิ์” เยว่ฉี่ฝานถอนใจโล่งอก

* * * * *

ชั้น 478 บริเวณทางแยกระหว่างเขต A และ B

ทีมปฏิบัติการของกองพลภายใต้คณะบริหารจำนวนสองทีมกระจายตัวแอบซุ่มอยู่ทั่วพื้นที่เพื่อควบคุมสถานการณ์

หลังจากเจ้าหน้าที่ผู้นำปฏิบัติการได้ตรวจสอบเครื่องกระตุ้นหัวใจและระยะห่างจากห้องสงหมิงซ้ำอีกครั้งเสร็จ เขาก็ออกคำสั่ง

“เริ่มปฏิบัติการทันที ใช้เวลาให้น้อยที่สุด อย่าเปิดโอกาสให้เป้าหมายตอบโต้”

เมื่อพูดจบ สมาชิกทีมจำนวนสี่คนที่สวมหน้ากากกันแก๊สพิษก็ก้มตัววิ่งขึ้นหน้าทันที

เพียงไม่กี่วินาทีก็มาถึงหน้าห้องของสงหมิง

จากนั้นหนึ่งคนกระแทกประตูให้เปิดออก อีกคนหนึ่งโยนระเบิดแก๊สสลบเข้าไป อีกสองคนยกปืนขึ้นเล็งเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการจู่โจมระลอกสอง

เสียงระเบิดดังขึ้นเบาๆ แก๊สกระจายไปทั่วห้องเล็กๆ แห่งนั้น

เสียงดังตุ้บ ภายในห้องเกิดเสียงของหนักล้มลงบนพื้น

สมาชิกทีมปฏิบัติการทั้งสองคนรออยู่สองสามวินาที จากนั้นจึงเข้าห้องไปด้วยความระมัดระวัง

เพียงไม่นานพวกเขาก็นำร่างไร้สติของสงหมิงออกมา

คนที่รู้จักสงหมิงรีบเข้าไปดู เพียงแว่บเดียวก็ยืนตัวตรงพูดขึ้น

“ยืนยันตัวเป้าหมายครับ!”

หัวหน้าปฏิบัติการผงกศีรษะเล็กน้อยแล้วโบกมือ

“พาตัวกลับไปสอบปากคำ”

จากนั้นเขาก็มองดูรอบๆ แล้วสั่งการตามขั้นตอนปฏิบัติ

“เจ้าหน้าที่ชีวภาพจัดการกับแก๊สสลบที่ตกค้างอยู่

“เจ้าหน้าที่สนับสนุนไปปลอบขวัญประชาชนที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้

“คนที่เหลือ ถอนกำลังทันที!”

* * * * *

ที่ชั้น 5 ของอาคารใต้ดิน ภายในห้องหนึ่งของ ‘เขตบริหาร’

สงหมิงตื่นขึ้นมาพบว่าตนกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะ มือสองข้างถูกสวมกุญแจมือล็อกไว้กับที่ท้าวแขนเก้าอี้

อีกด้านหนึ่งของโต๊ะเป็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่ดูสงบนิ่งเยือกเย็น

ร่างท่อนบนของเขาเปลือยเปล่า มีอุปกรณ์การแพทย์สารพัดชนิดแบบเคลื่อนย้ายได้ติดตั้งเอาไว้ ดูราวกับเป็นมนุษย์ดัดแปลงชีวจักรกล

ข้างกายเขามีอุปกรณ์กู้ชีพระดับสูงอีกด้วย

“พวกแกกลัวฉันมากหรือไง” อารมณ์ตื่นตระหนกและเกรี้ยวกราดของสงหมิงสงบลงทันที

เขาไม่เคยนึกฝันมาก่อนเลยว่าผู้ที่ได้รับการประทานพรจากองค์เทพีอย่างเขาจะถูกจับได้อย่างง่ายดายเช่นนี้

ในตอนที่ถูกจับนั้นเขาไม่มีเวลาให้ทำอะไรได้เลย

ชายวัยกลางคนมองดูดวงตาไม้แกะสลักของสงหมิงแล้วตอบอย่างใจเย็นสงบนิ่ง

“กันไว้ก่อนก็ไม่เสียหลายนี่”

สงหมิงนิ่งเงียบไปสองวินาทีก่อนจะยิ้มออกมา

“พวกแกอยากรู้อะไร”

“หือ” ชายวัยกลางคนผู้นั้นมีสีหน้าสงสัย

สงหมิงอยากจะเอนหลัง แต่ถูกจำกัดด้วยกุญแจมือ จึงทำได้เพียงแค่ยิ้มโดยไม่ได้เปลี่ยนท่าทาง

“ฉันคิดว่าไม่มีองค์กรไหนจะปฏิเสธการยอมจำนนของนีโอฮิวแมนหรอกนะ

“ความสามารถของฉัน รวมถึงวิธีการที่ได้พลังมา ต้องบอกเลยว่าเรื่องพวกนี้มีประโยชน์ต่อพวกแกอย่างมหาศาลอยู่แล้ว”

ชายวัยกลางคนผู้นั้นเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ

“นายดูเข้าใจสถานการณ์ได้ดีมาก

“แต่ว่าในฐานะที่เป็นสมาชิกนิกาย ไม่ใช่ว่าจะต้องบ้าคลั่งเกรี้ยวกราดหรือไง”

สงหมิงหัวเราะ

“ฉันศรัทธาเพียงองค์เทพีตุลากรชะตาเท่านั้น

“พวกสมาชิกนิกายคนอื่นน่ะ ฉันไม่สนใจหรอก”

ชายกลางคนผ่อนลมหายใจออกอย่างช้าๆ

“งั้นบอกหน่อย คุรุศักดิ์สิทธิ์วิญญาณหวนเป็นใครกันแน่ แล้วนายยังรู้จักตัวจริงของคุรุศักดิ์สิทธิ์คนไหนอีกหรือเปล่า”

เขากล่าวเสริมอีกหนึ่งประโยคโดยไม่รอให้สงหมิงตอบกลับ

“อย่าโกหก

“นายคงไม่คิดหรอกนะว่าบริษัทที่เป็นองค์กรใหญ่ขนาดนี้จะไม่มีผู้ตื่นรู้คนอื่นอีกแล้ว”

สีหน้าของสงหมิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย กลายมาเป็นเคร่งขรึม

“ในเมื่อฉันตัดสินใจไปแล้ว ก็จะไม่ปิดบังอะไรพวกแกอีก”

* * * * *

ห้องที่ 12 เขต C ชั้น 349 บ้านเจี่ยงไป๋เหมียน เสียงเรียกเข้าอันไพเราะของโทรศัพท์ดังขึ้น

เฉินซิ่นเหยียนพูดออกมาก่อนที่เจี่ยงไป๋เหมียนจะลุกขึ้นไปรับโทรศัพท์

“นี่น่าจะเป็นสายที่โทรหาผม”

“ดูท่าว่าเป็นข่าวดีสินะ” เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้ม

เฉินซิ่นเหยียนยกหูโทรศัพท์แบบมีสายที่วางอยู่บนโต๊ะเล็กข้างตัว และแจ้งชื่อตัวเองแบบสั้นๆ

หลังจากฟังอย่างเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่งก็วางสายลงแล้วหันหน้ามาพูดกับเจี่ยงไป๋เหมียน

“ยืนยันตัวตนของคุรุศักดิ์สิทธิ์วิญญาณหวนได้แล้ว

“เป็นจางจื่อชง ผู้รับผิดชอบแผนกสอดส่องกล้องวงจรปิดของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ พนักงานระดับ D9”

“ผู้รับผิดชอบแผนกสอดส่องงั้นเหรอ มิน่าล่ะ…” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่รู้สึกแปลกใจกับเรื่องนี้เลย

เธอสงสัยมานานแล้วว่ามีสมาชิกของ ‘พิธีกรรมชีวิต’ แฝงตัวอยู่ในแผนกสอดส่อง และมีตำแหน่งสูงพอสมควร

ไม่อย่างนั้นแล้วสงหมิงก็คงไม่มีทางเข้าใจขั้นตอนการทำงานของกล้องวงจรปิดและวางแผนหลบเลี่ยงได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่อย่างนั้นแล้วการรายงานของเสิ่นตู้ก็คงไม่ถูกตรวจพบและดำเนินการอย่างรวดเร็วทันการขนาดนั้น

ส่วนสาเหตุว่าทำไมการสนทนาระหว่างตนเองกับซางเจี้ยนเย่านั้นถึงไม่เกิดปัญหาอะไร นั่นเป็นเพราะว่าพวกเขาพูดคุยกันในห้องทำงานของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ทุกครั้ง ซึ่งที่นั่นเป็นสถานที่ซึ่งไม่มีกล้องวงจรปิดติดตามสอดส่อง

ปัญหาเดียวที่เหลืออยู่ในตอนนี้ก็คือ ‘พิธีกรรมชีวิต’ นั้นทำให้เสิ่นตู้ป่วยอย่างกะทันหันได้อย่างไร

เฉินซิ่นเหยียนมองดูสีหน้าของเจี่ยงเหมียนเหมียนแล้วถามด้วยรอยยิ้ม

“ดูเหมือนว่าเธอจะคิดไว้แล้วสินะ ว่าผลต้องออกมาแบบนี้”

“ก็เพียงแค่เดาได้บ้างน่ะ แต่ก็ไม่ได้มั่นใจเต็มร้อยหรอก มีเรื่องที่อธิบายไม่ได้มากเกินไป ดังนั้นฉันก็เลยให้ลูกทีมวางมือ ไม่ไปสืบต่อ ไม่งั้นอาจถูกเปิดโปงได้ง่ายๆ” เจี่ยงไป๋เหมียนดวงตาวูบไหวเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ “มิน่าล่ะ ‘ผู้ชี้นำ’ ถึงได้บอกว่าคุรุศักดิ์สิทธิ์คอยมองเราตลอดเวลา ประโยคนี้มันมีความหมายแฝงอยู่แบบนี้นี่เอง…”

พูดถึงตรงนี้เธอก็พลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้

“ตอนที่ซางเจี้ยนเย่าไปหาสงหมิง เขาไปคุยกันข้างนอก แถวนั้นมีกล้องอยู่ด้วย!”

เฉินซิ่นเหยียนร้อง “อืม” คำหนึ่ง

“วางใจเถอะ ตอนที่ผมมานี่ก็ให้เพื่อนร่วมทีมไปคุ้มครองเขาแล้วล่ะ”

* * * * *

ซางเจี้ยนเย่านั่งอยู่ที่โต๊ะข้างหน้าต่าง มองดูเสื้อตัวเองผ่านแสงที่ส่องมาจากไฟถนนด้านนอก

“มันขาดตั้งแต่เมื่อไหร่นะ” เขากดรูเล็กๆ ที่อยู่บนเสื้อบริเวณระหว่างไหล่ซ้ายกับหน้าอก พูดพึมพำกับตัวเอง

ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงบางสิ่งจึงเงยหน้าขึ้นมองดู

เขาเห็นเงาร่างกระโดดผ่านหน้าต่างไป

เป็นหญิงวัยกลางคนสวมเสื้อใยสังเคราะห์ ใบหน้าบิดเบี้ยว หลังโก่งงองุ้ม

ดวงตาขุ่นมัว มีเส้นเลือดแดงก่ำราวกับสัตว์ร้าย

เหรินเจี๋ย…

‘ผู้ชี้นำ’ เหรินเจี๋ย…

* * * * *

ณ ห้องทำงานของผู้รับผิดชอบแผนกสอดส่องของคณะกรรมการยุทธศาสตร์

เสียงดังปัง เจ้าหน้าที่กองพลภายใต้คณะบริหารกระแทกประตูให้เปิดออก

จากแสงภายในห้องส่องให้เห็นร่างๆ หนึ่ง

ร่างนั้นห้อยลงมาจากเพดาน สวมเสื้อสีดำ กางเกงขายาวสีดำ และรองเท้าหนังสีดำ แกว่งไปมาเบาๆ เนื่องมาจากประตูที่เปิดออก

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท