ระหว่างที่พูดคุยสนทนากันไปด้วยนั้น ซางเจี้ยนเย่ากับเจี่ยงไป๋เหมียนก็เลี้ยวเข้าไปถนนตะวันตก เดินตรงไปยังสมาคมนักล่า
ในตอนนี้ยังค่อนข้างเช้ามาก สมาคมยังไม่ได้เปิดทำการ มีเพียงพนักงานทำความสะอาดเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่กำลังวุ่นอยู่ด้านใน
เจี่ยงไป๋เหมียนก็ไม่ได้รีบร้อน เธอเดินไปรอบๆ ห้องโถงอย่างไม่เร่งรีบ
หลังจากวนครบรอบกลับมาถึงจุดเริ่มต้น เธอก็เริ่ม ‘บ่น’ ให้ซางเจี้ยนเย่าฟัง
“ไม่ติดป้ายแนะนำพวกระดับสูงของสมาคมเอาไว้…
“นี่มันไม่ยุติธรรม ไม่เที่ยงธรรม ไม่มีมโนธรรม!”
ที่ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ นั้นแต่ละหน่วยงานจะมีป้ายแสดงข้อมูลของผู้รับผิดชอบหลักและเจ้าหน้าที่ของแผนกติดเอาไว้ที่ผนัง
“อาจจะอยู่ชั้นบนล่ะมั้ง” ซางเจี้ยนเย่าแหงนหน้ามองเพดาน
“ติดไว้ข้างบนแล้วจะให้ใครดู” เจี่ยงไป๋เหมียนหาที่นั่งที่ริมห้องโถงซึ่งมีอยู่สองสามแถวแล้วนั่งลงไป
“หนาวชะมัด…” เธอถูมือพลางถอนหายใจ ‘เสียงดัง’
“งั้นก็ยืนแล้วก็ขยับไปมาสิ” ซางเจี้ยนเย่าพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
เจี่ยงไป๋เหมียนอยากจะตอบกลับไปว่า ‘โอ้ มีความคิดเหมือนคนปกติแล้ว’ ก็พลันได้ยินซางเจี้ยนเย่าพูดต่อ
“หรือเต้นรำก็ได้”
“…” เจี่ยงไป๋เหมียนทั้งโมโหทั้งขบขัน “เอาไว้เสร็จภารกิจเมื่อไหร่ ฉันจะให้นายได้พัก ทีนี้อยากจะเต้นยังไง เต้นที่ไหนก็เอาที่สบายใจเลย!”
ดวงตาซางเจี้ยนเย่าเป็นประกายและตกอยู่ในห้วงภวังค์ ประหนึ่งว่าเจ้าตัวกำลังครุ่นคิดว่าจะสืบสวนการหายตัวไปของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ อีกทีมได้ยังไงให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
รอจนกระทั่งนักล่าซากอารยะจำนวนมากรับประทานอาหารเช้าจนเสร็จแล้วและเข้ามาในห้องโถงเพื่อเตรียมจะเลือกภารกิจ หางานทำเพื่อยังชีพ พนักงานของสมาคมก็ค่อยๆ ทยอยเดินลงบันไดมาทีละคน จากนั้นก็เข้าประจำตำแหน่งแล้วเปิดอุปกรณ์ที่อยู่ประจำที่ของแต่ละคน
เมื่อเห็นเช่นนี้ เจี่ยงไป๋เหมียนก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปยังตำแหน่งเวทีกลมกลางห้องพร้อมกับซางเจี้ยนเย่า
ในตอนนี้ก็พลันมีร่างหนึ่งผ่านแวบมาจากด้านข้าง แล้วพุ่งไปด้านหน้าพวกเขา
เนื่องจากรูปร่างหน้าตาของเจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่านั้นค่อนข้างโดดเด่น ถึงแม้ว่าพวกเขาจะปลอมตัวแบบง่ายๆ โดยสวมเสื้อผ้ากลมกลืนไปกับพวกนักล่าส่วนใหญ่ ทว่าก็ยังสะดุดตาเสมือนเป็นหิ่งห้อยในยามราตรีอันมืดมิด ดังนั้นร่างที่พุ่งผ่านไปนั้นจึงหันหน้ามาเหลือบมองดูพวกเขาอย่างไม่รู้ตัว
เขาเป็นชายซึ่งมีความสูงกว่า 180 เซนติเมตร เกือบจะสูงเท่ากับซางเจี้ยนเย่า ซึ่งค่อนข้างหาได้ยากสำหรับพวกนักล่าซากอารยะที่ค่อนข้างขาดแคลนอาหารการกิน ได้รับสารอาหารไม่พอเพียง
เขาสวมเสื้อคลุมขนสัตว์สีดำตัวยาวเนื้อผ้าหนา อายุประมาณ 30 ปี ผมสีดำนัยน์ตาสีฟ้า หน้าตาจัดว่าดี ถึงแม้ว่ายังไม่อาจนับได้ว่าหล่อเหลา มีลักษณะของชาติพันธุ์ทั้งแดนธุลีและชาวแม่น้ำแดง โครงหน้าชัด จมูกโด่งเป็นสัน
ในขณะเดียวกันก็มีความสุขุมและความมั่นใจปรากฏให้เห็นได้อย่างชัดเจน
หลังจากที่มองดูชายผู้นั้นเดินไปที่เคาน์เตอร์และหยิบป้ายตรานักล่าออกมา จู่ๆ ซางเจี้ยนเย่าก็พูดขึ้น
“จมูกโด่งไม่ใช่เรื่องดี…”
เจี่ยงไป๋เหมียนครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะคิกคัก
“นายกำลังจะบอกว่าพอโดนลมหนาวแล้วจมูกจะแดงงั้นสินะ”
โดยภาพรวมแล้วชายผู้นี้ค่อนข้างจะดูดีเลยทีเดียว เมื่อมองในแว่บแรกก็รู้สึกได้ว่าเป็นคนที่ไม่ควรไปหาเรื่องด้วย ข้อเสียเพียงประการเดียวก็คือปลายจมูกเขาแดงมากจนดูน่าขบขันอยู่บ้าง
“ลมข้างนอกมันหนาวไปหน่อย” ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะแล้วยกมือขึ้นมาถูปลายจมูกตนเอง
“ตอนนายเพิ่งเข้ามาในห้องโถงนี่ก็ไม่ได้ดีกว่ากันสักเท่าไหร่หรอกน่า…” เจี่ยงไป๋เหมียนเพิ่งจะพูดขาดคำ ก็เห็นพนักงานของสมาคมที่ยืนอยู่หน้าชายคนนั้นลุกขึ้นยืนแล้วยื่นส่งตรานักล่าคืนให้โดยใช้สองมือประคอง แสดงออกด้วยท่าทางเคารพ
สถานภาพไม่ได้ต่ำสินะ… เจี่ยงไป๋เหมียนพูดพึมพำกับตัวเอง แล้วเดินไปยังเคาน์เตอร์ที่อยู่ด้านริม
“ผมเอง” ซางเจี้ยนเย่ารีบสาวเท้าก้าวขึ้นหน้าสองสามก้าว แซงหัวหน้าทีมออกไป
“ไม่ต้อง” เจี่ยงไป๋เหมียนรีบห้ามเขาไว้ทันที
เธอมองดูรอบตัวก่อนจะกดเสียงพูด
“พวกเป้าหมายทั่วไปให้ฉันจัดการเอง
“อย่าใช้พลังพร่ำเพรื่อ จะได้ไม่ถูกเผยตัวง่ายๆ เหล็กดีก็ควรเก็บไว้ทำมีดดีๆ”
สำหรับผู้ตื่นรู้นั้น การเก็บพลังพิเศษของตนให้เป็นความลับเป็นเรื่องสำคัญมาก
หากถูกศัตรูล่วงรู้พลังของตนอย่างกระจ่าง นี่ไม่เพียงแต่จะกลายเป็นพลังที่ไร้ประโยชน์เท่านั้น ซ้ำยังง่ายที่จะถูกวางแผนตลบหลังอีกด้วย
“หือ คุณว่าไงนะ” ซางเจี้ยนเย่าแตะที่หูตนเอง
“…” ในตอนนี้เจี่ยงไป๋เหมียนก็พลันเข้าใจความรู้สึกเวลาที่โดนเข้ากับตัวบ้าง
เธอกัดฟันถาม
“เสียงฉันเบาไปงั้นเหรอ”
“อืม” ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะอย่างหนักแน่น
“งั้นจะพูดง่ายๆ ละกัน” เจี่ยงไป๋เหมียนใช้ความดังเสียงตามปกติ “ฉันเอง!”
พูดจบเธอก็ไม่เปิดโอกาสให้ซางเจี้ยนเย่าประท้วง รีบเดินตรงไปยังเคาน์เตอร์ทันที
ที่ยืนอยู่ข้างในเคาน์เตอร์เป็นพนักงานหญิงอายุราว 20 ต้นๆ ผมสั้นตาโต หน้าตาดูธรรมดา แต่ดูแลความสะอาดเป็นอย่างดี
ป้ายชื่อที่ติดอยู่บนหน้าอกของเธอนั้นมีตัวอักษรเขียนเอาไว้ว่า ‘ซูเสี่ยวม่าน’
“ฉันอยากสร้างภารกิจค่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้มสดใส
ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง หากได้พบกับหญิงสาวผู้งดงามองอาจและเปี่ยมด้วยมารยาท ล้วนย่อมเกิดความรู้สึกอันดีให้อยู่บ้าง ซูเสี่ยวม่านเองก็ไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน เธอรีบถามขึ้นอย่างกระตือรือร้น
“ภารกิจอะไรคะ
“แต่ละภารกิจจะใช้เวลาในการตรวจสอบอนุมัตินานไม่เท่ากัน ถ้าสามารถหานักล่าซากอารยะที่มีแต้มนักล่าสูงพอมาช่วยรับรองให้ หรือว่าเคยปฏิบัติภารกิจที่สำคัญมาหลายครั้ง เวลาที่ใช้ตรวจสอบอนุมัติจะเร็วขึ้นอีกมาก”
“เป็นภารกิจง่ายๆ น่ะ รางวัลคืออาหารกระป๋องทหารหนึ่งกระป๋อง” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดด้วยรอยยิ้ม “ภารกิจนี้ฉันคิดว่าคุณก็สามารถรับงานได้นะ”
ขณะที่พูดก็หยิบเนื้อกระป๋องย่างแดงออกมา ซึ่งเธอเตรียมเอาไว้ในกระเป๋าตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว
เมื่อเห็นว่าค่าตอบแทนนั้นวางอยู่ต่อหน้าต่อตา เธอก็รู้สึกโล่งใจแล้วถามอย่างยิ้มแย้ม
“เป็นภารกิจอะไรคะ”
“ฉันอยากรู้จักคนระดับสูงของสมาคมน่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนแสดงสีหน้าว่าคุณคงจะเข้าใจนะ “ฉันเพิ่งจะได้เป็นนักล่ามือใหม่ ยังใหม่มากสำหรับสมาคม เลยอยากจะหาข้อมูลเพิ่มเติมสักหน่อย”
รอยยิ้มของซูเสี่ยวม่านยังคงไม่จางหาย เธอเตือนออกมาอย่างจริงใจ
“ถึงแม้ว่าท่านประธานคริสติน่า จะมีภารกิจลับสุดยอดที่ไม่อาจเปิดเผยต่อสาธารณะได้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ ‘นักล่ามือใหม่’ จะสามารถรับงานไหว ทางที่ดีก็รับภารกิจง่ายๆ ไปก่อน ค่อยๆ สะสมแต้มนักล่าไปเรื่อยๆ ต่อไปก็จะสามารถเป็น ‘นักล่าทางการ’ ได้แน่นอน ลองทบทวนเรื่องนี้อีกครั้งเถอะ”
“ประธานคริสติน่า…” เจี่ยงไป๋เหมียนทวนชื่อ แล้วยิ้มอย่างสุขุมเยือกเย็น “นี่ถ้าคุณไม่บอกมา ฉันเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีภารกิจลับที่ไม่เปิดเผยต่อสาธารณะด้วย เห็นไหมล่ะว่าฉันเป็นมือใหม่ขนาดไหน ฉันก็แค่อยากรู้จักสมาคมมากกว่านี้อีกสักหน่อยน่ะ ประเด็นคือกลัวว่าจะบังเอิญไปกระทบกระทั่งกับคนที่ไม่สมควรมีเรื่องเข้า คุณเองก็ดูเหมือนพอจะรู้เรื่องอยู่บ้าง ทำไมไม่รับภารกิจนี้ไปเลยล่ะ”
ซูเสี่ยวม่านรู้สึกว่าคำอธิบายของเจี่ยงไป๋เหมียนนั้นฟังขึ้น
“นั่นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่เหมือนกัน
“ประธานคริสติน่าเป็นรองประธานที่ย้ายมาจาก ‘ปฐมนคร’ เธอรับผิดชอบเกี่ยวกับการติดต่อสื่อสาร ประสานงาน และให้ความร่วมมือกับทางสำนักงานใหญ่ของสมาคมและสมาคมสาขาอื่นๆ ขณะเดียวกันก็ดูแลเกี่ยวกับภารกิจทุกเรื่องที่ไม่สะดวกเปิดเผยต่อสาธารณะ เธอจะติดต่อกับพวกนักล่าระดับสูงโดยตรง”
ในเมืองหญ้าไพรนั้น เนื้อย่างแดงกระป๋องหนัก 500 กรัมมีมูลค่าอย่างน้อย 10 ออเรย์ บางครั้งก็สูงกว่านั้นอีก สำหรับพนักงานที่มีเงินเดือนไม่ถึง 30 ออเรย์นั้นนับได้ว่าเป็นความเย้ายวนใจเป็นอย่างยิ่ง
“ประธานคริสติน่าอายุเท่าไหร่เหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนถามขึ้นอย่างไม่จริงจัง
“สามสิบกว่า ผมยาวสีบลอนด์ ตาสีฟ้าอ่อน สูงพอๆ กับคุณ เป็นคนร่าเริง” ซูเสี่ยวม่านบรรยายลักษณะของรองประธานคริสติน่าอย่างคร่าวๆ เพื่อให้มือใหม่ที่อยู่ต่อหน้าเธอได้ทราบลักษณะของคนที่ไม่ควรไปทำให้ขุ่นเคืองใจ
“อ้อ…” เจี่ยงไป๋เหมียนถามต่อ “แล้วระดับสูงคนอื่นๆ ล่ะ”
ซูเสี่ยวม่านเสริมรายละเอียด
“ประธานสมาคมก็คือเจ้าเมือง ชื่อว่าสวี่ลี่เหยียน อายุใกล้เคียงกับฉัน เพิ่งจะได้รับเลือกให้เป็นเจ้าเมืองเมื่อไม่กี่ปีนี้เอง…”
เจี่ยงไป๋เหมียนรู้ข้อมูลนี้อยู่แล้ว และรู้ว่าสวี่ลี่เหยียนเป็นหลานชายของเจ้าเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุด…สวี่เอิร์ด พ่อเขา สวี่อู๋กงเองก็เป็นเจ้าเมืองด้วยเช่นกัน แต่เสียชีวิตเนื่องจากอาการป่วยเมื่ออายุราวสี่สิบปี ในขณะนั้นสวี่ลี่เหยียนเพิ่งจะอายุได้ 16-17 ปีเท่านั้น
“ท่านประธานมีหน้าที่รับผิดชอบหลักอยู่สองเรื่อง คือด้านการเงินและการตรวจสอบ แต่ส่วนใหญ่เขาไม่ได้มาที่นี่หรอก เพียงแค่ส่งลูกน้องสองสามคนมาจัดการ” ซูเสี่ยวม่านเล่าต่อ “เรามีรองประธานอยู่สองคน คนหนึ่งชื่อชุยเอิน อีกคนชื่อโจวหลินเฟิง
“งานหลักของประธานชุยคือดูแลพวกเรา กับเรื่องส่วนใหญ่ในโถงนักล่า ประธานโจวรับผิดชอบเรื่องความปลอดภัยและทหารรับจ้างของพวกเราเอง ฮ่า ฮ่า พวกคุณจะเข้าร่วมก็ได้นะ อยากเลิกเมื่อไหร่ก็เลิกได้ตลอดเวลา”
“พวกเขามีลักษณะยังไงกันบ้างเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนถามอย่างสุภาพ
“ประธานชุยอายุยังไม่ถึง 50 ปีดี ตอนแรกก็เป็นพนักงานธรรมดานี่แหละ ต่อมาก็ทำงานเป็นนักล่าอยู่ช่วงหนึ่ง รู้เรื่องราวต่างๆ เป็นอย่างดี ไม่มีผมขาวแม้แต่นิดเดียว เอ่อ…ที่จริงก็มีแหละ แต่ไม่เยอะมาก รูปร่างผอมสูง จมูกใหญ่หน่อย…” ซูเสี่ยวม่านนึกทบทวนลักษณะของคนระดับสูงของสมาคม
“ประธานโจวอายุสี่สิบ ร่างกายกำยำแข็งแรง แขนใหญ่เท่าขาฉันเลยล่ะ ตัดผมจนสั้นมาก ดูท่าทางดุ แต่ที่จริงแล้วค่อนข้างใจดี…”
“แล้วยังมีระดับสูงคนอื่นอีกไหม” เจี่ยงไป๋เหมียนยังไม่พบว่ามีใครที่มีอายุตรงตามวัตถุประสงค์
ซูเสี่ยวม่านครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ
“ยังมีหัวหน้าหวัง
“เขาเป็น ‘ราชันนักล่า’ ของสมาคมเรา”
‘ราชันนักล่า’ เป็นสมญานามกิตติมศักดิ์ของสมาคมนักล่า ซึ่งในแต่ละสาขาของสมาคมนั้นจะมีตำแหน่งนี้เพียงคนเดียวเท่านั้น ซึ่งจะพิจารณาจากคุณสมบัติ ไม่ใช่ความสามารถในปัจจุบัน
“เขาชื่ออะไร” เจี่ยงไป๋เหมียนถาม
“หวังฉงเยว่” ซูเสี่ยวม่านตอบ “อายุห้าสิบกว่าแล้ว เขาเหมือนผู้สูงอายุธรรมดาทั่วไปนั่นแหละ ถ้าหากไม่บอกก็คงไม่มีใครดูออกว่าเขามีตำแหน่งใหญ่โต แต่ว่านะ… เขาเข้าร่วมสมาคมมาตั้งแต่สมัยเริ่มก่อตั้งเลยล่ะ ต่อมาหลังจากรับภารกิจไปไม่รู้มากขนาดไหนก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็น ‘ปรมาจารย์นักล่า’ ในปัจจุบันเขารับผิดชอบแผนกฝึกอบรมของสมาคม รวมถึงการฝึกนักล่ามือใหม่ด้วย ถ้ามีเปิดชั้นอบรมเมื่อไหร่คุณก็ไปลงชื่อเข้าร่วมได้นะ มีค่าอบรมเพียงแค่พอเป็นพิธีเท่านั้น”
“ได้สิ” เจี่ยงไป๋เหมียนพยักหน้าเล็กน้อย
เมื่อเห็นว่าอายุของ ‘ราชันนักล่า’ หวังฉงเยว่นั้นยังไม่เข้าเกณฑ์ เธอก็ถามต่อด้วยรอยยิ้ม
“ยังมีอะไรที่ฉันต้องรู้เพิ่มเติมอีกไหม”
ซูเสี่ยวม่านเล่าต่ออีก ระหว่างนั้นพวกนักล่าก็ทยอยเข้ามาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และต่อแถวเข้าคิวกัน
เมื่อเจี่ยงไป๋เหมียนเห็นเช่นนี้ เธอก็ดันอาหารกระป๋องไปข้างหน้าทางช่องเคาน์เตอร์
“คุณทำภารกิจได้ดีมาก”
ซูเสี่ยวม่านแหงนมองดูกล้องวงจรปิดที่อยู่ออกไปไม่ห่างนัก
“ต้องทำให้เป็นทางการหน่อย
“ฉันจะช่วยสร้างภารกิจให้”
พูดไปเธอก็กดสร้างภารกิจไปด้วย
เจี่ยงไป๋เหมียนครุ่นคิดก่อนจะพูดออกมา
“ชื่อภารกิจคือ ‘ช่วยสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับสมาคม’”
เพื่อไม่ให้เป็นการมุ่งไปที่คนระดับสูงโดยตรง
ซูเสี่ยวม่านผงกศีรษะแล้วรีบส่งภารกิจไปให้ตรวจสอบอนุมัติทันที
หลังจากนั้นเธอก็รีบหยิบตรานักล่าของตนออกมา รูดเบาๆ แล้วกดรับภารกิจ
สุดท้ายก็คลิกที่ ‘ภารกิจเสร็จสิ้น’
“เท่านี้ก็เป็นทางการแล้ว” หลังจากเสร็จสิ้นขั้นตอนเหล่านี้ ซูเสี่ยวม่านก็ยิ้มแล้วรับอาหารกระป๋องไว้ “แบบนี้นอกจากรางวัลตอบแทน ฉันก็ยังได้รับแต้มนักล่าอีกด้วย คุณเองก็ได้รับแต้มนักล่าเพิ่มอีกหน่อย”
ที่สำคัญที่สุดก็คือ นี่ไม่ใช่เพียงแค่ทำการค้าส่วนตัว
“ไม่เลว” เจี่ยงไป๋เหมียนชม แล้วก็ถามต่อ
“คนเมื่อกี้เป็นใครเหรอ
“ฉันเห็นเพื่อนร่วมงานของคุณเคารพเขามาก”
เธอกำลังพูดถึงชายคนที่สวมเสื้อคลุมขนสัตว์สีดำ
ซูเสี่ยวม่านครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดเสียงเบา
“ฉันพูดชื่อออกมาไม่ได้
“บอกได้แค่ว่าตอนที่เขาอายุยังไม่ถึงสามสิบก็ได้เป็น ‘นักล่าชั้นสูง’ แล้ว!”
นี่เป็นตำแหน่งอันดับสอง เป็นรองเพียง ‘ปรมาจารย์นักล่า’ เท่านั้น ซึ่งเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าคนผู้นี้ต้องมีความโดดเด่นในด้านใดสักอย่าง ระหว่างด้านทรัพยากร ด้านสายสัมพันธ์ หรือด้านความแข็งแกร่ง