‘นักล่าชั้นสูง’ งั้นเหรอ… ไม่รู้ว่าเขาโดดเด่นในด้านไหนกันนะ…
เจี่ยงไป๋เหมียนพูดพึมพำกับตัวเอง จากนั้นก็ยิ้มแล้วโบกมือให้
“ขอบคุณ”
เธอรีบหยุดซักถามข้อมูลก่อนที่พวกนักล่าที่ต่อแถวอยู่ด้านหลังจะหงุดหงิดจนทนไม่ไหว
เมื่อกลับมายังที่นั่งซึ่งอยู่ริมห้องโถง เจี่ยงไป๋เหมียนเห็นว่าไม่มีคนอยู่ใกล้ๆ แล้วจึงพูดกับซางเจี้ยนเย่า
“ไม่มีคนไหนที่อายุสอดคล้องกับเงื่อนไขเลย คงต้องไปหาเฉินซวี่เฟิงให้ช่วยรวบรวมข้อมูลคนในครอบครัวของพวกระดับสูงล่ะ”
“ไปถามพวกเขาตรงๆ เลยก็ได้” ซางเจี้ยนเย่าเสนอแผนอื่นขึ้นมาอย่างไม่ลังเล
“ไปหาพวกเขาทีละคน ค่อยๆ ไล่ถามว่าเคยเจอเหลยอวิ๋นซง หลินเฟยเฟย กับคนอื่นหรือเปล่าน่ะเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนเข้าใจได้ในทันทีว่าซางเจี้ยนเย่านั้นหมายถึงอะไร
“ใช่!” ซางเจี้ยนเย่าดูกระตือรือร้นจนออกนอกหน้า
เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะขึ้นมาทันที
“นี่ถ้าเป็นคำแนะนำของคนอื่น ฉันคงต้องคิดแล้วคิดอีกว่าถามไปแล้วอาจจะไม่ได้รับคำตอบตามความเป็นจริงก็ได้ หรือไม่ก็อาจจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น แต่ถ้าเป็นนายก็คงไม่มีปัญหา”
เพราะพวกเขาเหล่านั้นล้วนแต่เป็นพี่น้องลุงน้าพ่อแม่บุญธรรมของซางเจี้ยนเย่ากันทั้งนั้น ในสถานการณ์เช่นนี้จึงตัดปัญหาเรื่องที่ว่าจะถูกโกหกหรือถูกหักหลังไปได้เลย
“งั้นเรารออยู่นี่กันก่อนละกัน ดูว่าจะได้เจอใครบ้าง” เจี่ยงไป๋เหมียนหันไปมองบันไดซึ่งทอดขึ้นไปยังชั้นสอง “แต่อย่าเพิ่งรีบขึ้นไป สมาคมใหญ่ขนาดนี้มีโอกาสสูงมากที่จะมีผู้ตื่นรู้หรือคนที่ดัดแปลงพันธุกรรมอยู่ด้วย ต้องระวังไว้ก่อน”
“ทำให้พวกเขาทั้งหมดกลายเป็นเพื่อนก็ได้” ซางเจี้ยนเย่าเสนอแนะ
“เพื่อให้เขาทุกคนกลายเป็นประจักษ์พยานซึ่งกันและกันเป็นวงรอบไปเรื่อยๆ ไม่รู้จบงั้นนะเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนจำได้ว่าซางเจี้ยนเย่าเคยพูดถึงประเด็นสำคัญบางอย่างของพลัง ‘ตัวตลกชักจูง’
ถ้าหากว่ามีหนึ่งคน ‘กลายเป็น’ สหายของซางเจี้ยนเย่า และคนรอบข้างของคนผู้นั้นก็ช่วยยืนยันในเรื่องนี้ การที่เจ้าตัวจะพบความจริงด้วยตนเองจึงเป็นเรื่องยากมาก ทำให้ไม่อาจขจัดผลของการอนุมานอย่างไม่ถูกต้องนี้ได้
แต่แน่นอนว่าการลงมือนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน เพราะถึงอย่างไรซางเจี้ยนเย่าก็ไม่อาจติดตามใครคนใดคนหนึ่งได้ตลอดเวลาเพื่อคอยจัดการกับทุกคนและทุกเรื่องที่คนผู้นั้นได้พบพาน
ตัวอย่างเช่นหัวหน้าคาราวานการค้า ‘คนไร้ราก’ เฟอร์ลิน ที่ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาเขาทำราวกับซางเจี้ยนเย่านั้นเป็นพี่น้องร่วมเป็นร่วมตาย สายสัมพันธ์ระหว่างพวกเขานั้นตอกย้ำในความเชื่ออันนี้ให้ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น ทำให้คนรอบตัวมีเหตุผลที่จะยอมรับในเรื่องนี้ ทว่าหลังจากที่คนทั้งคู่ต้องแยกจากกันไปช่วงระยะหนึ่ง ต่อให้คนในค่าย ‘คนไร้ราก’ ไม่ได้สงสัยอะไรในเรื่องนี้ รู้สึกเพียงแค่ว่าหัวหน้าคาราวานของตนมีความสัมพันธ์อันดีกับอีกฝ่าย แต่ก็อาจจะบังเอิญพูดอะไรออกมาสักคำที่ทำให้เฟอร์ลินรู้ตัวขึ้นมาและตระหนักได้ถึงความเป็นจริง
นี่คือเหตุผลที่ตอนแรกเจี่ยงไป๋เหมียนไม่อนุญาตให้ซางเจี้ยนเย่าใช้พลัง ‘ตัวตลกชักจูง’
พวกเขาไม่มีแนวคิดที่จะฆ่าคนปิดปาก ดังนั้นไม่ช้าก็เร็วที่คนที่ได้รับผลกระทบพวกนั้นจะรู้ตัว ยิ่งมีคนรู้เรื่องพวกนี้มากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งยากที่ซางเจี้ยนเย่าจะเก็บเรื่องพลังพิเศษไว้เป็นความลับมากขึ้นเท่านั้น
ที่นี่ไม่ใช่ภายในบริษัทซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมแบบปิด คนที่จะติดต่อพบปะในแต่ละวันนั้นค่อนข้างตายตัว ทำให้ยากจะเกิดเหตุแทรกซ้อนขึ้นได้
ดังนั้นสาเหตุที่ซางเจี้ยนเย่าสามารถทำให้สมาชิกนิกาย ‘พิธีกรรมชีวิต’ ในชั้น 495 เชื่อว่าเขาเป็นสมาชิกใหม่ที่มาเข้าร่วมตามช่องทางอย่างเป็นทางการก็เพราะว่าคนที่เกี่ยวข้องล้วนแต่ถูกเขา ‘ชักจูง’ ทั้งหมด ทำให้เกิดประจักษ์พยานแบบเป็นวงรอบ
ส่วนคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องต่างก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นและไม่ได้สนใจในรายละเอียดอีกด้วย ที่สำคัญคือบรรดาสาวกนิกายจะไม่นำเรื่องของนิกายไปคุยกับพวกเพื่อนๆ และเพื่อนร่วมงานของตนอย่างแน่นอน
ดังนั้นการปกปิดของนิกายจึงช่วยให้ซางเจี้ยนเย่าสามารถปกปิดร่องรอยได้อย่างสมบูรณ์แบบ
แน่นอนว่าด้วยสภาพการสื่อสารของแดนธุลีในปัจจุบันนี้ ตราบใดที่ซางเจี้ยนเย่ายังไม่ได้ก่อเรื่องใหญ่ขึ้น ต่อให้เขาจะพลาดทำเรื่องพลังพิเศษรั่วไหลออกมาในสถานที่แห่งหนึ่ง แต่เขาก็ยังคงเป็นปกติสุขในสถานที่แห่งอื่นได้
เมื่อเจอกับคำถามของเจี่ยงไป๋เหมียน ซางเจี้ยนเย่าก็พยักหน้าเล็กน้อย
“นี่เป็นเรื่องที่ท้าทาย”
“ถ้าเป็นแบบนั้น สงสัยพวกเขาคงจะเลือกนายเป็นประธานสมาคมคนต่อไปแล้วล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนล้อเล่นแล้วจากนั้นก็พูดต่ออย่างจริงจัง “นายไม่รู้ว่าผู้ตื่นรู้คนอื่นที่นี่เขามีพลังพิเศษอะไรกันบ้าง อย่าเสี่ยงให้มากนักจะดีกว่า เขาอาจจะมีอะไรที่ยับยั้งนายได้ก็ได้ อย่างเช่นคนหูหนวก หรือคนที่ชักจูงดีๆ ไม่ได้ คอยคิดแต่ว่าจะโต้แย้งนายได้ยังไง”
“ถ้าเป็นคนหูหนวกก็เขียนตัวหนังสือเพื่อชักจูงได้เหมือนกัน” ซางเจี้ยนเย่าพูดอย่างจริงจัง
แต่ทว่าปัญหาในข้อหลังเกี่ยวกับคนที่ชอบแย้ง ดูเหมือนว่าเขายังไม่รู้ว่าจะแก้ไขยังไงดี
“แบบนั้นก็ได้ด้วยเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนขบคิดใคร่ครวญ “ถ้าจะอธิบายให้ตรงประเด็นมากขึ้นก็คือองค์ประกอบหลักไม่ใช่บทสนทนา แต่เป็นการสื่อสารสินะ”
พูดแล้วเธอก็ถอนหายใจ
“น่าเสียดาย…”
“น่าเสียดายที่ผมใช้ภาษามือไม่เป็นเหรอ” ซางเจี้ยนเย่าถามด้วยน้ำเสียงคาดเดา
“เปล่า” เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิใจ “ในที่สุดก็ถึงตานายแล้วที่ต้องคิดตามความคิดฉันบ้าง ที่จริงแล้วเรื่องที่ฉันเสียดายก็คือข้อจำกัดของระยะทาง ไม่อย่างนั้นนายจะได้ใช้โทรศัพท์ โทรเลข หรือการสื่อสารทางไกล เพื่อทำให้คนเข้าใจผิดได้ ที่โลกเก่าเขาเรียกว่าอะไรซักอย่าง… เหมือนว่าจะเป็น… โทรศัพท์หลอกลวง หรือไวรัสอินเทอร์เน็ตอะไรล่ะมั้ง”
เพิ่งจะพูดขาดคำ ในห้องโถงของสมาคมนักล่าก็พลันมีเสียงอึกทึกดังขึ้น
เจี่ยงไป๋เหมียนหันหน้าไปดู แล้วมองตามสายตาของนักล่าซากอารยะไปยังจอภาพขนาดใหญ่ที่แขวนไว้กลางอากาศ
รายการภารกิจที่เลื่อนอย่างช้าๆ นั้นได้หยุดลง และมีรายชื่อภารกิจหนึ่งค้างเอาไว้
‘ภารกิจฉุกเฉิน
‘ค้นหาเบาะแสการลอบยิงหลิวต้าจ้วง
‘คำอธิบาย : วันที่ 23 เดือน 11 เวลา 7.56 น. หลิวต้าจ้วงถูกยิงที่ถนนใต้และเสียชีวิตทันที สถานที่เกิดเหตุอยู่ห่างจากตรอกแพรแดงไปสามเมตร…
‘ค่าตอบแทน : เมื่อเบาะแสผ่านการตรวจสอบและได้รับการยืนยันความถูกต้องแล้ว ค่าตอบแทนขั้นต่ำคือ 10 ออเรย์ สูงสุดคือ 500 ออเรย์
‘ระดับภารกิจ : ระดับ C แต้มนักล่า 100
‘เงื่อนไขการรับภารกิจ : ไม่จำกัด
‘ออกภารกิจโดย : กองบัญชาการกองกำลังป้องกันเมืองหญ้าไพร’
เนื่องจากเป็นภารกิจจากหน่วยงานของทางการ จึงไม่จำเป็นต้องให้สมาคมรับประกัน
เนื่องจากภายในเมืองหญ้าไพรนั้นมีคนเข้าออกจำนวนมาก ผู้ที่พกพาอาวุธก็มีมากมาย ดังนั้นกองกำลังป้องกันเมืองจึงมีหน้าที่รับผิดชอบด้านความปลอดภัยสาธารณะ
เงินจำนวน 500 ออเรย์นั้นมากพอที่จะทำให้ครอบครัวธรรมดาสามารถใช้ชีวิตอย่างสุขสบายภายในเมืองหญ้าไพรได้ถึงหนึ่งปี แม้แต่รางวัลขั้นต่ำสุด 10 ออเรย์ก็สามารถช่วยต่อลมหายใจให้กับนักล่าจำนวนไม่น้อยที่กำลังอยู่ในสภาพอันย่ำแย่ได้ และถ้าพูดถึงว่าสำหรับคนเพียงแค่คนเดียวแล้ว เงินจำนวนนี้สามารถใช้เป็นค่าอาหารกับที่พักค่าเช่าถูกได้ถึงครึ่งเดือนเลยทีเดียว
ถึงแม้ว่านักล่าซากอารยะนั้นจะไม่ได้ต้องการเงินออเรย์เท่าไหร่ เพราะสิ่งที่ต้องการจริงๆ ก็คือวัตถุปัจจัย แต่อย่างน้อยในเขตอิทธิพลของ ‘ปฐมนคร’ เงินออเรย์ก็ยังเป็นที่ยอมรับ ถึงแม้จะมีความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนอยู่บ้าง แต่ก็ยังอยู่ในขอบเขตที่ยอมรับได้
“นี่คือการยิงเมื่อก่อนหน้านี้สินะ” เจี่ยงไป๋เหมียนละสายตากลับมา
ไป๋เฉินมาถึงสมาคมนักล่าแล้วเช่นกัน เธอกำลังมองดูหน้าจอขนาดยักษ์จากทางเข้าออก แล้วพูดพึมพำ
“หลิวต้าจ้วง…”
“รู้จักเขาด้วยเหรอ” หลงเยว่หงจับสังเกตได้จึงถามขึ้นมา
ไป๋เฉินพยักหน้า
“เมื่อกี้ไม่ทันได้เห็นเหตุการณ์ ไม่คิดเลยว่าจะเป็นเขาไปได้
“เขาเป็นพ่อค้าข่าวที่ค่อนข้างมีชื่อในตลาดมืดของเมืองหญ้าไพร”
“พ่อค้าข่าวเหรอ มิน่าล่ะ…” จากความรู้อันจำกัดของหลงเยว่หง นี่เป็นอาชีพที่ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย
แล้วในตอนนี้สายตาของเจี่ยงไป๋เหมียนก็มองกวาดไปเห็นว่ามีสองสามคนเดินเข้ามาจากประตูด้านข้าง
คนที่เดินนำมานั้นเตี้ยกว่าเจี่ยงไป๋เหมียนเพียงเล็กน้อย สวมเสื้อคลุมยาวตัวหนาสีน้ำตาลอ่อน
ผมสีบลอนด์ของเธอยาวประบ่า ดวงตาเป็นสีฟ้าอ่อน รูขุมขนบนใบหน้านั้นค่อนข้างกว้าง ทำให้ผิวหน้าดูกร้านไปบ้าง เป็นหญิงสาวในวัยสามสิบปีที่หน้าตาธรรมดาทว่ามีเสน่ห์
เห็นเพียงแว่บเดียวเจี่ยงไป๋เหมียนก็เชื่อมโยงได้ว่านี่คือรองประธานสมาคมนักล่าท้องถิ่น คริสติน่า
เมื่อเห็นว่ามีพนักงานสมาคมหลายคนทำความเคารพผู้หญิงคนนั้น ก็ยิ่งตอกย้ำความมั่นใจให้เจี่ยงไป๋เหมียนมากขึ้น
เธอรีบหันหน้ามาพูดกับซางเจี้ยนเย่าทันที
“มาแล้ว”
เมื่อซางเจี้ยนเย่าได้รับการยืนยันเป้าหมาย ก็รีบสาวเท้าก้าวไปข้างหน้า
ชายฉกรรจ์สวมเสื้อสีดำที่อยู่ด้านข้างของคริสติน่าหนึ่งในสามคน รีบเดินขึ้นมาข้างหน้าขวางซางเจี้ยนเย่าไว้
ในระหว่างนั้นเขาก็เอื้อมมือไปที่เอวของตัวเองด้วย
“ประธานคริสติน่า” ซางเจี้ยนเย่าตะโกนด้วยภาษาแม่น้ำแดงซึ่งพูดได้ไม่ชำนาญมากนัก
เนื่องจากรูปร่างหน้าตาที่โดดเด่นของเขา กอปรกับไม่ได้มีท่าทีคุกคาม คริสติน่าจึงยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
“ใช้ภาษาแดนธุลีพูดก็ได้
“มีอะไรเหรอ”
สำเนียงของเธอนั้นรื่นหูมาก
“ประธานคริสติน่าครับ” ซางเจี้ยนเย่าพูดอย่างจริงใจ “ผมเป็นนักล่าใหม่ที่เพิ่งเข้าร่วมสมาคม คุณเองก็เป็นสมาชิกของสมาคมด้วย ผมเป็นคนนอก คุณเองก็เป็นคนนอก ดังนั้น…”
คำพูดพวกนี้ฟังดูวุ่นวายไร้เหตุผล ทำให้ซางเจี้ยนเย่าเหมือนเป็นนักล่าเข้าใหม่ที่ต้องการเกาะแข้งเกาะขาคนระดับสูง
คริสติน่าพูดด้วยสีหน้าดังเดิม
“ดังนั้น… ก็ต้องช่วยเหลือกัน”
แล้วเธอก็ยิ้มให้
“ฉันต้องไปประชุมก่อนนะ เอาไว้ตอนสามทุ่มครึ่ง คุณมาพบฉันได้ที่ห้องทำงาน ห้อง 308 อยู่ชั้นสาม”
พูดจบเธอก็เดินไปที่บันได
แต่ในขณะที่กำลังจะเดินผ่านซางเจี้ยนเย่าไปนั้นเอง จู่ๆ เธอก็เอื้อมมือออกมาแอบตบก้นของซางเจี้ยนเย่า
เจี่ยงไป๋เหมียนที่กำลังสังเกตสถานการณ์ของทางนั้นอยู่ตลอดเวลา พอเห็นแบบนี้เข้าก็ถึงกับตกตะลึง
ยังดีที่เธอค่อนข้างมีจิตใจเข้มแข็ง จึงไม่ได้แสดงอาการผิดปกติออกมา
เมื่อคริสติน่าและผู้คุ้มกันหายลับไปจากครรลองสายตาแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็เดินเข้าไปหาซางเจี้ยนเย่า แล้วพูดโดยพยายามกลั้นยิ้มเต็มที่
“คิดไงบ้าง”
“ประมาทเกินไป” ซางเจี้ยนเย่าตอบตามความสัตย์
“หือ” เจี่ยงไป๋เหมียนพอจะคาดเดาได้อย่างเลือนลางว่าซางเจี้ยนเย่าหมายถึงอะไร
“ตอนนั้นผมควรจะรีบเรียกเธอว่าแม่” ซางเจี้ยนเย่านึกทบทวน
เจี่ยงไป๋เหมียนก้มหน้าลงไปหัวเราะสองครั้ง หลังจากปรับอารมณ์ได้แล้วก็พูดต่อ
“ไม่ใช่ความผิดนายซักหน่อย ตอนนั้นแม่นั่นไม่ได้มีท่าทีอะไรผิดปกตินี่นา ที่ไหนได้ กลายเป็นพวกประสบการณ์จัดจ้านซะงั้น”
หลังจากที่ปลอบโยนสมาชิกทีมแล้ว เธอก็ถามหยอกล้อ
“แล้วอีกเดี๋ยวนายจะไปไหมล่ะ”
ซางเจี้ยนเย่าจมอยู่ในห้วงความคิด ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
เจี่ยงไป๋เหมียนสลายรอยยิ้มแล้วพูดอย่างเคร่งขรึมจริงจัง
“ความเห็นของฉันคืออย่าไป
“เราจะไม่ทำภารกิจที่ต้องให้สมาชิกในทีมเสียสละ
“ยังมีวิธีอื่นให้เลือกอีกหลายวิธี เป้าหมายก็ยังมีอีกหลายคน”
“ผมทำให้เธอไร้เหตุผลได้” ซางเจี้ยนเย่าค่อยๆ พูดอย่างช้าๆ
“นี่ก็เป็นอีกวิธีหนึ่ง…” เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะเล็กน้อย “แต่ยังต้องใคร่ครวญให้ดี ต้องระวังให้มาก”
ในระหว่างที่พวกเขากำลังพูดคุยกันนั้น ข้อความบนหน้าจอแสดงผลขนาดยักษ์ที่แขวนอยู่ด้านบนห้องโถงก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง
‘ภารกิจฉุกเฉิน (อัปเดตสถานะ)
‘ค้นหาเบาะแสการลอบยิงหลิวต้าจ้วง
‘คำอธิบายเพิ่มเติม : ภายในอาคารที่เกิดเหตุ มีผู้พบเห็นมือปืน…’
ส่วนที่เหลือเป็นภาพวาดจากคำบอกเล่าของพยาน
เป็นภาพผู้ชายที่ไม่เตี้ย สวมหมวกแก๊ปยอดแหลม คิ้วให้ความรู้สึกแหลมคม ดวงตาราวกับเปิดไม่เต็มที่
เพียงแค่เจี่ยงไป๋เหมียนมองเห็นในแว่บแรก เธอก็ชะงัก ทั้งร่างแข็งทื่อในทันที
ถึงแม้ว่าภาพวาดนั้นจะไม่ได้คล้ายคลึงมากนัก แต่จากลักษณะหลักก็ยังทำให้เจี่ยงไป๋เหมียนนึกไปถึงบุคคลผู้หนึ่ง
เหลยอวิ๋นซง!
หัวหน้า ‘ทีมสำรวจเก่า’ ที่หายตัวไป เหลยอวิ๋นซง!