รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 149 มาตรการรับมือ

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 149 มาตรการรับมือ

เจ้าหน้าที่กองกำลังป้องกันเมืองที่เข้ามาในตรอก พวกเขาเดินสอบถามคนเดินถนนสองสามคนที่กำลังเดินทางกลับบ้าน สอบถามเถ้าแก่ร้านค้าที่ยังเปิดร้านอยู่ แล้วก็จากไป เห็นได้ชัดว่าไม่ได้รับเบาะแสอะไรเลย

เสียงโหวกเหวกที่ประตูเมืองยังคงดังลั่นอยู่ ไม่ได้สงบลงไป

ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

มีคนมาเคาะประตูห้องของเจี่ยงไป๋เหมียนและซางเจี้ยนเย่า

“นั่นใคร” เจี่ยงไป๋เหมียนหันกลับมาถามโดยไม่มีทีท่าตื่นตระหนกแม้แต่น้อย

“ผมเอง” เสียงหลงเยว่หงดังมาจากด้านหลังบานประตู

ซางเจี้ยนเย่าจึงเดินไปเปิดประตู

ทั้งเขาและเจี่ยงไป๋เหมียนนั้นสามารถรับรู้ได้ว่านอกห้องนั้นมีคนอยู่สองคน ทว่าไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นใคร จึงต้องถามออกมา

นี่เป็นเพราะว่าพวกเขากำลังจดจ่ออยู่กับสถานการณ์บนท้องถนน ทำให้ไม่ทันได้ตรวจสอบคนที่เดินมาเคาะประตูหน้าห้อง

เมื่อหลงเยว่หงเข้ามาในห้องแล้วก็ถามอย่างกังวล

“พวกเขาจะเข้ามาตรวจสอบในห้องหรือเปล่า”

เขายังคงระมัดระวังตัวอยู่ รอจนไป๋เฉินเข้ามาในห้องและปิดประตูเรียบร้อยแล้ว จึงค่อยถามออกมาโดยควบคุมความดังเสียงไว้

“ถ้าหากว่าพวกชาวเมืองหญ้าไพรสามารถชี้ตัวได้ว่าเป็นฝีมือพวกเรา งั้นคนพวกนั้นก็เป็นผีสางแล้วล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบอย่างมั่นใจ

นี่ทำให้จิตใจของหลงเยว่หงสงบลงไปมาก

เจี่ยงไป๋เหมียนมองดูไป๋เฉินที่แม้ดวงตาจะยังบวมแดงอยู่บ้าง แต่สภาพโดยรวมนั้นนับว่าดีอยู่ เธอพูดเสริมด้วยรอยยิ้ม

“แต่ถึงโดนจับได้ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรสักหน่อย

“พวกเราเตรียมแผนถอยกันไว้แล้วไม่ใช่หรือไง ก็เพียงแค่เพิ่มน้าหนานกับคนอื่นๆ ไปด้วย ให้เขาไปเปิดร้านที่อื่นกันใหม่”

แผนของพวกเขาก็คือ…

รีบไปที่ลานนอกบ้านก่อนศัตรูจะบุกเข้ามา จากนั้นก็ขับรถตรงไปจนสุดถนนตะวันออก

ที่นั่นมีประตูเมืองที่ตามปกติแล้วจะปิดเอาไว้ตลอดเวลา มีกองกำลังป้องกันเมืองประจำการอยู่ที่นั่นเพียงไม่กี่คน

เมื่อไปถึงก็ใช้บาซูก้า ‘มัจจุราช’ ยิงถล่มประตูเมือง จากนั้นก็ขับหนีไปทางช่องทางนั้น

สำหรับแดนธุลีแล้ว เหตุการณ์แบบนี้ใช่ว่าจะไม่เคยเกิดขึ้น นักล่าซากอารยะต่างก็มีกฎว่า ‘ใครกำปั้นใหญ่ คนนั้นคือกฎ’ หากถูกบีบบังคับให้จนตรอกเมื่อไหร่ก็สามารถทำได้ทุกเรื่อง อย่างมากก็แค่ไม่กลับมาเมืองหญ้าไพรอีก และคอยระวังภารกิจที่ตามล่าพวกเขาแค่นั้นเอง

ถ้าใครแข็งแกร่งพอ งั้นก็สร้างภารกิจให้พวกนักล่ามาช่วยจับกุมสิ

สำหรับทีมของเจี่ยงไป๋เหมียนที่เป็นคนนอก ไม่มีทั้งญาติพี่น้อง ทั้งพวกพ้องและสหายในพื้นที่ อีกทั้งมาจากที่อื่น แถมยังมีกองกำลังใหญ่หนุนหลังอีกด้วย พวกเขาจึงยิ่งกำเริบเสิบสานมากขึ้นไปอีก

กฎหมายเมืองหญ้าไพรทำอะไรกับพวกเราได้หรือไง

แต่แน่นอนว่าทั้งหมดที่พูดมาก่อนหน้านี้ หมายถึงว่าตนเองต้องมีพละกำลังที่แข็งแกร่งพอเสียก่อน ไม่เช่นนั้นก็คงถูกสังหารทิ้งตั้งแต่ก่อนที่จะเริ่มก่อกวนสร้างปัญหาขึ้นมาเสียอีก

เมื่อคิดถึงแผนถอนตัว หลงเยว่หงก็โล่งใจมากขึ้น

ทว่าเจี่ยงไป๋เหมียนก็พลันเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที

“แต่ว่ามีปัญหากับเสี่ยวไป๋นี่สิ

“พอยูจีนได้เจอเธออีกครั้ง หลังจากนั้นผ่านไปยังไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงดีเขาก็ถูกโจมตีซะแล้ว จุดนี้ย่อมทำให้มีคนสงสัยแน่ เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ละนะ”

คนคุ้มกันที่อยู่กับยูจีนในตลาดมืดแล้วได้เจอกับไป๋เฉินนั้นไม่ใช่คนคุ้มกันที่ถูกยิงเสียชีวิตซึ่งก่อนหน้านั้นเต้นอยู่ที่พื้นที่เต้นรำ

เมื่อได้ยินเช่นนี้ซางเจี้ยนเย่าก็ยกกำปั้นขวาทุบลงที่ฝ่ามือซ้ายของตัวเองทันทีด้วยสีหน้าที่ขัดใจ

“คิดอะไรของนายละนั่น” เจี่ยงไป๋เหมียนถามออกมา

“หลังจากที่ควบคุมตัวยูจีนไว้แล้ว ผมน่าจะวนรถกลับมาฆ่าคนคุ้มกันพวกนั้นให้หมด” ซางเจี้ยนเย่าพูดด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกว่าตัวเองคิดน้อยเกินไป

ขอเพียงฆ่าพวกนั้นให้ตายหมด ก็จะไม่หลงเหลือพยานอีก จะไม่มีใครเชื่อมโยงไป๋เฉินกับเรื่องที่เกิดขึ้น

เจี่ยงไป๋เหมียนถึงกับพูดไม่ออกไปครู่ใหญ่

จากนั้นไม่กี่วินาทีเธอก็ยกมือถูหน้าผากถอนใจ

“แบบนั้นจะมีเรื่องมากเกินไปน่ะสิ ยิ่งลากถ่วงนานเท่าไหร่ก็ยากจะถอนตัวหลบออกไปโดยมีคนเห็นน้อยลงได้ยากเท่านั้น

“นอกจากนี้ความแข็งแกร่งของคนคุ้มกันพวกนั้นใช่ว่าจะรับมือได้ง่ายเสียเมื่อไหร่ ต่อให้นายเป็นผู้ตื่นรู้ก็เถอะ นอกจากจะฆ่าไม่หมดแล้ว อาจจะต้องเอาชีวิตไปทิ้งด้วยซ้ำ

“และถ้ามีปลาหลุดรอดไปได้ แม้จะแค่ตัวสองตัว เท่านั้นก็เพียงพอให้รูปร่างลักษณะนายถูกเปิดเผยได้แล้ว”

ในยามนี้เสียงเคลื่อนไหวเอะอะที่หน้าประตูเมืองก็ค่อยๆ เงียบสงบลงแล้ว

เจี่ยงไป๋เหมียนหันไปถามไป๋เฉิน

“ยูจีนมีศัตรูมากไหม”

“อืม… คนที่ขัดแย้งจนมีแรงจูงใจให้ฆ่าเขามีเพียบเลยล่ะ” ไป๋เฉินตอบเสียงเรียบ “ต่อให้นับแค่ในเมืองหญ้าไพรก็เถอะ ทั้งรายคนทั้งกองกำลังก็นับว่ามีไม่น้อย”

เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะเบาๆ

“งั้นก็ดีเลย”

แล้วเธอก็ถามต่อ

“ในทีมล่าทาสของยูจีนมีกันกี่คน พลังยิงเป็นไงบ้าง”

เมื่อได้ยินคำถามนี้ ดวงตาซางเจี้ยนเย่าก็เป็นประกายขึ้นมาทันที

ไป๋เฉินคิดทบทวนอยู่ครู่หนึ่ง

“ทีมล่าทาสของ ‘ปฐมนคร’ นั้นแบ่งเป็นสองประเภท ประเภทแรกนั้นเกี่ยวพันกับกองทัพ นับได้ว่าเป็นองค์กรกึ่งทางการ ส่วนประเภทหลังนั้นเป็นแบบเอกชน พอได้รับใบอนุญาตมาแล้วก็รวมทีมของตัวเองขึ้นมา ทีมล่าทาสของยูจีนเป็นประเภทหลัง

“แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังมีคนถึง 50-60 มียานพาหนะจำนวนมาก มีปืนกลและปืนใหญ่ สามารถยิงทำลายนิคมคนเร่ร่อนทั่วๆ ไปได้สบาย…”

ไป๋เฉินเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดเสริม

“ยูจีนเป็นคนสนิทของอาวุโสของวุฒิสภาเมือง ‘ปฐมนคร’ ทีมเขาน่าจะควบคุมด้านอาวุธ”

“มิน่าล่ะ…” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดอย่างโล่งใจ “มิน่าล่ะ ทีมของยูจีนถึงได้กล้าลงมือกับเมืองหญ้าไพร”

แน่นอนว่านี่เป็นเพียงแค่การคาดเดาของตัวเธอเองเท่านั้น ซึ่งก็ไม่แน่ว่าจะถูกต้อง เพราะถึงอย่างไรเธอก็ไม่ได้เห็นสถานการณ์ที่ประตูเมืองด้วยตาของตัวเอง

หลังจากเจี่ยงไป๋เหมียนค่อยๆ ผ่อนลมหายใจ เธอก็ขมวดคิ้ว

“ตอนนี้ฉันกำลังลังเลอยู่ว่าอีกสักสองวันข้างหน้าเนี่ย ควรจะให้เสี่ยวไป๋ไปเดินตามถนนดีหรือเปล่า

“ถ้าให้เธอไป แน่นอนว่าต้องถูกขอให้สอบปากคำแน่ ถึงแม้ว่าระดับความน่าสงสัยจะค่อนข้างต่ำและเจ้าตัวก็ไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุด้วย แต่ก็ต้องทำตามขั้นตอน และนอกจากนั้น ที่นี่ไม่ได้เป็นแผนกภายในของบริษัท ดังนั้นพวกเจ้าหน้าที่สืบสวนพวกนั้นจะต้องซักถามทุกเรื่องโดยไม่สนวิธีการ ไม่แน่ว่าอาจจะให้เสี่ยวไป๋พาพวกเขามาแถวๆ ตึกนี้ ถ้าเป็นแบบนั้นก็อาจจะเป็นปัญหา หากไม่ระวังให้ดีก็จะถูกเปิดโปงได้

“แต่ถ้าไม่ทำอย่างนั้น การหายตัวไปเฉยๆ ก็ยิ่งจะทำให้น่าสงสัยมากขึ้นไปอีก”

ไป๋เฉินนิ่งเพื่อใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดออกมาตรงๆ

“ตอนนี้ฉันเองก็เลือกไม่ถูกเหมือนกัน”

“ไม่เป็นไร ให้ฉันไปค่อยๆ คิดดูก่อน แล้วพรุ่งนี้จะให้คำตอบกับเธอ” เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้มปลอบใจอีกฝ่ายแล้วมองทุกคนรอบๆ “แต่ถ้าคิดไม่ออกก็จะมาปรึกษากับทุกคนอีกที”

เมื่อพูดขาดคำ ไฟในห้องก็ดับพรึบลงทันที

ไฟถนนไม่กี่ดวงที่อยู่ในตรอกก็พลันถูกกลืนกินโดยความมืด

นี่ถึงเวลาดับไฟประจำวันแล้ว

เมื่อเห็นว่าการเคลื่อนไหวด้านนอกสงบลงไปแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็ให้หลงเยว่หงกับไป๋เฉินกลับไปที่ห้องตัวเองเพื่อพักผ่อนนอนหลับ เลิกกังวลเรื่องนี้ ไม่ต้องคิดอะไรอีก

เมื่อภายในห้องอันมืดมิดเหลือเพียงแค่เธอกับซางเจี้ยนเย่าเพียงสองคน เขาก็พูดออกมาทันที

“ผมมีวิธี”

“วิธีอะไร” เจี่ยงไป๋เหมียนเตรียมระวังตัวไว้ก่อน

ซางเจี้ยนเย่าพูดต่ออย่างสงบ

“ถือโอกาสในตอนกลางดึก แอบออกนอกเมืองไปถล่มค่ายของทีมจับทาสของยูจีนซะ

“พอพวกมันถูกกวาดล้างจนเกลี้ยง ทุกอย่างก็จบเรียบร้อย”

ในเมื่อไม่มีคนร้องทุกข์แล้ว ทางเมืองหญ้าไพรก็จะสืบสวนแค่พอเป็นพิธีเท่านั้น

“เป็นวิธีที่ดี” เจี่ยงไป๋เหมียนตบมือแปะแปะ เรียนรู้มาจากซางเจี้ยนเย่าได้อย่างสมบูรณ์แบบ

จากนั้นเธอก็พูดต่อ

“ตอนนี้มีเพียงแค่คำถามเดียวเท่านั้น พวกเราสองคนจะไปถล่มค่ายที่มีกองกำลังติดอาวุธอยู่ได้ยังไง”

ราวกับว่าซางเจี้ยนเย่าคิดคำนวณแผนนี้ไว้เรียบร้อยแล้ว เขาจึงเปิดปากเล่าต่อ

“อันดับแรก ผมจะแกล้งทำเป็นว่ามีเบาะแสแล้วเข้าไปคุยกับยามที่เฝ้าทางเข้าค่าย จากนั้นก็ทำให้เขาเป็นเพื่อน

“ต่อไปก็ให้เขาพาผมไปหาคนที่ดูแลค่ายตอนนี้ แล้วฉวยโอกาสทำให้คนดูแลค่ายกลายเป็นเพื่อน

“จากนั้นก็ค่อยๆ หาเบาะแสไปเรื่อยๆ เพื่อเตรียมตัวลงมือ โดยผมจะให้บรรดาคนที่รับผิดชอบทั้งหมดมารวมตัวกันที่จุดเก็บกระสุน

“ขั้นตอนสุดท้ายก็แค่โยนลูกระเบิดใส่ จัดการเรื่องต่างๆ ให้สิ้นซาก

“ถ้าหากหัวหน้าคิดว่าเรื่องนี้เกินกำลังของพวกเราสองคนและอันตรายเกินไปที่จะต้องรับมือแบบหนึ่งต่อสามสิบ งั้นก็เรียกไป๋เฉินกับหลงเยว่หงมาร่วมด้วย การต่อสู้แบบหนึ่งต่อสิบห้าก็ถือว่าอยู่ในขอบเขตที่สมเหตุสมผล”

“สมเหตุสมผลบ้านนายนะสิ!” เจี่ยงไป๋เหมียนด่าด้วยความโมโหปนขบขัน นายคิดว่าตัวเองเป็นปรมาจารย์จิ้งฝ่าที่เป็นเหล็กเป็นโลหะทั้งเนื้อทั้งตัว ไม่กลัวลูกกระสุนหรือไง”

หลังจากดุด่าไปรอบหนึ่ง เจี่ยงไป๋เหมียนก็พูดต่อ

“จะว่าไป แผนนี้มันก็มีโอกาสเป็นไปได้จริงๆ นั่นแหละ ถึงแม้จะฟังดูบ้าบิ่นไปหน่อย แต่ก็มีโอกาสสำเร็จ

“ปัญหาเดียวก็คือ เวลาไม่เหมาะที่จะลงมือ”

เธอพูดอย่างเคร่งขรึม

“หากว่าทีมล่าทาสของยูจีนเข้ามาในเมืองไม่สำเร็จ และคนที่รับผิดชอบนั้นมีประสบการณ์พอสมควร ภายใต้สถานการณ์ที่มีศัตรูอยู่มากมาย กองกำลังคู่อริก็มีไม่น้อย ดังนั้นคืนนี้เขาจะต้องสั่งให้ลูกน้องทุกคนถืออาวุธติดตัวไว้ตลอด ใครก็ตามที่เข้ามาใกล้ ให้ยิงทิ้งได้ทันที

“ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ออกคำสั่งแบบนั้นก็เถอะ แต่ตอนนี้จะต้องวางกำลังไว้อย่างแน่นหนา สามก้าวมียาม ห้าก้าวมีป้อม กว่าจะเข้าไปถึงตัวคนรับผิดชอบได้ก็จะต้องฝ่าสมาชิกทีมล่าทาสจำนวนมากให้ได้เสียก่อน

“นายมั่นใจแค่ไหนว่าตลอดทางพวกเขาจะไม่พูดจาทักทายเพื่อนใหม่ของนายสักคำสองคำ จนทำให้ผลของ ‘ตัวตลกชักจูง’ กลายเป็นล้มเหลวไป”

เมื่อเห็นว่าซางเจี้ยนเย่ามีความผิดหวังเจืออยู่เล็กน้อย เจี่ยงไป๋เหมียนจึงคลี่ยิ้มออกมา

“ไปหลับให้สบายเถอะ ฉันคิดวิธีได้แล้ว”

“อะไรเหรอ” ซางเจี้ยนเย่าถามทันที

เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะ

“ไว้พรุ่งนี้เช้าค่อยบอก ขืนบอกตอนนี้เดี๋ยวนายก็นอนไม่หลับกันพอดี”

* * * * *

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เวลาหกโมงเช้าท้องฟ้ายังมืดอยู่

ซางเจี้ยนเย่าลุกขึ้นมานั่งก่อนแล้ว เขากำลังรอให้เจี่ยงไป๋เหมียนตื่น และเล่าให้ตนฟังว่าวิธีที่ว่านั่นคืออะไร

หลังจากนั้นครู่หนึ่งเจี่ยงไป๋เหมียนก็ปีนลงมาจากเตียงบนแล้วพูดกับเขาอย่างตื่นเต้น

“ฉันคิดวิธีออกแล้ว!”

ซางเจี้ยนเย่ามองไปที่เธอพร้อมกับขมวดคิ้ว

“ไม่ใช่ว่าหัวหน้าคิดวิธีออกตั้งแต่เมื่อคืนแล้วเหรอ”

เจี่ยงไป๋เหมียนนิ่งอึ้งไปชั่วขณะก่อนจะนึกได้ว่าเมื่อคืนนี้เธอพูดอะไรกับซางเจี้ยนเย่าก่อนจะเข้านอน

เธอจึงหัวเราะแห้งๆ ออกมาสองครั้ง

“ในฐานะหัวหน้าทีม การรักษาขวัญกำลังใจของทีมนั้นต้องมาก่อนเรื่องอื่นเสมอ

“อีกอย่างนะ ไม่ใช่ว่าฉันคิดวิธีได้แล้วหรือไง

“ทุกปัญหาย่อมมีทางแก้อยู่แล้ว!”

จากนั้นเธอก็ทำท่าว่า ‘รีบถามฉันสิ ว่าคิดวิธีไหนออกมาได้’

ซางเจี้ยนเย่าครุ่นคิดเงียบๆ สองสามวินาทีก่อนจะอ้าปากถาม

“คุณไม่ได้นอนมาทั้งคืนเลยใช่ไหม”

“…ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอกน่า” สีหน้าของเจี่ยงไป๋เหมียนทรุดฮวบทันที แทบจะไม่อาจรักษาภาพลักษณ์ของความเป็นจ้าวกลยุทธ์ของตนไว้ได้

ซางเจี้ยนเย่าค่อยกลับมาที่หัวข้อเดิม

“แล้วมีวิธีอะไรเหรอ”

รอยยิ้มของเจี่ยงไป๋เหมียนค่อยๆ กว้างขึ้น

“ให้เสี่ยวไป๋ร่วมมือกับการสอบปากคำ

“แต่เราสามารถเตรียมการล่วงหน้าได้ ปล่อยให้การสืบสวนเป็นไปตามสถานการณ์ที่เราคาดหวัง ทำให้ผลลัพธ์อยู่ในการควบคุมของเรา”

เมื่อเห็นว่าซางเจี้ยนเย่ายังคงดูงุนงงอยู่ เจี่ยงไป๋เหมียนก็พูดเสริมด้วยรอยยิ้ม

“ข้อเท็จจริงก็คือเสี่ยวไป๋ไม่ได้โจมตียูจีน เรื่องนี้สามารถพิสูจน์ได้

“ขอเพียงแค่นายใช้ ‘ตัวตลกชักจูง’ ไว้ล่วงหน้าเพื่อทำให้เธอไม่คิดว่าพวกเราเป็นเพื่อนกันอีกต่อไป และเธอไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับการลงมือสังหารหลังจากนั้นด้วย หรือไม่ต้องคิดถึงมันเลยก็ยิ่งดี เท่านี้เธอก็สามารถผ่านการสอบปากคำได้แล้ว ถึงแม้จะใช้สารพัดวิธีของผู้ตื่นรู้มาสอบสวนก็ตาม

“หลังจากนั้นก็รอให้การสอบปากคำจบแล้วค่อยสลายผลกระทบไป”

เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ เจี่ยงไป๋เหมียนก็ยิ้มราวกับสุนัขจิ้งจอกที่ขโมยไก่ได้สำเร็จ

“และพวกเราก็ยังสามารถเลือกเวลาที่จะทำให้คนสอบปากคำเป็นคนที่พวกเราคุ้นเคยได้ด้วย

“อย่างเช่นโอดิคที่คาดว่าน่าจะมีพลังที่แทรกแซงความฝันได้

“ทำให้คนมีสติแจ่มชัดในความฝัน นายก็เคยมีประสบการณ์มาแล้วไม่ใช่หรือไง”

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท