ก่อนหน้านี้ เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกมาตลอดว่าห่วงโซ่สำคัญที่เชื่อมต่อเรื่องราวทั้งหมดเข้าด้วยกันนั้นขาดหายไป เหลยอวิ๋นซง หลินเฟยเฟย และคนอื่นๆ นั้นไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์ใดๆ กับ ‘นิกายทอนปัญญา’ เลยแม้แต่น้อย เป็นสองกลุ่มที่ไม่เกี่ยวข้องกันอย่างสิ้นเชิงแต่กลับมารวมเข้าด้วยกันอย่างแปลกประหลาด
ในที่สุดตอนนี้เธอก็ได้พบกับจุดที่ขาดหายไปนี้แล้ว จุดที่เชื่อมต่อระหว่างกลางของทั้งสองฝั่ง
นั่นก็คือเจ้าเมืองหญ้าไพรและประธานสมาคมนักล่าท้องถิ่น สวี่ลี่เหยียน!
ในขณะที่เดินไปพลางคิดไปพลาง เจี่ยงไป๋เหมียนก็ถามโอดิคที่อยู่ข้างหน้าเธอออกมาตรงๆ
“คุณถูกเจ้าเมืองเชิญมางั้นเหรอ”
แต่โอดิคไม่ได้ตอบคำ
เจี่ยงไป๋เหมียนครุ่นคิดรำพึงรำพันกับตัวเอง
“ฉันคงต้องไปพบเจ้าเมือง ถึงจะเข้าใจเรื่องราวต่างๆ ได้กระจ่างกว่านี้”
โอดิคยังคงไม่พูดอะไร เขาเดินตรงไปยังห้องโถงสมาคม
* * * * *
ที่ประตูเมืองหญ้าไพร ไป๋เฉินขับรถจี๊ปไปกับหลงเยว่หง ค่อยๆ เคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ
ในระหว่างที่พวกเขากำลังตามหา ‘อาจารย์เฉพาะกิจ’ อยู่ก็ได้พบจุดผิดสังเกต
‘อาจารย์เฉพาะกิจ’ คนหนึ่งที่ชื่อหวงหมิงถังซึ่งหยุดพักไปเมื่อวานนี้ และวันนี้ควรจะมาสอนเด็กๆ ทว่าเขากลับไม่ปรากฏตัวออกมา
ทุกๆ สิบวัน เขาจะได้หยุดพักหนึ่งวัน
จากที่บรรดาพ่อแม่ของพวกเด็กๆ เล่าให้ฟัง อาจารย์หวงนั้นสอนลูกๆ พวกเขามาเกือบปีแล้ว ค่าเล่าเรียนก็คิดราคาสมเหตุสมผล เป็นคนมีความรับผิดชอบ ไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อน ยิ่งกว่านั้นในบางครั้งหากครอบครัวใดประสบปัญหาด้านการเงินชั่วคราว เขายังอนุญาตให้ชำระค่าเล่าเรียนล่าช้าได้อีกด้วย
เดิมทีผู้ปกครองกลุ่มนี้คิดจะรออีกสักสองวัน หากหวงหมิงถังยังไม่กลับมา พวกเขาก็จะไปแจ้งภารกิจที่สมาคมให้ช่วยตามหา ถึงแม้ว่าจะจ่ายได้ไม่มากนัก แต่อย่างน้อยก็ยังพอทำให้นักล่าได้รับแต้มบ้าง
ในเมืองหญ้าไพรนั้น งานบางเรื่องที่โดยปกติเป็นหน้าที่รับผิดชอบของศาลาเมืองและกองกำลังป้องกันเมือง ค่อยๆ ถูกถ่ายโอนไปยังสมาคมนักล่าในรูปแบบของภารกิจ
ครั้นเมื่อได้พบกับนักล่าไป๋เฉินและหลงเยว่หงที่มาสืบสวน ผู้ปกครองกลุ่มนี้จึงได้มุ่งหน้าไปโถงสมาคมเป็นการเฉพาะเพื่อแจ้งภารกิจและให้พวกเขารับงาน
ค่าตอบแทนก็คือ 2 ออเรย์ 10 แต้มนักล่า
โดยข้อมูลที่ได้รับมาจากเหล่าผู้ปกครอง ทำให้ไป๋เฉินกับหลงเยว่หงพบห้องเช่าของหวงหมิงถังในเวลาอันสั้น และจากปากคำของยามที่นั่น พวกเขาก็ทราบว่า ‘อาจารย์เฉพาะกิจ’ ผู้นั้นได้ออกจากเมืองกลับไปบ้านตั้งแต่คืนก่อนวันที่จะหยุดเสียอีก และไม่ได้หวนกลับมาอีกเลย
พ่อแม่ของหวงหมิงถังนั้นทำงานเป็นคนรับใช้ในคฤหาสน์ที่อยู่นอกเมือง เขาอยู่ที่นั่นตั้งแต่เล็กจนโต และได้อาศัยจิตใจอันมีเมตตาของเจ้าของคฤหาสน์ จึงทำให้อ่านออกเขียนได้
ต่อมาเขาได้ติดตามลูกชายเจ้าของคฤหาสน์ในฐานะนักล่าซากอารยะอยู่ระยะหนึ่ง และได้รับแต้มคะแนนมาบางส่วน จึงทำให้ได้รับอิสรภาพ กลายมาเป็นพลเมืองเต็มตัว
แต่เนื่องจากไม่ชอบการรบราฆ่าฟัน และไม่ปรารถนาไปเสี่ยงภัยในแดนร้าง สุดท้ายเขาจึงเลือกทำงานเป็น ‘อาจารย์เฉพาะกิจ’ เพื่อหาเลี้ยงชีพ
ไป๋เฉินตัดสินใจอย่างไม่รอช้า มุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์นอกเมืองก่อนจะมืดค่ำ
หลังจากฝ่าความคับคั่งที่ประตูเมืองออกมาได้ รถจี๊ปสีเขียวขี้ม้าก็ออกนอกเมืองหญ้าไพร
หลงเยว่หงซึ่งนั่งในตำแหน่งที่นั่งข้างคนขับก็ทอดสายตามองออกไปอย่างไม่รู้ตัว และตะลึงกับภาพที่เห็นเบื้องหน้า
มีคนเยอะมาก…
นอกเมืองมีคนอยู่เต็มไปหมด
พวกเขานั่งบ้าง คุกเข่าบ้าง เรียงรายตลอดแนวสองฝั่งของถนนไปจนสุดสายตา มีจำนวนมากมายมหาศาลจนนับไม่ถ้วน
ห่างออกไปเล็กน้อยนั้นมีโพรงที่พวกเขาขุดกันเอง เต็นท์ชั่วคราวที่ทำอย่างง่ายๆ ที่ทำกันขึ้นมาเอง เรียงเป็นแถวจนดูคล้ายกับว่าที่นี่เป็นนิคมคนเร่ร่อนจากหลายๆ แห่งมารวมตัวกัน
ผู้คนเหล่านี้ต่างมองไปข้างหน้าด้วยใบหน้าซีดเซียวไร้ความรู้สึก ตัวสั่นเทาท่ามกลางลมหนาว แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไร
บางครั้งบางคราวก็มีเสียงเด็กร้องออกมา ซึ่งฟังแล้วช่างอ่อนระโหยโรยแรงยิ่งนัก
เมื่อมีคนที่มีคนคุ้มกันถืออาวุธติดตามมาด้วย เดินไปเดินมาเพื่อเลือกเฟ้นคนเหล่านี้ สีหน้าแห่งความหวังอันเลือนลางก็จะปรากฏขึ้นมาบนใบหน้า
เมื่อผู้โชคดีถูกซื้อไป คนที่เหลือก็แสดงความผิดหวังพร้อมๆ กันก่อนจะกลับเป็นสีหน้าชืดชาไร้อารมณ์เช่นเดิม
“คนพวกนี้ป่วยกันหมดเลยเหรอ ไม่น่านะ…” หลงเยว่หงพูดพึมพำกับตัวเอง
เขาจำได้ว่าในวันที่เดินทางมาถึงเมืองหญ้าไพร คนเร่ร่อนที่มารวมตัวกันที่นี่ถ้าหากว่าไม่เป็นโรคติดต่ออะไร ก็จะได้รับอนุญาตให้เข้าเมืองเพื่อไปไขว่คว้าหาโอกาส
ไป๋เฉินเร่งความเร็วรถเล็กน้อย
“มีคนมากเกินไป
“ถ้าขืนปล่อยให้คนเยอะขนาดนี้เข้าเมืองละก็ มันจะเป็นระเบิดเวลาดีๆ นี่เอง”
หลงเยว่หงขบคิดชั่วครู่และเข้าใจได้
“ดังนั้นก็เลยได้แต่รออยู่นอกเมือง รอให้คนที่ต้องการซื้อออกมาคัดเลือกเองอย่างนั้นสินะ”
ไป๋เฉินผงกศีรษะ
“เมืองหญ้าไพรนั้นรองรับทาสมากขนาดนี้ไม่ไหวหรอก ขึ้นอยู่กับว่าทาง ‘ปฐมนคร’ ส่งคนมาซื้อพวกเขาทันเวลาหรือเปล่า
“ทีมล่าทาสของยูจีนก็นับเป็นหนึ่งในนั้น แต่สถานการณ์ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงต่อ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ หลงเยว่หงก็รู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง
“เธอกำลังบอกว่าการที่หัวหน้ากับซางเจี้ยนเย่ากำจัดคนสารเลวอย่างยูจีน กลับเป็นการฆ่าคนบริสุทธิ์พวกนี้ทางอ้อมไปด้วยงั้นเหรอ”
ไป๋เฉินใช้น้ำเสียงราวกับเป็นผู้อาวุโสสอนสั่งผู้น้อย
“นายรีบทำใจให้คุ้นเคยกับเรื่องแบบนี้เถอะ ถึงแม้ว่ายูจีนจะเป็นไอ้สารเลวที่สมควรถูกจับแล่เนื้อเถือหนังก็ตาม แต่นั่นก็เพราะทำเพื่อเงิน ซึ่งในสภาวะแวดล้อมเช่นนี้เขาสามารถมอบชีวิตใหม่ให้คนมากมายได้จริงๆ แหละ”
ไม่ใช่ว่าทุกคนที่ถูกซื้อไปจะต้องถูกส่งไปเหมืองและตกตายภายในเวลาสองสามปีหลังจากนั้น
หลงเยว่หงเงียบงันไปพักใหญ่ก่อนจะสบถออกมา
“โลกนี้แม่งระยำ!”
“ทีมล่าทาสของยูจีนน่าจะมีหัวหน้าใหม่เร็วๆ นี้แหละ พวกเขาไม่ปล่อยโอกาสทำเงินให้หายไปหรอก” ไป๋เฉินมองดูข้างทาง “คนมากขนาดนี้ พวกเร่ร่อนก็มีมาใหม่ทุกวี่วัน ถ้าภายในสองสามวันนี้ยังจัดการไม่ได้ละก็ อาจจะเกิดจลาจลครั้งใหญ่ก็ได้…”
เธอเคยเห็นสถานการณ์ลักษณะนี้มาก่อนแล้ว
ในตอนนั้นเรียกได้ว่าเป็นโศกนาฏกรรมของมนุษย์จริงๆ
ในระหว่างที่พูด รถจี๊ปก็แล่นออกจากบริเวณนี้ เลี้ยวไปทางแม่น้ำขุ่น
หลังจากอ้อมป่าที่ใบไม้แห้งเหี่ยวแล้วขับต่อไปราวสี่ห้านาที หลงเยว่หงก็เห็นทุ่งนาอยู่มากมายเต็มไปหมด
ในฤดูหนาวพวกมันล้วนแต่รกร้างเหมือนกันทั้งสิ้น
ไม่นานนักรถจี๊ปก็มาถึงทางเข้าคฤหาสน์และถูกยามติดอาวุธเรียกให้หยุด
ไป๋เฉินนำตรานักล่าออกมาแล้วอธิบายว่ามาหาพ่อแม่ของหวงหมิงถัง
พวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในคฤหาสน์ แต่ยามก็ได้ส่งข้อความไปและตามตัวคู่สามีภรรยาออกมาให้
พ่อแม่ของหวงหมิงถังมีอายุราวห้าสิบปี เส้นผมกลายเป็นสีขาวไปไม่น้อย
“อาถัง[1]ไม่ได้กลับไปเหรอ เขาออกไปตั้งแต่สองวันก่อนแล้วนะ” หลังจากฟังเรื่องราวจากปากของหลงเยว่หง แม่ของหวงหมิงถังก็เริ่มเป็นกังวล
ไป๋เฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ก่อนที่เขาจะออกไป มีอะไรผิดปกติบ้างไหม”
“ไม่มี” แม่ของหวงหมิงถังส่ายหน้าซ้ำๆ “ฉันเร่งให้เขารีบๆ หาเมียแค่นั้นเอง”
พ่อของหวงหมิงถังนั้นดูเป็นคนซื่อๆ ผิวหนังนอกร่มผ้านั้นกรำแดดอยู่บ้าง มีริ้วรอยอยู่หลายแห่ง
เขานึกทบทวนก่อนจะเล่าออกมา
“อาถังรีบออกไปตั้งแต่ยังไม่ห้าโมงเย็น จากที่นี่เข้าไปในเมืองจะใช้เวลาเดินราวครึ่งชั่วโมงกว่า พอค่ำมืดแล้วพวกสัตว์ป่าที่หิวโหยจะออกหากิน…”
พูดมาถึงตรงนี้ พ่อของหวงหมิงถังก็รู้สึกวิตก
“หรือว่าเขาจะเจอกับสัตว์ป่าพวกนั้นเข้า”
ไป๋เฉินกับหลงเยว่หงต่างก็มองหน้ากัน
“งั้นพวกเราลองไปหาดูหน่อยเถอะ”
พวกเขาพากันขึ้นรถแล้วขับย้อนกลับไปตามทางที่มาภายใต้สายตาคาดหวังของคู่สามีภรรยา
ครั้งนี้พวกเขาขับรถช้ากว่าเดิมมาก พยายามใส่ใจกับรอบข้าง บางครั้งบางคราวก็จอดรถลงมาตรวจสอบ
ผ่านไปครู่หนึ่งรถจี๊ปก็กลับไปถึงป่า
ถึงแม้ว่าใบไม้ในฤดูหนาวจะร่วงไปจนแทบไม่เหลือเลย แต่ลึกเข้าไปในป่านั้นก็ยากจะมองเห็นได้อย่างชัดเจนเมื่อมองดูจากภายนอก
ไป๋เฉินหยุดรถจี๊ปแล้วหันไปพูดกับหลงเยว่หง
“เฝ้ารถไว้นะ”
หลงเยว่หงซึ่งคุ้นเคยในเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว ถือปืนพก ‘มอสน้ำแข็ง’ ยืนเฝ้าอยู่ข้างรถจี๊ป คอยสอดส่องโดยรอบด้วยความระมัดระวัง
ไป๋เฉินชักปืนออกมาแล้วเดินอย่างช้าๆ เข้าไปในป่า
ครั้นพอเดินอ้อมต้นไม้ใหญ่ ม่านตาเธอก็ขยายออกทันที
ลึกเข้าไปในป่ามีชายสวมเสื้อแจ็คเก็ตผ้าฝ้ายสีแดงเข้มห้อยอยู่บนกิ่งไม้ที่ไม่สูงเท่าไรนักแต่ดูแข็งแรงมาก ร่างเขาไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ
ที่ลำคอมีเข็มขัดสีน้ำตาลอ่อนรัดเอาไว้ กางเกงที่สวมอยู่เหมือนจะหลุดออกมาได้ตลอดเวลา
ลมพัดโชยมา ร่างนั่นส่ายไหวเล็กน้อย
* * * * *
ชั้นสองของ ‘ร้านปืนอาฝู’
“หวงหมิงถังแขวนคอ ‘ฆ่าตัวตาย’ งั้นเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนฟังไป๋เฉินรายงานจนจบ ในใจก็รู้สึกกลัวขึ้นมา “เจิงกว่างวั่งนี่โชคดีจริงๆ”
แล้วเธอก็เล่าความคืบหน้าของการสืบสวนให้ฟัง
“‘นิกายทอนปัญญา’ นี่อย่างกับพวกเสียสติเลยแฮะ” หลงเยว่หงทอดถอนใจ
เขารู้สึกเศร้าอยู่บ้างเมื่อนึกถึงปฏิกิริยาของพ่อแม่หวงหมิงถังหลังจากที่ได้เห็นลูกชายตนเอง
ซางเจี้ยนเย่าเหลือบมองเขา
“แล้วนายคิดตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าพวกนั้นไม่ได้เสียสติ”
“ตะ… ตอนแรกฉันคิดว่าพวกนั้นเป็นองค์กรที่ไม่รู้หนังสือ และหาเรื่องเผาหนังสือแค่นั้นเอง” หลงเยว่หงยอมรับว่าตนเองนั้นยังอ่อนต่อโลกนัก
“การวางเพลิงก็นับได้ว่าเป็นการก่ออาชญากรรมเหมือนกัน” จากนั้นเจี่ยงไป๋เหมียนก็เตือนอีก “พวกนายต้องระวังไว้ให้มาก ‘บาทหลวง’ คนนั้นเป็นตัวอันตราย อันตรายสุดๆ”
หลงเยว่หงรู้สึกหัวใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่มทันที
“แล้วจะทำยังไงกันต่อดีล่ะ”
“ในตอนนี้ที่ทำได้ก็มีแค่รอดูว่าโอดิคจะเจออะไรไหม หวังว่าเขาจะหาตัวสมาชิกของ ‘นิกายทอนปัญญา’ มาได้สักคน”
แล้วเธอก็หันหน้าไปถามไป๋เฉิน
“เรื่องเครื่องรับส่งสัญญาณโทรเลขไร้สายมีความคืบหน้าบ้างหรือเปล่า”
“ฉันเจอคนที่สร้างเครื่องได้เอง ราคาถูกมาก เดี๋ยวพรุ่งนี้จะไปลองคุยดู” ไป๋เฉินพยักหน้าตอบรับ
เจี่ยงไป๋เหมียนถอนใจโล่งอกก่อนจะยิ้มให้ซางเจี้ยนเย่าและหลงเยว่หง
“พวกนายก็ไปด้วยละกัน ลองดูว่าจากสายวิชาชีพของพวกนายเนี่ยจะเรียนรู้อะไรได้บ้าง”
“ถ้ามีอะไหล่พอ ผมก็ทำได้” ซางเจี้ยนเย่ารีบตอบทันที
“มีแค่ไหนถึงจะเรียกว่าพอล่ะยะ” เจี่ยงไป๋เหมียนถามเสียงสูง
ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างสงบสุขุม
“พอให้ผมได้ลองผิดลองถูกจนกว่าจะทำเป็น”
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่อยากจะไปสนใจเขาอีก
ในขณะนี้ท้องฟ้ามืดลงแล้ว และเนื่องจากการเสียชีวิตอย่างต่อเนื่องของหลิวต้าจ้วงกับยูจีน จำนวนของกองลาดตระเวนด้านนอกจึงเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมาก
หลังจากรับประทานมื้อเย็นกันเสร็จ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ก็กลับไปห้องตัวเองเพื่อคอยดูแลปกป้องอาวุธตนเอง และปรึกษาหารือเกี่ยวกับ ‘นิกายทอนปัญญา’ โดยไม่จำกัดเนื้อหา
ครั้นพอไฟฟ้าดับลงพวกเขาก็รีบอาบน้ำ นอนหลับพักผ่อนเพื่อจะได้ตื่นแต่เช้า
กลางดึกไม่ทราบว่ากี่โมง จู่ๆ ประตูห้องของเจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่าก็ถูกเคาะ
เสียงดังก๊อกๆๆ ต่อเนื่อง ซางเจี้ยนเย่ารีบพลิกกายลุกพรวดขึ้นจากเตียงแล้ววิ่งไปที่ประตูทันที
มือของเขาที่ซ่อนไว้ด้านหลังนั้นถือ ‘มอสน้ำแข็ง’ เอาไว้
เจี่ยงไป๋เหมียนเองก็ลุกขึ้นอย่างเงียบเชียบและเล็งปืนไปที่ประตู
ผู้ที่อยู่นอกประตูก็คือกู่ฉางเล่อ หนึ่งในหุ้นส่วนของ ‘ร้านปืนอาฝู’ ที่ลงขันเชิญ ‘อาจารย์เฉพาะกิจ’ มาสอน
หญิงสาวผู้นี้สวมเสื้อคลุมผ้าฝ้ายตัวหนา ราวกับว่าตื่นขึ้นมาอย่างรีบร้อน
“อาจารย์อานมาหาพวกคุณค่ะ
“เหมือนว่าเธอบาดเจ็บมา ตอนนี้อยู่ข้างล่าง!”
อานหรูเซียง… ชื่อนี้ผุดขึ้นในใจของเจี่ยงไป๋เหมียน
* * * * *
[1] บางครั้งคนที่อายุมากกว่าจะเรียกคนสนิทกันที่อายุน้อยกว่าโดยใส่คำว่า ‘อา’ ไว้นำหน้าชื่อ