รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 159 ความร่วมมือ

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 159 ความร่วมมือ

“เมนเฟรม…” เจี่ยงไป๋เหมียนนั้นศึกษาทางด้านนี้มาโดยเฉพาะ จึงรู้ดีว่าคำนี้หมายถึงอะไร

‘เมนเฟรม’ นั้นหมายถึงสมองขนาดใหญ่ของเมือง เป็นสมองในความหมายตามรูปคำอย่างแท้จริง

นี่เป็นเป้าหมายที่สำคัญของโลกเก่าซึ่งเป็นเส้นทางที่จะไปสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะที่ควบคุมด้วยสมองกลทั้งหมด

‘ศูนย์ควบคุมเครือข่ายอัจฉริยะ’ ที่พวกเขาเคยเห็นจากซากปรักบึงหมายเลข 1 คือเวอร์ชันเริ่มแรก

ในเวอร์ชันสมบูรณ์ของระบบเมืองอัจฉริยะนั้น เมนเฟรมจะควบคุมเครือข่ายข้อมูลทั้งหมดด้วยอัลกอริทึมอันซับซ้อน ตั้งแต่รถยนต์ไร้คนขับไปจนถึงหุ่นสมองกลที่ไม่ใช่หุ่นส่วนตัว ทรัพยากรที่เกี่ยวข้องทุกชนิดจะถูกคำนวณให้เกิดประสิทธิผลในการจัดสรรมากที่สุด เป็นการขจัดปัญหาแฝงทุกอย่างตั้งแต่ต้นตอ

ในตอนนี้เจี่ยงไป๋เหมียนมองเห็นจากหางตาว่าซางเจี้ยนเย่ายกมือขวาขึ้นมาเช็ดมุมปาก

“…” เธอรู้สึกพูดไม่ออกไปชั่วครู่

หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีเธอก็ถอนหายใจด้วยอารมณ์

“คิดไม่ถึงเลยว่าเครื่อง ‘เมนเฟรม’ นั่นจะทำงานมาตั้งแต่สมัยที่โลกเก่ายังไม่ถูกทำลาย”

เมื่อเป็นเช่นนี้ก็แสดงว่า ‘เมนเฟรม’ ที่ผ่านช่วงเวลาของการทำลายล้างโลกเก่ามาได้นั้นมีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะมีการบันทึกเหตุการณ์ที่สำคัญบางอย่างเก็บไว้

ด้วย

จากจุดนี้ทำให้เจี่ยงไป๋เหมียนเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเหลยอวิ๋นซง หลินเฟยเฟย และ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ของพวกเขาถึงได้มาขอพบเจ้าเมืองหญ้าไพร สวี่ลี่เหยียน

“ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรใช่ไหมล่ะ ในเมื่อโลกเก่าถูกทำลายไปตั้งนานแล้ว” สวี่ลี่เหยียนย่อมไม่อาจเข้าใจความรู้สึกของเจี่ยงไป๋เหมียนได้

เขาเล่าเหตุการณ์ต่อ

“ในตอนนั้นผมตอบพวกเขาไปว่าผมเองก็ไม่รู้อะไรเช่นกัน พวกเราเพียงแค่ร่วมมือกันในด้านการค้าเท่านั้น พวกเขาจัดหาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ มาให้ รวมถึงพวกหุ่นจักรกลที่เอาไว้ทำงานในแต่ละด้าน ส่วนพวกเราก็ขายน้ำมันเชื้อเพลิง แบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูง แล้วก็ทรัพยากรที่ต้องใช้สำหรับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์”

สินค้าอย่างหลังนั้นไม่ใช่สิ่งที่เมืองหญ้าไพรสามารถผลิตขึ้นได้ พวกเขาเป็นเพียงนายหน้าจัดหาของให้เท่านั้น

“อย่างนั้นตอนที่คุณติดต่อกับ ‘สวรรค์จักรกล’ ได้เจอรายละเอียดอะไรที่น่าสนใจบ้างไหม” เจี่ยงไป๋เหมียนถามต่ออีกประโยคด้วยความเคยชินของวิชาชีพ

“พวกเขาทำการค้าอย่างเป็นการเป็นงานมาก ไม่รับสินบนด้วย เพราะว่าเป็นหุ่นสมองกล” สวี่ลี่เหยียนส่ายหน้ายิ้มให้ “ถ้าหากพวกคุณสนใจพวกนี้อย่างจริงจังนะ งั้นมาช่วยผมจัดการปัญหานี้ให้เสร็จก่อน เอาไว้พอพวกเขามาที่เมืองหญ้าไพรเพื่อทำการค้าเมื่อไหร่ ผมสามารถแนะนำให้พวกคุณรู้จักกันได้ มีเรื่องอะไรอยากถามจะได้ถามพวกเขาไปตรงๆ เลย”

เจี่ยงไป๋เหมียนครุ่นคิดอยู่สองสามวินาทีก่อนจะถามอย่างจริงจัง

“เจ้าเมืองสวี่ มีคนต้องการลอบสังหารคุณใช่ไหม”

สวี่ลี่เหยียนขมวดคิ้ว รู้สึกประหลาดใจไปครู่หนึ่ง

“โอดิคบอกคุณเหรอ”

“ผมไม่ได้พูดนะ” โอดิครีบปฏิเสธ

“งั้นคุณรู้ได้ยังไง” สวี่ลี่เหยียนมองดูเจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่าอย่างสงสัย

“เดาเอาน่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะ “เดาจากเรื่องที่ ‘บาทหลวง’ ของ ‘นิกายทอนปัญญา’ เคยทำมาก่อน เขาถูกหมายหัวจากปฐมนครก็เพราะไปลอบสังหารอาวุโสของวุฒิสภา”

สวี่ลี่เหยียนตะลึงไปชั่วขณะก่อนจะถอนหายใจ

“ขอบอกตามตรงว่าตอนที่เห็นพวกคุณสองคนเมื่อครู่ ผมยังรู้สึกดูถูกอยู่บ้าง รู้สึกเหมือนเป็นพวกไม้ประดับที่มีดีแค่หน้าตา แต่ไร้ความสามารถ

“ผมรู้ว่าเป็นการตัดสินที่ไร้ซึ่งมูลเหตุใดๆ ทั้งสิ้น แต่ก็ยังอดคิดแบบนั้นไม่ได้อยู่ดี

“แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าคิดผิดไปอย่างสิ้นเชิง”

รอจนกระทั่งเขาพูดจบ ซางเจี้ยนเย่าก็วิเคราะห์ให้ฟังอย่างตั้งใจ

“คนระดับสูงอย่างคุณ ในใจย่อมรู้สึกทะนงตนเย่อหยิ่งอยู่มาก เมื่อเห็นใครเหนือกว่าตนในบางด้าน ก็เลยรู้สึกอดดูหมิ่นดูแคลนไม่ได้ หล่อเหลาสะสวยคือไร้สมอง แข็งแรงคือป่าเถื่อน นั่นก็เพื่อรักษาความรู้สึกว่าตนเองเหนือกว่าเอาไว้…”

สวี่ลี่เหยียนยกสองมือขึ้นมาประกบไว้ข้างหน้า

“ฟังแล้วก็มีเหตุผล

“คุณเก่งด้านจิตวิเคราะห์มาก”

“ผมต้องรับมือกับนักจิตวิทยาอยู่บ่อยครั้งน่ะ” ซางเจี้ยนเย่าตอบด้วยความมั่นใจ

ถ้าหากแบบนั้นเรียกว่ารับมือละก็… ถือว่าดีแล้วที่ไม่ถูกเอ่ยปากไล่ตรงๆ เจี่ยงไป๋เหมียนแอบวิจารณ์อยู่ในใจ แล้วตัดสินใจดึงหัวข้อสนทนาให้กลับเข้าที่เข้าทาง

“เจ้าเมืองสวี่ เมื่อครู่คุณบอกว่าฉันเดาถูกงั้นเหรอคะ”

“ใช่” สวี่ลี่เหยียนไม่ได้ปิดบัง “เมื่อราวสองเดือนก่อนผมได้รับข้อมูลว่ามีคนต้องการลอบสังหาร หลังจากที่พ่อผมเสียชีวิตไปแล้วก็มีเหตุทำนองนี้อยู่บ่อยครั้ง ผมชินแล้วล่ะ จากนั้นผมก็ค่อยๆ เสริมกำลังยาม และส่งเจ้าหน้าที่ข่าวกรองออกไปจำนวนมาก หวังว่าจะได้รู้ให้เร็วที่สุดว่าใครกันแน่ที่อยู่เบื้องหลัง จะได้กำจัดภัยซ่อนเร้นโดยเร็ว”

พูดถึงตรงนี้เขาก็มองไปที่โอดิค

“มิสเตอร์โอดิคเป็นผู้ช่วยที่ผมจ้างมาจากสมาคมเป็นพิเศษ เขาเก่งเรื่องการสืบสวนสอบสวน ฉายาของเขาก็คือ ‘เครื่องแกะรอย’ และ ‘เครื่องจับเท็จ’

“ใครจะไปคิดว่าเขาเพิ่งจะมาถึงได้เพียงแค่สองวัน หลิวต้าจ้วงซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ข่าวกรองคนสำคัญที่สุดของผมในเมืองนี้กลับถูกยิงตายอยู่กลางถนน

“ผมเชื่อว่าที่เขาถูกเก็บ เป็นเพราะได้พบกับเบาะแสสำคัญ”

เจี่ยงไป๋เหมียนนั่งฟังเงียบๆ จากนั้นก็อธิบายทุกเรื่องที่ตนสามารถเปิดเผยได้

รวมถึงเรื่องที่รับภารกิจให้ตามสืบสวนเกี่ยวกับการหายตัวไปของเหลยอวิ๋นซงและหลินเฟยเฟย ซึ่งสุดท้ายแล้วก็พบว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่ แต่เหมือนถูกควบคุมไว้ และสงสัยว่านี่น่าจะเกี่ยวข้องกับ ‘บาทหลวง’ คนนั้นของ ‘นิกายทอนปัญญา’

ท้ายสุดเธอก็บอกว่า

“พวกเราได้พบกับผู้เสียหายที่เคยเจอ ‘บาทหลวง’ แล้วล่ะ อีกไม่นานเธอจะมาที่นี่เพื่อแจ้งภารกิจ”

“ทำได้ไม่เลว” สวี่ลี่เหยียนกล่าวชมเชย แล้วหันไปพูดกับโอดิค “ผมหวังว่าจะตามรอยเป้าหมายเจอได้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้”

ไม่ว่า ‘บาทหลวง’ คนนั้นจะเป็นผู้บงการเบื้องหลังตัวจริงหรือไม่ก็ตาม แต่เขาต้องมีบทบาทสำคัญในเรื่องนี้แน่นอน

“ผมจะรีบไปหาข้อมูลเดี๋ยวนี้” โอดิคลุกขึ้นยืน

เจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่าเองก็ลุกขึ้นแล้วตามหลังออกมาจากห้องทำงานของประธานสมาคมเช่นกัน

“ผมจะไปพบผู้เสียหายก่อน” โอดิครีบเดินไปที่บันไดโดยไม่รอฟังคำตอบ

เจี่ยงไป๋เหมียนรู้ว่าตนเองไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับการสืบสวนต่อจากนี้แล้ว ดังนั้นเธอจึงเดินเอ้อระเหยตามหลังเขาไป รอให้บรรดานักล่าซากอารยะทั้งหลาย ‘อุทิศตัวรับใช้’

เมื่อพวกเขาออกมาห่างจากห้องทำงานของประธานสมาคมจนเกือบจะถึงบันไดแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็ถามโดยกดเสียงเล็กน้อย

“เมื่อกี้ตอนที่ขึ้นมาถึง นายเข้าใจคำถามฉันหรือเปล่า”

เธอกำลังหมายถึงตอนที่เธอใช้สายตาและท่าทางถามออกมา

ซึ่งในตอนนั้นซางเจี้ยนเย่าได้ผงกศีรษะเพื่อยืนยัน

ในเวลานี้เมื่อนึกย้อนกลับไป เจี่ยงไป๋เหมียนก็เริ่มไม่แน่ใจว่าหมอนี่เข้าใจในสิ่งที่ตนถามไปจริงๆ ไหม

จะว่าไปแล้ว ต่อให้เป็นตัวเธอเองก็เถอะ เพียงแค่การใช้สายตามองมาแบบนั้นก็ยังไม่รู้เลยว่าจะตีความออกหรือเปล่า

ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างไม่ลังเล

“ผมเข้าใจ

“ตอนที่พวกเราเดินกันอยู่ในตอนนั้นไม่มีใครผ่านมาสักคน ดังนั้นการที่คุณมองมา แสดงว่าต้องเป็นอะไรที่เกี่ยวข้องกับสิ่งคุณสัมผัสได้

“ในห้องที่สวี่ลี่เหยียนอยู่ มีคนอยู่ในนั้นหลายคน

“นี่ก็เลยทำให้ผมนึกถึงครั้งสุดท้ายที่พวกเรานั่งรอกันอยู่ชั้นล่างที่มีคนกลุ่มใหญ่เดินผ่านหัวเราไป หนึ่งในนั้นมีทั้งจิตสำนึกของมนุษย์และสัญญาณไฟฟ้าของหุ่นจักรกล

“ถ้าหากว่าสิ่งที่คุณตรวจจับได้เป็นสัญญาณไฟฟ้าของมนุษย์ทั้งหมด คุณคงไม่มีทางหันมามองผมเพื่อขอคำยืนยันหรอก

“ดังนั้นคำตอบจึงง่ายมาก คุณต้องการจะถามผมว่าทุกคนในนั้นมีจิตสำนึกของมนุษย์ใช่หรือเปล่า”

เจี่ยงไป๋เหมียนตกตะลึงไปสองสามวินาทีก่อนจะเปิดปากพูด

“เป็นวิธีคิดที่ซับซ้อนชะมัด แต่ว่าใช่แหละ นายเดาถูกแล้ว…”

เธอต้องยอมรับว่าในบางด้านนั้นซางเจี้ยนเย่าไม่ได้สมองทึบ และยังถึงขั้นเรียกได้ว่าเฉลียวฉลาดมากเสียด้วยซ้ำ เพียงแค่ว่าเขามักจะทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องที่ยุ่งยากซับซ้อน

เมื่อเดินมาถึงบันได เจี่ยงไป๋เหมียนมองลงไปพลางกระซิบ

“คนในเสื้อคลุมที่ยืนอยู่ข้างสวี่ลี่เหยียนนั่นน่าจะเป็น ‘นิรันดร์กาล’”

ส่วนจะเป็นหลวงจีนจักรกลหรือเปล่านั้นก็ยังไม่แน่ชัด

“ไม่รู้ว่าเขาจะรู้จักอาจารย์เซนจิ้งฝ่าหรือเปล่านะ” จู่ๆ ซางเจี้ยนเย่าก็พูดขึ้น

“นายนี่หมกมุ่นอยู่กับอาจารย์เซนจิ้งฝ่าเสียจริงนะ” เจี่ยงไป๋เหมียนล้อเขา

ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างจริงจัง

“อาจารย์เซนจิ้งฝ่าไล่ตามเฉียวชูอยู่ เฉียวชูเอาชุดเกราะเสริมแรงของเราไป กินอาหารของพวกเราไปตั้งเยอะ ทั้งอาหารกระป๋องเอย บิสกิตอัดแข็งเอย ธัญพืชอัดแท่งเอย…”

“เข้าใจแล้ว” เจี่ยงไป๋เหมียนพยักหน้าอย่างหนักแน่น

ในระหว่างที่พูดคุยกันพวกเขาก็เดินลงมาถึงชั้นล่าง กลับมายังห้องโถง

และในตอนนี้เอง รองประธานผมสีบลอนด์ตาสีฟ้า คริสติน่า ก็เดินเข้ามาจากประตูด้านข้างพร้อมกับผู้คุ้มกันชุดดำสี่คน

ครั้นพอได้เห็นซางเจี้ยนเย่า ดวงตาเธอก็เป็นประกาย รีบก้าวเดินตรงมาอย่างยิ้มแย้ม

“วันนี้ฉันอยู่ที่ห้อง 308 ทั้งวัน คุณมาหาฉันได้ตลอดเวลา”

พูดจบเธอก็หันมามองเจี่ยงไป๋เหมียน ค่อยๆ กวาดสายตาสำรวจไปทั่วใบหน้าเธอ

รอยยิ้มของคริสติน่ามองเห็นได้ชัดเจนขึ้นมากในขณะที่เธอหันมาถามซางเจี้ยนเย่า

“นี่คือเพื่อนคุณเหรอ”

โดยไม่รอให้ซางเจี้ยนเย่าตอบคำ เธอก็หันไปพูดกับเจี่ยงไป๋เหมียน

“คุณมาหาฉันพร้อมกับเขาได้เลยนะ”

“อืม” เจี่ยงไป๋เหมียนรับคำอย่างขอไปที

เมื่อทั้งสองฝ่ายเดินสวนกัน เธอก็รีบก้าวไปด้านข้างเพื่อเตรียมหลีกเลี่ยงฝ่ามือพิฆาตของคริสติน่าที่แอบตบก้น

จนกระทั่งเห็นรองประธานคริสติน่ากับผู้คุ้มกันเดินขึ้นบันไดไปแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็จุ๊ปาก

“รสนิยมของเธอนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ”

“บางทีเธออาจต้องการคนเล่นไพ่ให้ครบวงก็ได้” ซางเจี้ยนเย่าพูดอย่างครุ่นคิด

“นายคิดว่าคนคุ้มกันรอบตัวเธอนั่นไม่ใช่คนหรือไงยะ” เจี่ยงไป๋เหมียนด่าเขาด้วยรอยยิ้ม

ซางเจี้ยนเย่ายังคงตอบอย่างจริงจัง

“เป็นผู้คุ้มกันก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีสิ”

พวกเขาพูดกันไปพลางก็เดินมาจนถึงริมห้องโถง จากนั้นก็หาเก้าอี้นั่งลงรอให้เบาะแสใหม่ปรากฏขึ้น

ไม่นานนัก กระดานภารกิจก็อัปเดต พวกเขาเริ่มการค้นหาผู้ชายที่เหมือนคนป่วยสวมเสื้อเทรนช์โค้ท

ภาพวาดของเขาค่อนข้างดูมีชีวิต แทบไม่ต่างจากภาพถ่าย

ซางเจี้ยนเย่ากับเจี่ยงไป๋เหมียนไม่จำเป็นต้องลงมือไปค้นหาเอง เพราะมีนักล่าซากอารยะจำนวนมากทำแทนให้อยู่แล้ว

ในเวลาสิบโมงเช้าก็มีข้อมูลใหม่ปรากฏขึ้น

มีผู้พบเห็นผู้ชายที่เหมือนคนป่วยสวมเสื้อเทรนช์โค้ทใกล้โกดังหมายเลข 1 ถึงหมายเลข 3 ในถนนตะวันออก

เจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่าผุดลุกขึ้นทันที ไปกดรับภารกิจแล้วเดินออกจากประตูไป

เมื่อใกล้จะถึงถนน จู่ๆ ซางเจี้ยนเย่าก็หยุดชะงักแล้วตะโกนบอกคนผู้หนึ่งที่กำลังเดินผ่านไป

“รอเดี๋ยว!”

คนผู้นั้นหยุดฝีเท้าแล้วหันมามองด้วยความสงสัย

เขาเป็นผู้ชายอายุราวยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปด เชื้อชาติแดนธุลี มีความสูงพอๆ กับเจี่ยงไป๋เหมียน สวมชุดสีดำ ไว้ผมสั้น หน้าตานับว่าไม่เลว เพียงแต่มีรอยคล้ำใต้ตาค่อนข้างมาก ดูท่าทางอิดโรย

ซางเจี้ยนเย่าเดินตรงเข้าไปหาบุคคลผู้นั้นภายใต้สายตาที่ดูแปลกใจของเจี่ยงไป๋เหมียน แล้วเอ่ยปากถามขึ้น

“เมื่อคืนคุณนอนไม่ค่อยหลับเหรอ”

ชายคนนั้นเลิกคิ้ว

“ผมจะนอนหลับนอนไม่หลับแล้วเกี่ยวอะไรกับคุณด้วยล่ะ”

ซางเจี้ยนเย่าพูดอย่างจริงใจ

“ถ้าคุณนอนไม่ค่อยหลับ ก็จะมีสภาพที่ไม่ค่อยน่าดูเท่าไหร่ กว่าจะทำภารกิจเสร็จก็อาจจะเกิดอุบัติเหตุได้

“จะให้ดีก็ควรพักผ่อนเสียหน่อย”

เมื่อพูดจบเขาก็กลับหลังหันเดินไปข้างเจี่ยงไป๋เหมียน ทิ้งให้คนผู้นั้นยืนงงอยู่ตรงนั้น

เจี่ยงไป๋เหมียนยกมือขวาขึ้นมาชี้ที่ศีรษะตนเองเพื่อเป็นการถามว่าเขาเกิดอาการสมองกระตุกขึ้นมาใช่หรือไม่

ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะเล็กน้อย ตอบรับว่าเป็นเช่นนั้นจริง

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท