‘บาทหลวง’ ซึ่งกำลังจะสะกดจิตนั้นคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะทำหน้าแลบลิ้นปลิ้นตาใส่
ไม่ใช่มีเพียงเขาที่คิดไม่ถึง แม้แต่ตัวซางเจี้ยนเย่าเองก็คิดไม่ถึงเช่นกัน
‘บาทหลวง’ ชะงักไป จากนั้นก็รีบพุ่งไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว
เสียงปัง ซางเจี้ยนเย่าจับปืนด้วยสองมืออย่างมั่นคง พยายามเลื่อนปากกระบอกตามไปเพื่อให้ครอบคลุมบริเวณที่ ‘บาทหลวง’ จะใช้หลบเลี่ยง
แต่แล้วในขณะนั้นเองเขากลับยกมือขึ้นมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ แล้วหันปากกระบอกปืนมาเล็งที่ศีรษะตนเอง
‘ร่างกายเคลื่อนไหวเอง’ !
ซางเจี้ยนเย่าไม่เพียงไม่ตื่นตระหนก กลับยังหัวเราะเสียอีก
เพราะนี่คือประสบการณ์แปลกใหม่ที่ยังไม่เคยลิ้มลองมาก่อน
นิ้วของเขากำลังจะเหนี่ยวไกยิงตัวเอง
แต่ทว่าในฉับพลันนั้นมันกลับลืมเลือนการกระทำนี้ไปและคลายจากไกปืนโดยไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรต่อไป
ซางเจี้ยนเย่าใช้ ‘พันธนาการมือ’ กับตัวเอง
จากนั้นเขาก็หันหน้าไปมองที่โอดิคราวกับจะบอกว่า… ถึงตาคุณแล้ว
ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้คิดจะยิง ‘บาทหลวง’ ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว จุดประสงค์ของเขาก็เพื่อต้องการกดดันให้ ‘บาทหลวง’ ถอยไปทางด้านโอดิค ลดระยะห่างของทั้งสองให้สั้นลง
ซึ่งในเรื่องนี้เจี่ยงไป๋เหมียนกับเขาราวกับมีสายสัมพันธ์อันแปลกประหลาดที่เชื่อมโยงถึงกัน ในช่วงเวลาฉุกละหุกเธอกลับยิงไปทางด้านซ้ายของ ‘บาทหลวง’ โดยไม่ตั้งใจ ซึ่งเป็นคนละด้านกับโอดิค
นี่เป็นการต้อนให้ ‘บาทหลวง’ ต้องกระโจนไปยังทางเดินซึ่งโอดิคยืนอยู่
โอดิคละทิ้งเป้าหมายที่กำหนดไว้ในตอนแรก หมุนกายครึ่งหนึ่งพิงผนังและล็อคเป้า ‘บาทหลวง’ เอาไว้
ก่อนที่ ‘บาทหลวง’ จะมีเวลากลิ้งม้วนตัวรอบสอง ดวงตาเขาก็หมดประกาย เปลือกตาทั้งสองข้างหลุบลงอย่างไม่อาจควบคุม
ท่ามกลางสนามรบอันดุเดือด เขาผล็อยหลับไปและกำลังจะล้มลงกับพื้น
แน่นอนว่าซางเจี้ยนเย่ากับเจี่ยงไป๋เหมียนย่อมไม่พลาดโอกาสดีเช่นนี้ให้ผ่านไปอยู่แล้ว ทันทีที่สามารถกลับมาควบคุมมือของตนเองได้อีกครั้ง พวกเขาก็เคลื่อนปากกระบอกปืนทันที เล็งไปที่ร่างของ ‘บาทหลวง’ ซึ่งกำลังโงนเงน
แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้ลั่นไก ทันใดนั้นก็มีลูกกระสุนยิงออกมาจากอีกฝั่งหนึ่งของทางเดินซึ่งอยู่คนละด้านกับโอดิค
จากมุมยิงนี้ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะยิงถูกโอดิค ทว่ามันทำให้เกิดเสียงดัง ‘ปัง’
เสียงนี้ดังสนั่นสั่นสะเทือนแก้วหู ปลุก ‘บาทหลวง’ ให้ตื่นขึ้นจากการหลับใหล
เขาไม่สนใจวิเคราะห์สถานการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ล้มตัวลงกับพื้นแล้วกลิ้งม้วนตัวต่อไปทันที แล้วก็สุ่มเลือกเป้าหมาย ทำให้เป้าหมายที่กำลังเล็งมานั้นยกปากกระบอกปืนขึ้นสูง
ปัง! ปัง!
กระสุนของเจี่ยงไป๋เหมียนยิงเข้าไปที่หลอดฟลูออเรสเซนต์บนเพดาน เศษแก้วจำนวนนับไม่ถ้วนร่วงกราว
พื้นที่รอบข้างพลันมืดลงไปอีกเล็กน้อย
ส่วนกระสุนของซางเจี้ยนเย่าพุ่งเข้าไปยังตำแหน่งที่ ‘บาทหลวง’ ยืนอยู่ก่อนหน้านี้ เกิดเป็นประกายไฟวูบ
‘บาทหลวง’ ในเสื้อเทรนช์โค้ทสีดำกลิ้งเข้าไปในห้องว่างแล้วหยุดลง เขาหยิบขวดแก้วใบเล็กออกมาจากกระเป๋าแล้วขว้างใส่โอดิค
โอดิคไม่กล้าปล่อยให้วัตถุนี้ลอยเข้ามาใกล้ เขายกข้อมือขึ้นมาแล้วยิงมันจนแตกกระจาย
ในวินาทีถัดมา กลิ่นน้ำส้มสายชูเข้มข้นก็อวบอวลไปในอากาศ
สีหน้าของโอดิคแปรเปลี่ยนในฉับพลัน เขารีบวิ่งออกจากทางเดินโดยไม่คิดอะไรทั้งสิ้น กลับมายังห้องโถง ห่างไปจากตำแหน่งเดิม
ทว่าเพิ่งจะก้าวเท้าไปได้เพียงสองก้าวเขาก็จามออกมา
เป็นการจามอย่างรุนแรงและต่อเนื่องไม่หยุดจนเขาต้องก้มตัวงอ ทำอะไรต่อไม่ได้
ปลายจมูกเขากลายเป็นสีแดงน่าขบขันอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นภาพนี้ เจี่ยงไป๋เหมียนก็เข้าใจได้ในทันที
สิ่งที่โอดิคสละไปนั้นเกี่ยวข้องกับจมูกและการดมกลิ่น
เขาแพ้น้ำส้มสายชู และแพ้อย่างรุนแรงมากด้วย!
นี่ทำให้เจี่ยงไป๋เหมียนนึกถึงตอนที่ได้พบกับโอดิคครั้งแรก
เขามีท่าทางเยือกเย็นไว้ตัว ทว่าปลายจมูกกลับแดงเหมือนตัวตลกในคณะละครสัตว์
ในตอนนั้นซางเจี้ยนเย่าพูดว่าจมูกโด่งไม่ใช่เรื่องดี พอโดนลมหนาวแล้วจมูกจะแดงง่าย
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ในวันนั้นโอดิคคงจะเดินผ่านถนนใต้เลยทำให้ได้กลิ่นน้ำส้มสายชูมานิดหน่อยจนจามบ่อย
‘บาทหลวง’ รู้ถึงสิ่งที่เขาสละไปได้อย่างแม่นยำ จึงเตรียมการล่วงหน้าเพื่อรับมือนักล่าฝีมือดีผู้ซึ่งไม่กลัวผู้ตื่นรู้หน้าไหน จัดการพันธนาการเขาไว้ในช่วงจังหวะหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญที่สุด
เหตุผลที่เขาไม่ได้โปรยน้ำส้มสายชูไปทั่วห้องโถงก่อนหน้านี้เพราะว่านั่นจะทำให้โอดิคเข้าไปไม่ได้
ในเสี้ยวพริบตานั้นเจี่ยงไป๋เหมียนเลือกที่จะถอยทันที
เธอวิ่งสุดฝีเท้าแล้วกลิ้งม้วนตัวจนมาถึงประตูที่ใกล้ที่สุด
นี่ไม่ใช่เพราะเธอจะทอดทิ้งซางเจี้ยนเย่า แต่ต้องการให้ตัวเองทิ้งระยะห่างโดยเร็วที่สุด เพื่อไม่ให้ตกอยู่ในอิทธิพลของพลังพิเศษผู้ตื่นรู้ของ ‘บาทหลวง’
ขอเพียงเธอไม่ถูกควบคุม ระยะเพียงเท่านี้ก็เป็นแค่ระยะกลางๆ สำหรับเธอเท่านั้น สามารถยิงร้อยนัดเข้าเป้าร้อยนัด
แต่วินาทีถัดมาขาของเธอก็พลันแข็งทื่อจนทำให้เกือบล้มลงไป
‘บาทหลวง’ เดินล้วงกระเป๋าข้างหนึ่งออกมาจากห้องที่ซ่อนตัวเมื่อก่อนหน้านี้ พูดเจือรอยยิ้ม
“ไร้ประโยชน์น่า
“อาคารทั้งหลังนี้อยู่ในระยะขอบเขตพลังของฉัน
“ก่อนหน้านี้ที่ฉันเข้าไปใกล้ๆ ก็เพราะต้องการจะควบคุมโอดิคแค่นั้นแหละ”
ใบหน้าซีดเซียวของเขาภายใต้สภาพแวดล้อมเช่นนี้ยิ่งทำให้ดูเหมือนป่วยหนักมากขึ้นไปอีก
ซางเจี้ยนเย่าในตอนนี้ยังไม่ได้เคลื่อนไหว นั่นเป็นเพราะกำลังฝืนยื้อต่อต้านมือตัวเองอยู่
หากไม่ใช่เป็นเพราะว่าใช้ ‘พันธนาการมือ’ ได้ทันเวลา เกรงว่าเขาคง ‘ฆ่าตัวตาย’ สำเร็จไปแล้ว
ในระหว่างนี้เขาก็ยังโอนถ่ายผลของพลังพิเศษไปที่เจี่ยงไป๋เหมียนด้วยเป็นครั้งคราวเพื่อป้องกันไม่ให้เธอทำ ‘อัตวินิบาตกรรม’
‘บาทหลวง’ ต้องสลับหมุนเวียนเปลี่ยนเป้าหมายอย่างต่อเนื่องเพื่อควบคุมศัตรูในสถานการณ์หนึ่งรุมสอง
นี่จึงทำให้เขาไม่สามารถสั่งการที่เฉพาะเจาะจงมากกว่านั้นได้ อย่างเช่นทำให้เจี่ยงไป๋เหมียน ‘เดิน’ ไปที่ผนังห้องแล้วเอาหัวโขกผนังเพื่อฆ่าตัวตาย
ซางเจี้ยนเย่าด้านหนึ่งก็คอยจับตาสถานการณ์ของตนเองกับเจี่ยงไป๋เหมียนเพื่อใช้พลังพิเศษอย่างต่อเนื่อง อีกด้านหนึ่งก็หัวเราะออกมาด้วยความตื่นเต้น
“ตัวร้ายมักตายเพราะพูดมาก แกไม่รู้หรือไง”
‘บาทหลวง’ ซึ่งสวมเสื้อเทรนช์โค้ทสีดำและดูเหมือนเพิ่งฟื้นตัวจากการป่วยหนักคลี่ยิ้มออกมา
“ฉันพูดมากก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ได้ทำอย่างอื่นไปด้วยสักหน่อย
“ในตอนที่กำลังใช้พลังพิเศษอย่างหนึ่งอยู่นั้นจะไม่สามารถใช้พลังอย่างที่สองได้ นอกเสียจากว่าจะเข้าสู่ ‘ทางเดินแห่งจิต’ ไปแล้ว หรือไม่ก็ได้รับ ‘สิ่งของ’ พิเศษบางอย่างมา
“ในฐานะผู้ตื่นรู้ แกน่าจะเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี ในตอนนี้แกไม่สามารถใช้พลังอย่างอื่นได้อีกแล้ว”
พูดอีกอย่างก็คือในตอนนี้ ‘บาทหลวง’ ไม่มีอะไรให้หวั่นเกรงอีกแล้ว
‘บาทหลวง’ เหลือบมองซ้ายขวาอย่างยิ้มแย้ม
“ฉันยังมีคนรับใช้อยู่อีกสองคน”
เมื่อพูดขาดคำก็มีคนเดินออกมาจากทางเดินฝั่งละคน พวกเขาเร่งฝีเท้าเข้ามา เผยให้เห็นรูปลักษณ์ของตนเอง
คนหนึ่งสวมหมวกแก๊ป คิ้วตั้งราวดาบ หน้าตาดูดี เพียงแต่ดวงตาให้ความรู้สึกว่ายังลืมตาไม่เต็มที่ ส่วนอีกคนนั้นมัดผมเอาไว้ ใบหน้าอ่อนเยาว์ ท่าทางอ่อนโยน ที่คิ้วมีไฝเม็ดหนึ่ง
เหลยอวิ๋นซง! หลินเฟยเฟย!
พวกเขาที่หายตัวไปเกือบสองเดือน ดวงตาเขาค่อนข้างว่างเปล่าเลื่อนลอย พวกเขาต่างยกปืนขึ้นมาเล็งที่ซางเจี้ยนเย่ากับเจี่ยงไป๋เหมียนตามลำดับ
ในตอนนี้รอยยิ้มของ ‘บาทหลวง’ ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
“อ้อ ใช่ มีอีกเรื่องที่ลืมบอกพวกแกไป
“ฉันไม่ได้เดินรอบเมืองเพื่อขยายผลของพิธีกรรมสะกดจิตหรอกนะ
“กำลังเสริมที่พวกแกกำลังรออยู่ คงจะมาไม่ทันเวลาแล้วล่ะ”
* * * * *
ในระหว่างที่โอดิค ซางเจี้ยนเย่า และเจี่ยงไป๋เหมียน กำลังขับรถตามรอย ‘บาทหลวง’ ไปทางเหนือนั้น เหล่าคนเร่ร่อนแดนร้างที่นอกกำแพงเมือง ซึ่งกำลังคุกเข่าอยู่หรือไม่ก็นั่งนิ่งราวกับซากศพที่สูญเสียจิตใจไปแล้ว
มันเป็นวันที่หนาวจับขั้วหัวใจ เหมือนหิมะจะตกลงมาได้ทุกขณะ คนที่ออกมาจากเมืองก็มีเพียงน้อยนิด คนที่อยากจะซื้อทาสหรือขยะสารพัดสารพันก็ได้ไปจนพอกับความต้องการแล้ว
ชายคนหนึ่งซึ่งไม่ได้โกนหนวดโกนเครามานานขนาดไหนไม่ทราบ นั่งอยู่ข้างหลุมที่ขุดไว้ เหม่อมองดูลูกเมียที่ใกล้หมดสติเพราะความหิวโหย
แล้วตอนนี้ก็มีชายสวมเสื้อคลุมผ้าฝ้ายขาดๆ เดินเข้ามา เขาดูสกปรกมอมแมม หนวดเคราเต็มหน้า
“อาไฉ พวกเราต้องหาวิธีกันแล้ว” ชายคนนี้พูดกับเพื่อนที่อยู่ข้างหลุม
อาไฉค่อยๆ หันหน้าไปมอง
“หลี่โถว ยังจะมีวิธีไหนอีก”
เขาพูดด้วยเสียงอ่อนระโหย
หลี่โถวคลี่ยิ้มอัปลักษณ์ออกมา
“บุกเข้าไป! ทุกคนบุกเข้าไปพร้อมๆ กัน!
“หากไม่รีบบุกเข้าไป ถ้าหิมะตกมาเมื่อไหร่พวกเราก็คงไม่รอด แต่ถ้าบุกเข้าไป อย่างน้อยก็ยังพอมีโอกาสรอด!”
“แล้วจะบุกเข้าไปได้ยังไง ก่อนหน้านี้ก็ใช่ว่าพวกเราจะไม่เคยลองทำกันเสียหน่อย…” อาไฉมองดูลูกเมีย รู้สึกหวั่นไหวอยู่บ้าง
หลี่โถวกล่าวอย่างเคร่งขรึม
“ตอนนั้นพวกเราใจร้อนเกินไป โหดเหี้ยมน้อยไป
“พวกเราต้องปะปนเข้าไปในกลุ่มที่อยู่ใกล้ประตูเมืองก่อน แล้วหาโอกาสฆ่าพวกยามเฝ้าประตูซะ จากนั้นก็เรียกให้ทุกคนบุกเข้าไปพร้อมๆ กัน!
“ไม่ว่าบนกำแพงจะมีปืนมากเท่าไหร่ มีกระสุนมากแค่ไหน แต่จะมีมากกว่าคนทางเรางั้นเหรอ”
ขณะที่พูดเขาก็เลิกเสื้อขึ้นมา เผยให้เห็นปืนลูกโม่เก่ากระบอกหนึ่ง
“แกไม่ได้ขายปืนนี้ไปหรอกเหรอ” อาไฉแปลกใจเล็กน้อย
หางตาของหลี่โถวกระตุก
“อาจเป็นเพราะพวกนั้น ‘กิน’ กันจนอิ่มแปล้แล้ว ช่วงนี้ก็เลยไม่มีใครออกมาซื้ออะไรอีก เฮ้อ ถึงอยากขายก็ไม่มีคนมาซื้อ
“ฉันรู้ว่ายังมีคนอีกเพียบที่ต้องเจอสถานการณ์แบบนี้ ถ้าพวกเรารวมตัวกัน ก็มีปืนหลายสิบหลายร้อยกระบอกแล้ว ยังจะกลัวว่าบุกเข้าไปไม่ได้อีกเหรอ
“นี่อาจจะเป็นโชคชะตา”
“ไม่รู้ว่าจะต้องมีคนตายมากน้อยขนาดไหน…” อาไฉค่อยๆ ลุกขึ้นยืน
“ยังจะกลัวอะไร ทุกคนอาจไม่รอดคืนนี้ไปได้ด้วยซ้ำ ยังจะกลัวตายกันอีกหรือไง” สีหน้าของหลี่โถวหมองหม่น “ถ้าบุกเข้าไปไม่ได้ งั้นพวกเราค่อยไปคฤหาสน์แถวๆ นี้ พวกเขาคนน้อย ปืนน้อย แต่อาหารเยอะ ถ้านู่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ทำ งั้นแกจะรอให้ตายกันให้หมดก่อน แล้วค่อยเอามากินให้พุงกางหรือไง
“อาไฉ ฉันเองก็ไม่ได้อยากจะให้เป็นแบบนี้หรอกนะ นี่เป็นเพราะสวรรค์บัดซบ! หรือแกอยากจะเห็นอาซิ่วกับเทียนหนิวของแกหิวตาย แกจะรอจนกว่าพวกเขาจะทนไม่ไหว แล้วค่อยเอาลูกมาแลกกันกิน ฉันกินเทียนหนิวของแก แกก็กินเสี่ยวเอ้อร์เฮยของฉัน ถ้าคิดแบบนี้แกก็ไม่ต้องเข้าร่วมก็ได้”
สีหน้าของอาไฉเปลี่ยนไปเล็กน้อย ค่อยๆ กลายเป็นโหดเหี้ยมขึ้นมา
“ก็ได้ ฉันเอากับแกด้วย!
“ถ้าต้องตาย ก็จะได้หมดเรื่องหมดราว!”
หลี่โถวพูดอย่างพอใจ
“โทรโข่งแตกๆ ของแกอันนั้น ยังไม่ได้ขายไปใช่ไหม”
“ยัง” อาไฉส่ายหน้า “มันยังใช้ได้”
“ดี งั้นเอามาให้ฉัน ฉันอยากให้ทุกคนได้ยินฉันชัดๆ” หลี่โถวสูดหายใจเข้าช้าๆ แล้วผ่อนออก “พูดตามตรงนะ ถ้าทุกคนไม่ร่วมใจกันเป็นหนึ่งเดียว ก็มีหวังตายกันหมดแหง!”
อาไฉไม่ได้คัดค้านอะไร เขาถามขึ้นอย่างกระตือรือร้น
“อยากได้อะไรจากฉันอีกไหม
“ยังจะไปหาใครเพิ่มอีกหรือเปล่า”
“ไม่มีแล้วล่ะ ฉันติดต่อกับคนกลุ่มแรกไว้แล้ว” เมื่อพูดจบ หลี่โถวก็หันหน้าไปมองประตูเมืองด้านข้าง
สายตาเขาค่อยๆ ทวีความดุร้ายออกมา ดวงตามีสีแดงจางๆ
อาไฉและคนมากมายบริเวณนั้นต่างก็มองด้วยสายตาแบบเดียวกัน