บนชั้นสองของสมาคมนักล่า ในห้องทำงานของประธานสมาคมซึ่งมีผู้คุ้มกันติดอาวุธสี่นาย
หลังจากได้ยินเสียงระเบิดดังมาจากถนนเหนือ สวี่ลี่เหยียนก็ยกหูโทรศัพท์สีดำขึ้นมารับสาย ฟังผู้ใต้บังคับบัญชารายงานสถานการณ์ที่ส่งมาจากโดรนตรวจการณ์
เขายังไม่ทันได้สั่งการอะไรลงไป เสียงปืนยิงกันอย่างดุเดือดก็พลันปะทุขึ้นมาจากทางประตูเมืองทิศใต้
นี่ทำให้เขาขมวดคิ้วขึ้นตามสัญชาตญาณเพราะเกิดลางสังหรณ์ไม่ดี
สวี่ลี่เหยียนอดทนรออยู่ครู่หนึ่ง พนักงานปลายสายก็เปลี่ยนคนแล้วรายงานเหตุฉุกเฉินซึ่งเกิดจากการจลาจลของพวกคนเร่ร่อนแดนร้างที่ต้องการบุกเข้าเมือง
“นี่คือสถานการณ์ที่ ‘บาทหลวง’ ต้องการงั้นหรือ” สวี่ลี่เหยียนวางสายแล้วพูดพึมพำกับตัวเอง จากนั้นก็โทรออกไปหาผู้บัญชาการสูงสุดของกองกำลังป้องกันเมือง
เขาสั่งการด้วยสีหน้าเย็นชา
“ระดมกองกำลังหลักเดี๋ยวนี้ ขับไล่พวกคนเร่ร่อนออกไปให้ได้ ไม่ต้องสนใจว่าจะมีคนตายเท่าไหร่”
หลังจากออกคำสั่งเสร็จ เขาก็โทรหาลูกน้องที่ไว้ใจได้ซึ่งรับผิดชอบควบคุมยามของคฤหาสน์เจ้าเมือง
“แบ่งกำลังคนเป็นสองชุด ชุดแรกนำอาวุธหนักไปที่โรงพยาบาลเมืองหญ้าไพรแห่งที่หนึ่งเพื่อช่วยโอดิคจัดการกับ ‘บาทหลวง’ ชุดหลังให้รวมตัวกันที่ชั้นล่าง คุ้มกันฉันกลับไปคฤหาสน์เจ้าเมือง”
คฤหาสน์เจ้าเมืองมีป้อมปราการถาวรและบังเกอร์ใต้ดิน มันปลอดภัยกว่าอาคารเก่าๆ ของสมาคมนักล่าไม่รู้กี่เท่า
ยิ่งกว่านั้น ถ้าหากการจลาจลรุนแรงขึ้น และ ‘บาทหลวง’ ฝ่าวงล้อมออกมาได้ ทำให้ยากจะควบคุมสถานการณ์ได้ในเวลาอันสั้น เขาก็ยังสามารถเดินทางภายใต้การคุ้มกันของยามคฤหาสน์ ผ่านออกไปทางประตูเมืองทิศเหนือซึ่งใกล้กว่าและปลอดภัยกว่า เพื่อกลับไปยังที่ดินของตระกูล หรือไม่ก็ลี้ภัยไปอยู่เมืองอื่น
หลังจากสั่งการเรื่องเหล่านี้เสร็จแล้ว สวี่ลี่เหยียนก็ลุกขึ้นเดินไปที่ประตูพร้อมกับผู้ติดตามซึ่งอยู่ในชุดคลุมมีฮู้ดคลุมศีรษะ
เจ้าหน้าที่ติดอาวุธสี่นายด้านนอกผละจากกันแล้วเข้าประจำตำแหน่งเพื่อป้องกันการโจมตีจากทิศทางต่างๆ
แต่แล้วจู่ๆ สวี่ลี่เหยียนก็รู้สึกคันที่หลังมือซ้ายขึ้นมา
เขายื่นมือขวามาเกาที่หลังมือซ้ายสองสามครั้งโดยไม่รู้ตัว
ทว่าอาการคันนั้นไม่ได้หายไป กลับทวีความรุนแรงมากขึ้นอีก
สวี่ลี่เหยียนรู้สึกกระวนกระวายและออกแรงเกามากยิ่งขึ้น
ที่หลังมือปรากฏเป็นรอยข่วนสีแดงทันที
เกือบในเวลาเดียวกัน อาการคันจนยากจะทนทานก็เกิดขึ้นที่หลัง หน้าอก ต้นขา ใบหน้า และทุกตำแหน่งของร่างกายไม่ว่าจะอยู่ในหรือนอกร่มผ้าก็ตามที
เขายิ่งเกาก็ยิ่งคัน พอยิ่งคันก็ยิ่งอยากเกามากขึ้น เพียงแค่ไม่กี่วินาทีก็รู้สึกราวกับมีมดนับหมื่นคลานไต่ยั้วเยี้ยอยู่ทั่วร่างจนอยากจะถอดเสื้อผ้าออกให้หมด แล้วนั่งเกาเสียให้พอใจ
ไม่ใช่เพียงแค่ตัวเขาเท่านั้น แม้แต่เจ้าหน้าที่ติดอาวุธทั้งสี่นายต่างก็มีปฏิกิริยาเช่นเดียวกัน จนกระทั่งไม่อาจจะถือปืนไว้ได้อีกต่อไปแล้ว รู้สึกเพียงอยากจะเกาอย่างเดียวเท่านั้น
แคร้ง! แคร้ง! แคร้ง!
ปืนโลหะร่วงหลุดจากมือหล่นลงบนพื้นแล้วกระเด้งกระดอนไปสองสามครั้ง
ผู้เดียวที่ไม่ได้ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวก็คือคนลึกลับที่อยู่ภายใต้เสื้อคลุม
“หือ…” เสียงที่เจือความประหลาดใจดังออกมาจากห้องที่สุดทางเดิน
จากนั้นก็มีคนเดินออกมา
เป็นหญิงสาวคนหนึ่ง เธอมีผมยาวสีทอง ดวงตาสีฟ้า ผิวดูหยาบ ใบหน้ามีรูขุมขนกว้าง ดูมีเสน่ห์เป็นอย่างมาก
เธอผู้นี้ก็คือรองประธานสมาคมนักล่าท้องถิ่น คริสติน่า!
“คุณไม่รู้สึกคันบ้างเลยเหรอ” เธอมองดูผู้ติดตามลึกลับของสวี่ลี่เหยียน แล้วถามด้วยความสงสัย
ในขณะที่เธอพูดอยู่ก็มีบุคคลสามคนเดินลงมาจากบันไดใกล้ห้องทำงานของประธานสมาคม
พวกเขาบางคนถือปืนพก บ้างก็ถือปืนกลมือ ‘คอสั้น’ สายตาพวกเขาจับจ้องไปที่สวี่ลี่เหยียนที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาเกาไม่หยุดมือ
ในบรรดาสามคนนั้น คนหนึ่งเป็นหญิงสาวสูงราว 165 เซนติเมตร ใบหน้าราวกับเด็กน้อย ส่วนอีกสองคนเป็นชาย หนึ่งนั้นรูปหล่อองอาจกำยำ อีกหนึ่งกร้านลมกร้านแดด
พวกเขาก็คือสมาชิกที่เหลืออีกสามคนของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ซึ่งหายตัวไปก่อนหน้านี้
เว่ยอวี้ หลูจี้ฉี อวิ๋นเฮ่อ!
ตอนนี้บุคคลลึกลับในเสื้อคลุมที่มีฮู้ดคลุมศีรษะก็ก้าวขึ้นหน้าในแนวเฉียง ยืนขวางระหว่างสวี่ลี่เหยียนกับผู้โจมตีทั้งสามคนที่ด้านหลัง
ท่ามกลางเสียงดังเคร้งคร้างเป็นชุด ร่างของบุคคลลึกลับถูกห่ากระสุนกระหน่ำยิงใส่อย่างไม่ยั้ง เกิดประกายไฟวูบวาบ ทว่ามีเพียงเสื้อผ้าของเขานั้นที่เสียหาย แต่ไม่มีเลือดแม้แต่หยดเดียว
เสียงดับพรึ่บ บุคคลลึกลับสะบัดเสื้อคลุมออก เผยให้เห็นร่างสูงใหญ่ที่เป็นโครงโลหะสีดำสนิทกับชิ้นส่วนจักรกลสารพัด ดูน่าเกรงขามเป็นอย่างมาก
เขายกมือข้างหนึ่งขึ้นมาประนม และสวดนามพระพุทธเจ้าอย่างไม่เร่งรีบ
“นโม อนุตตรสัมมาสัมโพธิ หลวงจีนยากไร้ไม่มีความรู้สึกเช่นนั้นอีกแล้ว
“แต่ถึงแม้ว่าอาตมาจะรู้สึกคัน ก็ยังสามารถอดทนอดกลั้นได้ เฉกเช่นการเผชิญกับภาพลวงตา”
นี่คือการตอบคำถามเมื่อครู่ของคริสติน่า
เขาเป็นหลวงจีนจักรกลอย่างแท้จริง หลวงจีนจักรกลซึ่งอาศัยอยู่ในแดนร้างผืนนี้
คริสติน่าเลิกคิ้ว
“แล้วถ้าฉันเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นแทนล่ะ
“หวังว่าท่านจะทำให้ฉันสมหวังนะ”
วินาทีถัดมา สวี่ลี่เหยียนกับผู้คุ้มกันทั้งห้าก็พบว่าอาการคันคะเยอทั่วร่างค่อยๆ ลดน้อยถอยลง
ส่วนดวงตาที่เป็นไฟกะพริบสีแดงของหลวงจีนจักรกลพลันสว่างโร่ขึ้นมาราวกับหยาดโลหิต
“ตัณหาปะทุงั้นหรือ… ที่แท้สีกาก็เป็นผู้ตื่นรู้ ผู้ตื่นรู้ที่ศรัทธาในผู้ครองกาลมันดาระ” หลวงจีนจักรกลพูดพึมพำกับตัวเองประโยคหนึ่ง จากนั้นก็ประนมสองมือ พูดอย่างสงบนิ่ง “สีกา… หลวงจีนยากไร้ผู้นี้มิใช่พวกศิษย์น้องจิ้งฝ่าที่ยากจะอดกลั้นควบคุมตัวเอง”
ในระหว่างที่เขากำลังพูดอยู่นี้ สวี่ลี่เหยียนกับผู้คุ้มกันทั้งห้าก็ไปหลบหลังที่กำบังแล้ว กำลังยิงต่อสู้กับเว่ยอวี้ หลูจี้ฉี และอวิ๋นเฮ่อ
หลวงจีนจักรกลยืนอยู่ท่ามกลางดงกระสุน ถูกลูกหลงเข้าไปหลายนัด ทว่าเขายังคงยืนนิ่งราวกับอยู่ท่ามกลางฝนตกหนักแค่นั้น
คริสติน่าท้าวสะโพกและโค้งคำนับเล็กน้อย
“แต่ฉันก็เห็นว่าท่านเองก็ได้รับผลกระทบเหมือนกันนะ”
เธอมีรอยยิ้มฉาบอยู่บนใบหน้า บังเกิดเป็นบรรยากาศศักดิ์สิทธิ์ชนิดหนึ่ง
“มันดาระสถิตอยู่ในใจเราท่าน”
“สีกา… ทุกสิ่งในโลกล้วนเป็นเพียงมายา ความปรารถนาก็เช่นกัน หากสีกาปล่อยตัวปล่อยใจไปตามแรงปรารถนา ติดเสพสุขทางกาย ก็จะหลงมัวเมาไปกับมัน กลายเป็นเพียงสัตว์เพศเมียบนโลกมนุษย์เท่านั้น” เสียงสังเคราะห์ของหลวงจีนจักรกลนั้นมีความรู้สึกแห่งจิตเมตตาแผ่ออกมา
เขาประนมมืออีกครั้งแล้วพูดอย่างเคร่งขรึม
“สังสารวัฏหกทาง วิถีเดรัจฉาน”
เมื่อเสียงของหลวงจีนจักรกลขาดคำลง คริสติน่าก็เห็นภาพเลือนลางของสัตว์ป่าจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น
มีทั้งหมาป่า เสือ ไฮยีน่า และหมูป่า พวกมันทุกตัวต่างมองมาที่เธอด้วยดวงตาสีเขียว
ภายใต้การจับจ้องนี้ การรับรู้ตัวตนของคริสติน่าก็พลันเปลี่ยนไปในทันที
เธอพบว่าตัวเองกลายเป็นหมาป่าตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ ทั้งตัวปกคลุมไปด้วยขนหนาทึบสีเทาแก่ มีหางที่ราวกับฟางหญ้าห้อยอยู่
เธอรู้สึกตื่นตระหนกบางส่วน มึนงงบางส่วน อยากจะพูดอะไรออกมา ทว่าสามารถเปล่งได้แค่เพียงเสียงของสัตว์ป่าเท่านั้น
“อะวู้…”
จากสายตาของสวี่ลี่เหยียนที่มองดู เขาเห็นคริสติน่ากับผู้โจมตีอีกสามคนจู่ๆ ก็หมอบลงกับพื้นด้วยท่าทางประหลาด พวกเขาก้มลงไปคลานสี่ขาแล้วทำเสียง “อะวู้”
ในดวงตาของพวกเขาดูราวกับสูญเสียงแสงแห่งสติปัญญาไปแล้ว
“ฮ่า ฮ่า” สวี่ลี่เหยียนอดหัวเราะออกมาไม่ได้ เขาเดินออกมาจากที่กำบังแล้วพูดด้วยน้ำเสียงหวาดกลัวเจือตื่นเต้นออกมา “พวกแกคิดว่าฉันมีแค่คนคุ้มกันธรรมดา กับ ‘นักล่าชั้นสูง’ ที่จ้างมาจากสมาคมเท่านั้นหรือไง นี่ถ้าไม่เป็นเพราะท่านอาจารย์จิ้งเนี่ยน ฉันจะรู้ได้ยังไงว่ามีคนต้องการลอบสังหาร”
ผู้คุ้มกันทั้งห้าต่างก็หันหน้าไปมองหลวงจีนจักรกลโดยสัญชาตญาณทันที
ถึงแม้ว่าจิ้งเนี่ยนจะไม่ได้สวมชุดหลวงจีนหรือห่มจีวรก็ตาม ทั่วร่างเปลือยเปล่านั้นเป็นโครงโลหะและอาวุธหนักอันทรงพลัง แต่เขาก็ยังคงรักษาท่วงท่าของหลวงจีนชั้นสูงเอาไว้ จากนั้นเขาก็พูดด้วยน้ำเสียงสงบออกมาประโยคหนึ่ง
“หลวงจีนยากไร้มองเห็นตัวตนของตนเอง จึงได้รับอภิญญาที่สำคัญที่สุดมา นั่นก็คือ
“นิมิตพยากรณ์”
ทันทีที่เสียงเขาหายไป เสียงปืนที่ดังมาจากถนนใต้ก็พลันเจือจางลง อาคารทั้งหลังสั่นสะเทือน แตกกระจายออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยราวกับเป็นภาพฝัน
สวี่ลี่เหยียนตัวสั่นสะท้าน พบว่าตนเองนั้นยังนั่งอยู่ในห้องทำงานของประธานสมาคม เพิ่งจะวางหูโทรศัพท์ลง
“อาจารย์เซน เมื่อครู่นี้…” สวี่ลี่เหยียนหันขวับไปมองหลวงจีนจักรกลในเสื้อคุลม จิ้งเนี่ยน
จิ้งเนี่ยนผงกศีรษะก่อนที่เขาจะพูดจบ
“หลวงจีนยากไร้ผู้นี้ก็ถูกดึงเข้าสู่ภาพลวงตาไปต่อสู้กับสีกาคริสติน่าด้วยเช่นกัน
“นี่เหมือนกับพลังพิเศษในเขตพลังของผู้ครองกาลปัจฉิมมรรตัย”
“ปัจฉิมมรรตัย… นี่เป็นผู้ครองกาลที่พวก ‘นิกายทอนปัญญา’ ศรัทธาใช่ไหม ไม่ใช่ว่าพวกมันกำลังอยู่ที่โรงพยาบาลเมืองหญ้าไพรแห่งที่หนึ่งหรอกเหรอ พวกมันยังมีผู้ตื่นรู้คนอื่นอยู่ที่นี่ด้วยงั้นเหรอ” สวี่ลี่เหยียนทั้งตระหนกทั้งโกรธเกรี้ยว เขาลุกขึ้นยืน “ตอนนี้พวกเรายังฟันธงลงไปไม่ได้ว่าคริสติน่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่า ภายในภาพลวงตานั่น สิ่งที่เธอแสดงออกมาเหมือนกับนิกาย ‘ตัณหาศักดิ์สิทธิ์’ ถ้าเธอเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จริงๆ งั้นก็แสดงว่าที่ ‘ปฐมนคร’ มีคนต้องการให้ผมตาย!”
จิ้งเนี่ยนเอ่ยพระนามพระพุทธเจ้าออกมาหนึ่งคำ
“ประสกสวี่ควรรีบออกจากที่นี่โดยเร็ว กลับไปที่คฤหาสน์ก่อนดีกว่า”
ภาพลวงตาหมู่เมื่อครู่นี้ทำให้เขาถูกเปิดเผยตัวตนออกมาแล้ว รวมถึงพลังพิเศษทั้งสองอย่างของเขาด้วย
นี่จึงทำให้เขาเห็น ‘นิมิตพยากรณ์’ ว่ามีอันตรายร้ายแรง
“ได้!” สวี่ลี่เหยียนชักปืนพกออกมาแล้วเดินไปที่ประตู
ผู้คุ้มกันทั้งห้าคนด้านนอกเข้ามาล้อมตัวเขาทันทีประดุจเป็นโล่มนุษย์
พวกเขาพร้อมใช้ร่างกายตนเองในการรับลูกกระสุนแทน
ขอเพียงเจ้าเมืองไม่ตาย ครอบครัวของพวกเขาย่อมได้รับการดูแลที่เหมาะสมที่สุดอย่างแน่นอน
“หลังจากนี้ให้ยกระดับการเฝ้าระวังเป็นขั้นสูงสุด” สวี่ลี่เหยียนสั่งการ
“ทราบแล้ว เจ้าเมือง!” หนึ่งในผู้คุ้มกันตอบรับ
แล้วเขาก็พูดเสริมอีกหนึ่งประโยค
“พวกเราเองก็ถูกดึงเข้าไปในภาพลวงตาด้วย รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”
สวี่ลี่เหยียนมองดูผู้คุ้มกันคนนี้ เห็นว่าเขาดูเหนื่อยล้า มีรอยคล้ำใต้ตา เบ้าตาค่อนข้างลึก
“อืม” สวี่ลี่เหยียนผงกศีรษะ “ไว้รอให้เรื่องนี้จบลงเมื่อไหร่ ฉันจะให้รางวัลอย่างงามแน่นอน!”
แต่แล้วในตอนนี้นี่เอง แสงเรืองสีแดงในดวงตาของจิ้งเนี่ยนก็พลันเข้มข้นขึ้น
ชิปสนับสนุนในตัวเขาบอกมาว่า
ก่อนหน้านี้มีผู้คุ้มกันเพียงแค่สี่คนเท่านั้น
ส่วนจิตสำนึกของเขาเชื่อว่า
ผู้คุ้มกันมีทั้งหมดห้าคนมาตั้งแต่แรกแล้ว ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ!
ไม่ดีแล้ว… อารมณ์ของจิ้งเนี่ยนดิ่งลง คิดจะใช้ ‘วิถีเดรัจฉาน’ ซึ่งมีระยะขอบเขตกว้างสุดใส่ทุกคนที่นี่ทันที
ทันใดนั้นเอง ผู้คุ้มกันทั้งห้าคนต่างก็ยกปืนขึ้นพร้อมกัน เล็งมาที่สวี่ลี่เหยียน
พวกเขาเหล่านี้ มีอยู่สี่คนที่แววตามึนงงและไร้ชีวิตชีวา ราวกับว่าที่พวกเขากำลังเผชิญหน้าอยู่นั้นไม่ใช่เจ้าเมือง แต่เป็นศัตรูคู่แค้นที่ไม่อาจอยู่ร่วมฟ้า
พวกเขาต่างก็เหนี่ยวไกปืนโดยไม่รีรอหรือลังเลใดๆ ทั้งสิ้น
ปัง! ปัง! ปัง!
ประกายไฟพวยพุ่งออกจากปากกระบอกปืนทั้งห้า ห่ากระสุนสาดเข้าใส่สวี่ลี่เหยียน