ระหว่างทางไปสถานที่คุมขัง ‘บาทหลวง’ ตัวปลอม ซางเจี้ยนเย่าก็พูดออกมา
“เขานี่มันเจ้าเล่ห์จริงๆ เห็นชัดๆ ว่าอยากได้จนตัวสั่น แต่ยังทำเป็นพูดว่าจะพิจารณาดู”
‘เขา’ ในที่นี้หมายถึงเจ้าเมืองหญ้าไพร สวี่ลี่เหยียน
เจี่ยงไป๋เหมียนเหลือบมองซางเจี้ยนเย่า
“ก็เป็นเรื่องปกติแหละ ถ้าตอบตกลงเร็วเกินไปก็เหมือนเป็นของไร้ราคา”
“เป็นพี่น้องกันก็ควรจริงใจหน่อยสิ” ซางเจี้ยนเย่าแย้ง
เจี่ยงไป๋เหมียนใช้ตรรกะของเขามาอธิบาย
“นายกับเขาเป็นพี่น้องกันก็ไม่ได้หมายความว่าบริษัทกับเขาเป็นพี่น้องกันสักหน่อย”
เดิมทีเจี่ยงไป๋เหมียนอยากจะหยอกเขาว่า ‘นอกจากนายจะมีความสามารถทำให้คณะบริหารทุกคนกลายเป็นพี่น้องได้ นั่นก็ถึงจะนับว่าบริษัทเป็นพี่น้องกับสวี่ลี่เหยียน’ ทว่าเมื่อพิจารณาถึงข้อที่ว่าซางเจี้ยนเย่าอาจจะทำอะไรแผลงๆ จึงเปลี่ยนใจไม่พูดดีกว่า
ในระหว่างที่คุยกัน พวกเขาก็มาถึงที่คุมขัง และเข้าพบกับคนที่ดูแลรับผิดชอบ
หลังจากแสดงใบอนุญาตของสวี่ลี่เหยียนให้อีกฝ่ายดูแล้ว ทั้งคู่ก็ถูกนำไปยังห้องเล็กๆ ห้องหนึ่ง
พื้นที่หลักของห้องนี้ก็คือแผงควบคุมที่มีหน้าจอแสดงผลจำนวนหลายจอ
ในขณะนี้หน้าจอทั้งหมดแสดงเป็นภาพห้องขนาดเล็กที่มีหนึ่งเตียงหนึ่งเก้าอี้
ภายในห้องมี ‘บาทหลวง’ ตัวปลอมที่ดูป่วยกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้มองดูผนังฝั่งตรงข้าม และดูเหมือนว่าจะมีหน้าจอขนาดใหญ่ติดตั้งอยู่ด้วยเช่นกัน
“เขามีพลังการ ‘สะกดจิต’ ที่แข็งแกร่งมาก พวกคุณทั้งสองอย่าเข้าใกล้จะดีกว่า ใช้การสื่อสารผ่านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แทนเถอะ” ผู้ที่รับผิดชอบอธิบายสั้นๆ ถึงเหตุผลที่ออกแบบห้องคุมขังไว้เช่นนี้
แน่นอนว่าเจี่ยงไป๋เหมียนไม่อาจบอกผู้รับผิดชอบได้ว่าซางเจี้ยนเย่าเองก็เป็นผู้ตื่นรู้ และสามารถผูกมิตรสร้างเพื่อนกับ ‘บาทหลวง’ ตัวปลอมได้ เธอจึงเพียงผงกศีรษะเล็กน้อย
“อย่างนั้นก็ได้”
หลังจากที่เธอกับซางเจี้ยนเย่านั่งลง ผู้รับผิดชอบคนนั้นก็ดำเนินการอะไรบางอย่าง จากนั้นภาพบนหน้าจอแต่ละหน้าจอก็เชื่อมต่อเข้าด้วยกันกลายเป็นภาพเดียวขนาดใหญ่
นี่ทำให้ผู้คนรู้สึกว่ามีเพียงแค่แผ่นแก้วบางๆ ที่ขวางกั้นไว้ระหว่างพวกเขาทั้งสองฝั่ง
จากนั้นบานประตูของห้องเล็กก็เปิดออกและมีหุ่นจักรกลโลหะสีเทาเงินเดินเข้าไป แล้วกดสวิทช์ที่หน้าจอของ ‘บาทหลวง’ ตัวปลอม
เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้ไม่อาจ ‘สะกดจิต’ เครื่องจักรได้
พลังของเทคโนโลยี… เจี่ยงไป๋เหมียนทอดถอนใจ
ไม่นานนัก ‘บาทหลวง’ ปลอมก็มองเห็นสถานการณ์ภายในห้องเฝ้าระวังผ่านหน้าจอในห้องตน
“พวกคุณนั่นเอง” ชายป่วยผู้นี้เอนหลังพิงเก้าอี้พูดอย่างสงบออกมาหนึ่งประโยค
เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้มขึ้นทันที
“คุณดูใจเย็นดีนี่”
‘บาทหลวง’ ปลอมเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย
“ในเมื่อมีฉายาว่า ‘บาทหลวง’ ก็ย่อมต้องเตรียมใจสละชีพไว้แล้ว”
น้ำเสียงเขานั้นสงบราบเรียบประหนึ่งว่าตนไม่ใช่ผู้ที่ถูกคุมขัง แต่เป็นเจี่ยงไป๋เหมียนกับคนอื่นๆ ต่างหาก
เจี่ยงไป๋เหมียนรู้ดีว่าคนจำพวกนี้หัวแข็งมาก มีตรรกะที่เข้าข้างตัวเองอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู ถ้าหากถูกพวกเขาควบคุมจังหวะไว้ได้และตกเข้าไปอยู่ในตรรกะนั้นด้วย ก็จะเป็นเรื่องยากที่จะเจาะทะลวงเข้าไปในส่วนลึกของจิตใจเพื่อขุดเอาข้อมูลที่มีค่าออกมาได้
แต่แน่นอนอยู่แล้ว ถ้าหากขุดออกมาไม่ได้จริงๆ ก็ยังสามารถขอความช่วยเหลือจากโอดิค หนึ่งในสมาชิกของ ‘ภาคีภราดรภาพแห่งซางเจี้ยนเย่า’ ได้
เพียงแต่อาจจะยุ่งยากไปบ้างเนื่องจากการชี้นำในความฝันนั้นต้องมีทิศทางที่ชัดเจนและขอบเขตไม่กว้างเกินไป ดังนั้นโอดิคคงต้องเหนื่อยหน่อย ต้องพยายามครั้งแล้วครั้งเล่ากว่าจะได้ข้อมูลที่ต้องการกลับมา
เจี่ยงไป๋เหมียนหันไปด้านข้าง ส่งสัญญาณให้ซางเจี้ยนเย่าถามก่อน
นี่ก็คือกลยุทธ์ของเธอ ส่งซางเจี้ยนเย่าผู้ไม่ยอมเล่นตามกติกาออกไปป่วนจังหวะของฝ่ายตรงข้ามก่อน
ซางเจี้ยนเย่าถามอย่างไม่ลังเล
“ศีลของ ‘นิกายทอนปัญญา’ ของพวกคุณคืออะไร”
สีหน้าเขาค่อนข้างเป็นจริงเป็นจังประหนึ่งว่ากำลังถามคำถามที่สำคัญมาก
‘บาทหลวง’ ปลอมตะลึงไปชั่วขณะ รู้สึกว่าจังหวะที่ตนพยายามสร้างขึ้นนั้นกระทบเข้ากับความว่างเปล่า
แต่คำถามนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่สลักสำคัญอะไร ดังนั้น ‘บาทหลวง’ ปลอมจึงตอบออกมาอย่างไม่ได้ใส่ใจ
“ข้าวต้ม รากบัวผง ไข่ตุ๋น ของพวกนี้เป็นอาหารย่อยง่าย”
“พวกคุณทำเหมือนตัวเองเป็นทารกงั้นเหรอ” ซางเจี้ยนเย่าถามต่อทันที
‘บาทหลวง’ ตัวปลอมตะลึงไปอีกครั้ง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบออกมา
“สัญชาตญาณของมนุษย์นั้นมีมาตั้งแต่เกิด เป้าหมายของพวกเราคือปล่อยให้คนส่วนมากใช้เพียงแค่สัญชาตญาณกับประสบการณ์เท่านั้น”
“ศีลมหาสนิทเช่นนี้จึงดีต่อทารก ผู้ใหญ่ก็ไม่ได้รู้สึกอิ่มท้อง สามารถรับรู้ความรู้สึกเช่นนี้ได้เพียงบางครั้งบางคราวเท่านั้น” ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้สนใจคำตอบของ ‘บาทหลวง’ ปลอมเลยแม้แต่น้อย เขาพูดพึมพำกับตัวเอง “จริงๆ นะ พวกคุณควรจะติดต่อแลกเปลี่ยนความรู้กับสาวกของผู้ครองกาลตุลากรชะตา ให้มากขึ้นอีกหน่อย”
‘บาทหลวง’ ปลอมไม่อาจตามทันกระบวนการคิดของคนผู้นี้ได้เลย จึงตัดสินใจยอมแพ้ หุบปากนิ่งเงียบ
“ผมรู้สึกว่านิกายพวกคุณค่อนข้างเก็บตัวเกินไป ถ้าหากว่าได้ติดต่อสื่อสาร พูดคุยสนทนากันให้บ่อยหน่อย ซึมซับความแข็งแกร่งของกันและกัน นี่จะช่วยดึงดูดให้คนมาศรัทธามากขึ้น อย่างน้อยที่สุด ผมก็จะลองพิจารณาแหละว่าจะเข้าร่วมหรือเปล่า” ซางเจี้ยนเย่าเสนอแนะ
เส้นเลือดที่ขมับของ ‘บาทหลวง’ ปลอมเต้นกระตุกเล็กน้อย พยายามข่มใจไม่ให้ตอบโต้กลับไป
“จะว่าไปแล้วนะ คนในนิกายพวกคุณนี่โง่หรือเปล่า อย่างเช่นคุณเองน่ะ ทั้งๆ ที่พยายามแทบตาย แต่ทุกอย่างที่ทำไปกลับไร้ค่า สุดท้ายก็จบลงด้วยการถูกจับขังอยู่ที่นี่” ซางเจี้ยนเย่าราวกับต้องการจะพูดคุยสนทนาในประเด็นความล้มเหลวของการต่อต้านการศึกษาของ ‘นิกายทอนปัญญา’ กับ ‘บาทหลวง’ ปลอม
‘บาทหลวง’ ปลอมหายใจแรงขึ้นเล็กน้อย ตอบด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก
“นั่นเป็นเพราะคราวนี้โชคไม่ดีต่างหาก ที่ดันมาเจอพวกคุณกับโอดิคจับคู่กัน”
“โชคงั้นเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนถือโอกาสเข้าร่วมวงด้วย เธอพูดด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อคุณรู้อยู่แล้วว่าเหลยอวิ๋นซงกับคนอื่นๆ มาจาก ‘ผานกู่ชีวภาพ’ และเลือกจะใช้พวกเขาเป็นแพะรับบาป คุณก็ควรจะคิดได้ว่า ‘ผานกู่ชีวภาพ’ จะต้องส่งคนมาสืบสวนอย่างแน่นอน และต้องเป็นคนที่แข็งแกร่งอีกด้วย
“ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ที่จริงแล้วคุณควรจะต้องเร่งลงมือให้เร็วขึ้นไม่ใช่หรือไง
“แต่ที่ไหนได้ พวกคุณดันมัวแต่เอ้อระเหย ลากถ่วงมาตั้งเดือนครึ่งกว่าจะเริ่มแผนได้เสียที รอจนกระทั่งพวกเรามาถึง ถามจริงเถอะ พวกคุณเป็นพวกชอบผัดวันประกันพรุ่งเหรอ หรือว่าเป็นพวกที่มีแนวโน้มจะฆ่าตัวตายอย่างไม่รู้ตัว
“แต่ถ้าไม่ใช่อย่างที่บอกมาเนี่ย ฉันก็คงได้แต่เศร้าใจว่านี่คงเป็นเพราะพวกคุณเอาสมองไปทำเป็นเครื่องสังเวยให้ผู้ครองกาลปัจฉิมมรรตัยจนหมดแล้ว”
‘บาทหลวง’ ปลอมสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วพูดอย่างเฉื่อยชา
“ต้องรอให้อากาศเย็นลงอีกหน่อย พวกคนเร่ร่อนแดนร้างจำนวนมหาศาลถึงจะมารวมตัวกัน”
“งั้นพวกคุณก็เปลี่ยนแผนได้ไม่ใช่หรือไง ทำไมต้องไปยึดติดกับแผนเดิมขนาดนั้น เป้าหมายก็แค่ต้องการลอบสังหารสวี่ลี่เหยียน ไม่ใช่จะถล่มเมืองหญ้าไพรสักหน่อย” เจี่ยงไป๋เหมียนทำราวกับเป็นเมนเทอร์ที่กำลังโจมตีจี้จุดอ่อนของความมั่นใจผู้เข้าประกวด
แล้วเธอก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา ถามด้วยรอยยิ้ม
“หรือว่ามีคนปลูกฝังความคิดคุณว่าจะต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้”
‘บาทหลวง’ ตัวปลอมตัวสั่นเล็กน้อย ดวงตาเบิกกว้างอย่างไม่รู้ตัว
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้ให้โอกาส ‘บาทหลวง’ ปลอมหาเหตุผล เธอหัวเราะออกมาคำหนึ่งแล้วก็พูดจี้รุกไล่ต่อ
“คุณรู้หรือเปล่าว่าตอนที่คุณกำลังจัดการกับโอดิคอยู่น่ะ ตอนนั้นสวี่ลี่เหยียนถูกจู่โจมจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด”
“อะไรนะ” สีหน้าของ ‘บาทหลวง’ ปลอมเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน
เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะอย่างมีนัยแฝง จากนั้นก็เล่าเรื่องราวการโจมตีของ ‘บาทหลวง’ ตัวจริง และเป้าหมายที่เขาต้องการ สุดท้ายเธอก็ถามขึ้น
“ถ้าหากว่านี่ไม่ใช่เหตุบังเอิญละก็ ป่านนี้บรรดาขุนนางเมืองหญ้าไพรทั้งหลายคงถูกระเบิดตูมขึ้นสวรรค์ไปแล้ว และกองทัพของ ‘ปฐมนคร’ ก็จะมีข้ออ้างว่าต้องการระงับการจลาจลแล้วเข้ามาประจำการอยู่ในเมืองหญ้าไพร
“เทียบกับแผนคุณแล้ว แผนนี้ไม่บ้าคลั่งกว่าเหรอ ไม่เหนือล้ำจินตนาการกว่าเหรอ ไม่เข้าใกล้ความสำเร็จมากกว่าเหรอ”
‘บาทหลวง’ ปลอมมีสีหน้าหม่นหมอง ก้มศีรษะเล็กน้อย ไม่มีการเคลื่อนไหว ไม่ทราบว่าคิดอะไรอยู่
“เมื่อเทียบกับเขาแล้ว ฉันรู้สึกว่าคุณเหมือนจะเป็น ‘บาทหลวง’ ตัวปลอมนะ” หลังจากเตรียมการมาเป็นชั้นชั้น เจี่ยงไป๋เหมียนก็พูดประโยคนี้ออกมาในที่สุด
สายตาของ ‘บาทหลวง’ ปลอมพลันแข็งทื่อขึ้นมาทันที ร่างกายเริ่มสั่นเทิ้มมากขึ้นเรื่อยๆ
เจี่ยงไป๋เหมียนรุกต่อ
“ฉายาของคนคนนั้น อาจจะเป็น ‘เจ้าใบ้’ หรืออย่างอื่น
“คุณจำได้หรือเปล่าว่าเคยมีใครสักคนมาพูดกับคุณว่า นับจากนี้เป็นต้นไป คุณก็คือ ‘บาทหลวง’
“เอ่อ… หรืออะไรทำนองนั้นน่ะ”
รูม่านตาของ ‘บาทหลวง’ ปลอมขยายตัว เหงื่อเย็นเยียบชุ่มหน้าผาก
จากนั้นไม่กี่วินาทีเขาก็ส่งเสียงร้องลั่นราวกับสัตว์ป่า ยกสองมือขึ้นมาปิดหน้า
แล้วเขาก็ลุกขึ้นยืน แสดงความหวาดกลัวออกมาทางสีหน้า
“มี มี มี!” เขาพูดคำว่า ‘มี’ ออกมาสามครั้งติดกัน แต่ละครั้งก็ยิ่งดังขึ้นทุกขณะ
ฟู่… เจี่ยงไป๋เหมียนถอนหายใจเงียบๆ
“ตอนนี้คุณรู้หรือยังว่าตัวเองเป็นใคร”
‘บาทหลวง’ ปลอมที่ถูกทำลายความเย่อหยิ่งไปโดยสิ้นเชิงไม่อาจจัดระเบียบสร้างแนวป้องกันทางจิตวิทยาได้อีกต่อไป เขาทรุดนั่งลงอย่างไร้เรี่ยวแรง
“กัวเจิ้ง… ผมชื่อกัวเจิ้ง
“ผมเป็นสาวกของ ‘นิกายทอนปัญญา’ ถูกคัดเลือกให้รับการุณย์แห่งเทพ และกลายเป็นผู้ตื่นรู้”
เจี่ยงไป๋เหมียนถามแทรกกัวเจิ้งขึ้นทันที
“พวกคุณตื่นรู้โดยอาศัยผู้ครองกาลงั้นเหรอ”
นี่เป็นคำถามที่สำคัญที่สุด
กัวเจิ้งหอบหายใจ
“ถูกต้อง พวกเราถูกคัดเลือกให้เข้าไปในถ้ำมืด มีคำสั่งบอกให้พวกเราแต่ละคนไปหาที่นอนหลับ
“หลังจากที่หลับไปได้ไม่นาน ผมก็เห็น ‘ห้องโถงดารา’”
เจี่ยงไป๋เหมียนถามต่อ
“มีคนที่ถูกเลือกทั้งหมดกี่คน แล้วกลายเป็นผู้ตื่นรู้กี่คน”
“มีคนถูกเลือกเป็นจำนวนมาก ผมไม่ได้นับอย่างละเอียด แต่มีเกินร้อย” กัวเจิ้งนึกทบทวนแล้วพูดออกมา “สุดท้ายคนที่ตื่นรู้มีสี่คน หรือไม่ก็ห้า…”
ในระหว่างที่พูดเขาก็ขมวดคิ้วราวกับกำลังฝืนทนกับความเจ็บปวดบางอย่าง
“คนที่ไม่ได้ตื่นรู้ ได้รับผลกระทบอะไรบ้างหรือเปล่า” เจี่ยงไป๋เหมียนถามอย่างครุ่นคิด
กัวเจิ้งนึกทบทวนอยู่ครู่หนึ่ง
“บางคนเสียสติ บางคนเสียชีวิตทันที บางคนก็ไม่เป็นไร ส่วนใหญ่ก็ประมาณนี้”
เจี่ยงไป๋เหมียนหันหน้าไปมองซางเจี้ยนเย่าแล้วถามด้วยรอยยิ้ม
“แล้วคุณมั่นใจได้ยังไงว่าคนที่ดูเหมือนไม่เป็นไรหรือคนที่เสียสติพวกนั้นไม่ได้ตื่นรู้”
กัวเจิ้งแสดงความหวาดกลัวออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“ในตอนนั้นมีผู้อาวุโสคนหนึ่งของนิกายเป็นประธาน
“เขาสามารถมองดูความทรงจำคนอื่นได้เป็นวงกว้าง ตรวจดูความทรงจำของทุกคนได้พร้อมๆ กัน”
อย่างที่คิดไว้เลย พลังพิเศษของ ‘นิกายทอนปัญญา’ อยู่ในเขตพลังที่เกี่ยวข้องกับความทรงจำและการสะกดจิต… เจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่าชำเลืองมองกันและรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย
นี่คือความตื่นเต้นของการค่อยๆ สืบเสาะจนพบเรื่องราวอย่างกระจ่าง
“ผู้อาวุโสงั้นเหรอ นิกายของพวกคุณแบ่งลำดับชั้นกันยังไง”
กัวเจิ้งสูดหายใจเข้าลึกแล้วค่อยๆ ผ่อนออก
“หัวหน้านิกายคือพระสันตะปาปา แต่ผมไม่เคยเห็นเขา ว่ากันว่าเขาได้เข้าไปสู่โลกใหม่แล้ว กำลังรับใช้พระองค์อยู่ที่นั่น เขารับผิดชอบการนำทางให้กับผู้ถูกเลือกที่เหลืออยู่
“ภายใต้พระสันตะปาปาก็คือ ‘สภาแปดบุรุษ’ มีผู้อาวุโสทั้งหมดแปดคน คอยดูแลภูมิภาคต่างๆ
“ภายใต้อาวุโสคือมุขนายก รับผิดชอบงานเฉพาะด้านต่างๆ ภายใต้มุขนายกคือนักบวช ซึ่งเป็นผู้วางแผนดำเนินการและเผยแพร่หลักคำสอน”
เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะเล็กน้อย
“‘บาทหลวง’ นี่คือระดับไหน”
“ผมเป็นมุขนายก ส่วนเขา… ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน” กัวเจิ้งนึกทบทวนด้วยสีหน้าเจือความเจ็บปวดอยู่บ้าง
เจี่ยงไป๋เหมียนถือโอกาสถามต่อ
“คุณยังจำได้ไหมว่าใครเป็นคน ‘สะกดจิต’ คุณ จำได้ไหมว่าเขาหน้าตาเป็นยังไง”
กัวเจิ้งขมวดคิ้วอีกครั้ง
“ขะ… เขา… เขาเป็นผู้ชาย ไม่ใช่ เขาเป็นผู้หญิง ไม่ใช่ เขาหล่อเหลาองอาจ ไม่ใช่ เขาโกนหัวล้าน…”
“ไม่ ไม่…” ริมฝีปากกัวเจิ้งสั่นระริกพลางกรีดร้องโหยหวนและหวาดกลัว “เขา… เขาดัดแปลงความทรงจำของผม!”