“ดัดแปลงความทรงจำ…” เจี่ยงไป๋เหมียนหันไปมองซางเจี้ยนเย่า พูดทวนคำสำคัญ
เสียงกรีดร้องโหยหวนของกัวเจิ้งทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัวอยู่บ้าง
แต่ความกลัวนั่นไม่ได้เกิดขึ้นเพราะท่าทางและน้ำเสียงของอีกฝ่าย ทว่าเป็นเพราะความทรงจำนั้นเป็นเรื่องส่วนตัวที่สุดและล้ำค่าที่สุดของแต่ละคน หากถูกดัดแปลงแก้ไข ก็เท่ากับว่าจะไม่สามารถแยกแยะจริงเท็จได้อีกต่อไป
หากเป็นเช่นนั้น ก็ไม่แน่ว่าอยู่ดีๆ ก็อาจจะอยากไปเข้าร่วมกับชุมนุมหลวงจีนที่วันๆ เอาแต่พร่ำสวดว่า ‘ธาตุทั้งสี่ล้วนว่างเปล่า’ ‘ฝันลวงตา’ ‘รูปลักษณ์ล้วนเป็นเพียงสิ่งปลอม’ ไม่หยุดหย่อน
ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้มีความหวาดกลัว เขาผงกศีรษะอย่างจริงจัง
“พลังพิเศษของ ‘บาทหลวง’ ก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้นแหละ”
“ก็จริง…” เจี่ยงไป๋เหมียนสงบใจลงพลางถอนหายใจ
เมื่อพิจารณาจากข้อมูลที่มีอยู่ในตอนนี้ พลังพิเศษผู้ตื่นรู้ของ ‘บาทหลวง’ ตัวจริงก็คือ
สะกดจิต ดัดแปลงความทรงจำ และสร้างภาพลวงตาหมู่
เมื่อเทียบกับ ‘บาทหลวง’ ตัวปลอมแล้ว พลังของตัวจริงนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการควบคุมร่างกายหรือเพิ่มความสามารถในการต่อสู้แบบประชิด แต่ทว่ามันกลับทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัวกว่า ลึกลับกว่า และน่าสะพรึงกว่า
ในตอนนี้ ‘บาทหลวง’ ปลอม กัวเจิ้ง หลังจากที่ตะโกนจนพอใจแล้วค่อยสงบลง นั่งหอบหายใจอย่างหนัก
ซางเจี้ยนเย่ามองดูเขาผ่านหน้าจอและยิ้มให้
“ถ้าอย่างนั้นก็มีจุดขัดแย้งอยู่นะ ในเมื่อ ‘บาทหลวง’ ตัวจริงสามารถดัดแปลงแก้ไขความทรงจำของคนอื่นได้ งั้นทำไมถึงไม่ทำให้คุณจำไปเลยล่ะว่าตัวเองเป็น ‘บาทหลวง’ ตัวจริง ถ้าทำแบบนี้ก็ไม่ต้องกลัวว่าผลของการ ‘สะกดจิต’ จะถูกทำลาย”
และวิธีการที่ใช้ก่อนหน้านี้โดยการทำลายแนวป้องกันทางจิตวิทยาและเปิดเผยให้รู้ว่าความเข้าใจเกี่ยวกับตัวตนของตนเองผิดเพี้ยนไป ก็จะไม่เกิดผลใดๆ ทั้งสิ้น
กัวเจิ้งนิ่งเงียบ ผ่านไปกว่าสิบวินาทีถึงจะเอ่ยปากพูดออกมา
“อาจเป็นเพราะเขาไม่อนุญาตให้ ‘บาทหลวง’ ปลอมกลายเป็น ‘บาทหลวง’ จริง ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ในความทรงจำของผมเองก็ไม่ได้
“‘บาทหลวง’ จริงมีได้เพียงแค่หนึ่งเดียวเท่านั้น มีเพียงแค่เขาเท่านั้น”
หากใครก็ตามจำว่าตนเองเป็น ‘บาทหลวง’ ตัวจริง ไม่ว่าเขาจะถูกเค้นปากคำแบบไหน เขาก็ยังเป็น ‘บาทหลวง’ ตัวจริงอยู่ดี
เจี่ยงไป๋เหมียนกำลังจะบอกว่าความคิดนี้มันค่อนข้างอันตรายและบ้ามาก ซางเจี้ยนเย่าก็พลันเอ่ยปากพูดแสดงความเห็นด้วยออกมา
“ผมยอมรับเหตุผลนี้”
“…” เจี่ยงไป๋เหมียนแอบกลอกตา
“นอกจากความทรงจำที่ถูกดัดแปลงแล้ว คุณยังจำรายละเอียดอย่างอื่นที่เกี่ยวข้องกับ ‘บาทหลวง’ ตัวจริงได้บ้างหรือเปล่า อย่างเช่นสิ่งที่เขาสละไปน่ะ”
กัวเจิ้งส่ายหน้า
“เรื่องเดียวที่ผมมั่นใจก็คือพวกเราน่าจะเป็นผู้ตื่นรู้กลุ่มเดียวกัน”
เจี่ยงไป๋เหมียนเชื่อว่าคำถามจำพวกนี้ โอดิคคงใช้การแทรงแซงความฝันเข้าไปค้นหาคำตอบแล้ว และเนื่องจากว่าเขาไม่ได้ออกปากเตือนซางเจี้ยนเย่าซึ่งเป็นพี่น้องผู้แสนดีว่าควรต้องระวังในเรื่องอะไรบ้าง นี่หมายความว่าในความทรงจำของ ‘บาทหลวง’ ปลอมกัวจิ้ง ไม่มีความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อยู่ หรือมีปัญหาอะไร
เธอไม่ดันทุรังไปกับเรื่องนี้อีก เปลี่ยนไปถามเรื่องอื่นแทน
“คุณรู้หรือเปล่าว่าอาวุโสของ ‘นิกายทอนปัญญา’ มีกันกี่คน”
ภายใต้พระสันตะปาปาก็คืออาวุโสของ ‘สภาแปดบุรุษ’
“คนที่ผมเคยมีติดต่อด้วยมีแค่คนเดียว เขาเป็นประธานในพิธีตื่นรู้ของพวกเรา ต่อมาก็เป็นคนที่สั่งการผม” เมื่อหัวข้อสนทนาไม่ได้เกี่ยวข้องกับ ‘บาทหลวง’ ตัวจริงอีก อาการของกัวเจิ้งก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด “เขาเป็นคนแม่น้ำแดง ชื่อว่าบูยง[1] รับผิดชอบภูมิภาคปฐมนคร อ้อ… ไม่ใช่กองกำลังของ ‘ปฐมนคร’ ทั้งหมดหรอกนะ แต่เป็นเมืองและบริเวณโดยรอบน่ะ”
ปฐมนครคือชื่อเมืองหลวงของกองกำลัง ‘ปฐมนคร’ ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรืองที่สุดในแดนธุลี และยังเป็นที่รู้จักกันในนาม ‘เมืองแห่งความปรารถนา’
“เขามีรูปร่างหน้าตาเป็นยังไง มีพลังผู้ตื่นรู้อะไรบ้าง การมองดูความทรงจำคนอื่นในวงกว้างน่าจะเป็นหนึ่งในพลังพิเศษของเขาสินะ” เจี่ยงไป๋เหมียนดวงตาทอประกาย
นี่คือปลาตัวใหญ่!
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่ ‘ทีมสำรวจเก่า’ สามารถรับมือไหว ตามที่ตู้เหิงเคยพูดไว้ นี่อาจจะเป็นผู้ตื่นรู้ที่ได้เข้าสู่ ‘ทางเดินแห่งจิต’ ไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นระยะขอบเขตของพลังพิเศษหรือจำนวนเป้าหมายที่ได้รับอิทธิพลจากพลังก็ล้วนแต่เหนือความคาดหมายไปมาก
“คุณคิดว่าผมจะจำหน้าเขาได้หรือไง” กัวเจิ้งหัวเราะเยาะตัวเอง “ฉายาเขาคือ ‘ผู้เลี้ยงแกะ’ น้ำเสียงเวลาพูดคุยทำให้คนรู้สึกอึดอัด รู้เหมือนว่าเขามีแผลเรื้อรังในลำคอที่รักษาไม่หาย”
ความคิดของเจี่ยงไป๋เหมียนวิ่งพล่าน พบถึงปัญหาที่น่าจะเป็นไปได้
“ในเมื่อ ‘ผู้เลี้ยงแกะ’ บูยง รับผิดชอบภูมิภาคปฐมนคร งั้นทำไมคุณถึงส่งมาที่เมืองหญ้าไพรล่ะ เพื่อลอบสังหารสวี่ลี่เหยียนแค่นั้นน่ะเหรอ[2]”
“เมืองหญ้าไพรเป็นเขตที่นิกายยังเข้าไม่ถึง ใครมาเผยแพร่ได้ก่อนก็จะเป็นคนรับผิดชอบ” กัวเจิ้งอธิบายแบบสั้นๆ “การมาลอบสังหารสวี่ลี่เหยียนก็ถือโอกาสมาเผยแพร่นิกายไปพร้อมกันทีเดียวเลย”
เจี่ยงไป๋เหมียนถามต่อเกี่ยวกับเรื่องนักบวชซึ่งอยู่ใต้บังคับบัญชาของกัวเจิ้ง จำนวนสาวกที่เขาสร้างมา และโดยปกติได้รับวัตถุปัจจัยมาจากที่ไหน ซึ่งกัวเจิ้งเพียงแค่ยิ้มให้แต่ไม่ได้ตอบ
“โอดิคน่าจะรู้เรื่องพวกนี้หมดแล้วจากความฝัน พวกคุณไปขอรายงานมาจากสวี่ลี่เหยียนเองก็ได้ ทำไมต้องให้ผมเล่าซ้ำอีก”
“ก็ถามไปตามขั้นตอนน่ะ” ผู้ที่พูดไม่ใช่เจี่ยงไป๋เหมียน หากเป็นซางเจี้ยนเย่าที่ช่วยเธอพากย์เสียง
ไม่เลว… เจี่ยงไป๋เหมียนพยักหน้าเล็กน้อย ชมเขาอยู่ในใจ
หลังจากที่ ‘บาทหลวง’ ปลอม กัวเจิ้ง ตอบคำถาม ซางเจี้ยนเย่าก็ถือโอกาสถามต่อ
“คุณรู้อะไรเกี่ยวกับ ‘ทางเดินแห่งจิต’ บ้างไหม
“เกิดอะไรขึ้นกับพระสันตะปาปาที่เข้าไปในโลกใหม่ แล้วโลกใหม่อยู่ที่ไหน”
กัวเจิ้งพูดกลั้วหัวเราะ
“เรื่องพวกนี้ล้วนแต่เป็นมาตรการรักษาความลับทั้งนั้นแหละ อย่าว่าแต่ผมเลย ต่อให้เป็น ‘บาทหลวง’ ตัวจริงก็ยังไม่แน่ว่าจะรู้กระจ่าง
“ผมมีเพียงแค่ความเข้าใจอย่างคลุมเครือว่าผู้อาวุโสบูยงมีของชิ้นเล็กๆ บางอย่างที่มีความพิเศษอยู่บ้าง ว่ากันว่าเป็นของขวัญที่ได้รับมาจากผู้ครองกาล
“ฮ่า ฮ่า ผมยังต้องเจอกับความกลัวภายในใจที่ ‘ทะเลต้นกำเนิด’ อยู่เลย ยังอยู่ห่างจาก ‘ทางเดินแห่งจิต’ ราวฟ้ากับเหว
พูดมาถึงตรงนี้กัวเจิ้งก็พลันชะงักค้างไป จากนั้นก็พูดพึมพำกับตัวเอง
“มิน่าล่ะ… เป็นเพราะแบบนี้นี่เองถึงพิชิตเกาะนั้นไม่ได้เสียที… คนที่ถูก ‘สะกดจิต’ ไม่มีวันจะทำได้สำเร็จ…”
เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะอย่างครุ่นคิดแล้วถามในประเด็นอื่นต่อ
“คุณรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าพวกเหลยอวิ๋นซงเป็นคนจาก ‘ผานกู่ชีวภาพ’ แล้วก็รู้ได้ยังไงว่าสิ่งที่โอดิคสละคืออะไร หรือว่ารู้มาจากรองประธานสมาคมนักล่าคริสติน่า”
“ไม่ใช่เธอหรอก แต่เป็น ‘เจ้าใบ้’ ต่างหาก ฮ่า ฮ่า หรืออาจจะเป็น ‘บาทหลวง’ ตัวจริงก็ได้ที่ให้ข้อมูลผมมา” กัวเจิ้งส่ายหน้า “เดิมทีนั้นผมก็แค่อยากจะหา ‘ผู้ช่วย’ สักสองสามคนที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับนิกายและสามารถสลัดทิ้งได้ทุกเมื่อก็แค่นั้นแหละ แต่กลายเป็นว่า ‘เจ้าใบ้’ กลับให้ข้อมูลคนกลุ่มนี้มาให้ผม จากนั้นผมก็แค่วางแผนใส่ร้ายเพื่อสร้างความขัดแย้ง”
หรือจะเป็นเพราะว่าพวกเหลยอวิ๋นซงไปพบสวี่ลี่เหยียน‘บาทหลวง’ ตัวจริงก็เลยมองผ่านความทรงจำและตรวจสอบภูมิหลังของพวกเขา จากนั้นก็ ‘กำหนด’ เวลาที่แน่นอนที่ทำให้เขาหลีกเลี่ยง ‘บาทหลวง’ ปลอมไม่ได้… เจี่ยงไป๋เหมียนคาดเดาเพิ่มเติมอยู่ในใจ
ในช่วงท้ายของการสอบปากคำ ซางเจี้ยนเย่าถามอย่างกระตือรือร้น
“ทาง ‘นิกายทอนปัญญา’ สวดภาวนาและทำพิธีสักการะยังไง”
หัวข้อสนทนานี้ไม่ได้เป็นเรื่องอะไรที่สลักสำคัญนัก กัวเจิ้งผ่อนลมหายใจ ยกมือถูขมับแล้วตอบ
“การสวดภาวนาก็คือการส่ายหน้าสั่นศีรษะก่อนรับประทานอาหาร จำนวนครั้งไม่ต้องไปสนใจ ความหมายก็คือไม่ต้องไปคิดพิจารณาอะไร ส่วนพิธีสักการะก็คือใช้มือทั้งสองข้างปิดตา แสดงถึงการไม่ดูไม่ฟังไม่สนใจ
“คำอวยพรคือ ‘ขอให้คุณไร้ปัญญาเช่นกัน’ เวลาที่พูดถึงผู้ครองกาลก็ใช้ว่า ‘โปรดศรัทธาแน่วแน่ต่อองค์เทพ’ ในเวลาเทศน์ ส่วนใหญ่มักจะพูดว่า ‘สงสัยในทุกสิ่ง เพราะความจริงนั้นไม่มี’ ‘ความรู้คือยาพิษ ความคิดคือกับดัก’ …”
ซางเจี้ยนเย่าหยิบสมุดบันทึกเล่มเล็กๆ ออกมาแล้วจดลงไป
“สัญลักษณ์ก็คือคนที่ไม่มีใบหน้าเหรอ แล้วพิธีมิสซาคืออะไร”
“ถูกต้อง เป็นผู้ไร้หน้า” กัวเจิ้งเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ “พิธีมิสซาของเรานั้นเรียบง่ายมาก ก็คือเริ่มด้วยการเทศน์ ฟังข้อเสียของความรู้และการคิด จากนั้นก็ตะโกนคำขวัญพร้อมกับนักบวช ส่วนจะตะโกนอะไร ใช้เสียงดังแค่ไหน นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าสถานการณ์ในตอนนั้นเป็นยังไง และยังใช้เสียงตบมือแทนการตะโกนได้ด้วย”
เมื่อฟังถึงตรงนี้เจี่ยงไป๋เหมียนก็ถามด้วยความสงสัย
“พวกคุณเผยแพร่นิกายได้ยังไงเนี่ย คนพวกนั้นคิดอะไรถึงได้เชื่อเรื่องแบบนี้เข้าไปได้”
กัวเจิ้งมองดูหน้าจอเบื้องหน้า ไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองมากนัก
“เริ่มแรกก็ใช้อาหารมาล่อใจ จากนั้นก็ทำความเข้าใจความทุกข์ยากของผู้ศรัทธาอย่างลึกซึ้ง ช่วยพวกเขาแก้ปัญหาบางอย่าง ในที่สุดพวกเขาก็จะพึ่งพาพวกเราทุกอย่าง เลิกคิดไปโดยสิ้นเชิง”
“ครึ่งแรกก็ปกติดีอยู่หรอกนะ แต่ครึ่งหลังนี่มัน…” เจี่ยงไป๋เหมียนเม้มริมฝีปาก “ฉันยังคิดว่าพวกคุณใช้วิธีการ ‘สะกดจิต’ ตรงๆ เพื่อเผยแพร่นิกายเสียอีก”
“ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น แต่ว่าในระหว่างพิธีมิสซาก็มีบ้าง เพื่อเพิ่มผลกระทบให้ตื่นตายิ่งขึ้น” กัวเจิ้งกล่าวด้วยรอยยิ้มที่เจืออารมณ์ซับซ้อน “จะว่าไปแล้ว สำหรับคนส่วนใหญ่ในแดนธุลี การดำรงชีวิตนั้นเป็นเรื่องทุกข์ยากลำเค็ญ ถ้าหากสามารถช่วยพวกเขาคิด ช่วยเหลือพวกเขาจัดการเรื่องราว ทำให้พวกเขามีชีวิตที่มั่นคง ถึงแม้พวกเขาจะรู้สึกว่าหลักคำสอนมีปัญหาแต่ก็จะหลอกตัวเองให้เชื่ออยู่ดีนั่นแหละ”
เฮ้อ… เจี่ยงไป๋เหมียนถอนหายใจแล้วปิดสมุดบันทึก
* * * * *
ณ ชั้นสองของ ‘ร้านปืนอาฝู’ ทางเดินที่ชื้นมีแสงสลัว หลงเยว่หงสองมือล้วงกระเป๋าเดินไปที่ทางขึ้นลงบันได
ในตอนที่เขาเดินผ่านห้องที่มีผู้พักอาศัยก็ได้กลิ่นอาหารโชยออกมา
คุณลุงที่กำลังใช้เตาถ่านทำอาหารอยู่ที่ประตูมองเห็นเขา จึงทักทายอย่างกระตือรือร้น
“มาลองชิมสักหน่อยสิ ฉันลองเอาอาหารที่เหลือมาทำเป็น ‘สตูว์’ ตามที่เธอบอกไว้น่ะ”
หลังจากการต่อสู้เพื่อปกป้องบ้านปกป้องที่พักพิงของตนเองจบลงไป หลงเยว่หงได้สร้างมิตรภาพกับผู้คนที่พักอาศัยอยู่ในอาคารนี้ในละแวกนี้ไปไม่น้อย
เขารีบโบกไม้โบกมือ
“ไม่ต้องครับ ไม่ต้อง เพิ่งกินมาน่ะครับ”
เขารู้สึกเกรงใจที่จะรบกวนครอบครัวนี้ เพราะพวกเขาเองก็ได้รับผลกระทบจากอุบัติภัยที่เกิดขึ้นเช่นกัน ยังคงต้องอาศัยความช่วยเหลือเพื่อให้ดำรงชีวิตต่อไปได้
เขายิ้มให้แล้วเดินผ่านคุณลุงไปที่ทางขึ้นลงบันได
ตึก! ตึก! ตึก!
เด็กหญิงอายุราวสิบเจ็บสิบแปดปีคนหนึ่งวิ่งขึ้นมาจากชั้นล่าง
เธอมีใบหน้างดงาม สวมเสื้อคลุมผ้าฝ้ายที่แห้งแข็ง มีขนมปังข้าวโพดคาอยู่ในปาก
“เอ๊ะ” หลงเยว่หงแปลกใจเล็กน้อยที่ได้เห็นอีกฝ่ายในเวลานี้
หญิงสาวดึงขนมปังข้าวโพดออกแล้วยิ้มทักทาย
“สวัสดีค่ะ”
เธอรู้สึกได้ถึงสายตาเจือความสงสัยของหลงเยว่หง ก็เลยอธิบายอย่างง่ายๆ
“ช่วงนี้ไม่มีธุรกิจน่ะ แล้วก็ได้รับการเยียวยาบรรเทาทุกข์ อาจารย์อานก็เลยลดราคาค่าเรียนพร้อมกับเพิ่มเวลาเรียนให้อีกสองสามครั้ง แน่นอนว่าโอกาสแบบนี้ก็ต้องรีบคว้าไว้อยู่แล้ว!”
พูดจบเธอก็ยัดขนมปังข้าวโพดใส่เข้าปากเหมือนเดิม โบกมือให้พร้อมกับรอยยิ้มอันสดใสแล้วรีบเดินขึ้นชั้นบนไปทันที
หลงเยว่หงหัวเราะออกมา พอเดินลงมาถึงชั้นล่างก็เห็นน้าหนานอยู่หน้าประตูบานที่ออกไปสู่ลาน
น้าหนานกำลังจูงเด็กหญิงวัยเจ็ดแปดขวบเดินเข้ามาข้างใน
“สวัสดีครับ” หลงเยว่หงเริ่มกล่าวทักทายแล้วถามด้วยความสงสัย “แล้วเสี่ยวตงล่ะครับ”
“ย่ากับแม่ของเขายังมีชีวิตอยู่ก็เลยมารับตัวเขากลับไปน่ะ พวกเขาบอกว่าต้นปีหน้าจะขายร้านแล้วไปใช้ชีวิตที่ปฐมนคร” น้าหนานพูดอย่างสงบนิ่ง “แบบนี้ก็ดีแล้ว”
จากนั้นก็คลี่ยิ้มแล้วลูบหัวเด็กหญิงตัวน้อย
“ถึงยังไงฉันก็ไม่มีลูก แบบนี้ก็ลงตัวพอดี”
เด็กหญิงท่าทางกลัวเล็กน้อย ซ่อนตัวอยู่หลังน้าหนาน ดวงตาแวววาวสดใส
หลงเยว่หงพูดอวยพรจากใจออกมาหนึ่งประโยคแล้วเดินเข้าไปในลาน
จากนั้นก็แหงนหน้าขึ้น มองดูท้องฟ้าในฤดูหนาวซึ่งไม่ได้สว่างจ้าแต่ก็ไม่ได้มืดสลัว เหม่อมองดูอย่างเลื่อนลอย
“คิดอะไรอยู่เหรอ” ไป๋เฉินเดินเข้ามาใกล้
หลงเยว่หงละสายตากลับมาแล้วยิ้มให้
“แต่ละครั้งที่เดินอยู่ที่ทางเดินชั้นบน ฉันก็รู้สึกเหมือนได้กลับไปอยู่ในบริษัท เป็นสถานที่มีสภาพแวดล้อมแบบปิด ได้เจอหน้าเจอตาคนรู้จักเป็นครั้งคราว พูดคุยทักทายกันสองสามประโยค”
เขาเงยหน้ามองดูเมฆบนท้องฟ้าอีกครั้ง แล้วพูดออกมาเบาๆ
“แต่ว่าอยู่ที่นี่ พอเดินออกนอกบันไดก็ได้เห็นท้องฟ้า เห็นก้อนเมฆ สัมผัสกับสายลม พูดจาทักทายกัน
“ฉันก็เลยคิดว่าไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่เราทุกคนไม่ต้องคอยห่วงคอยกังวลว่าจะถูกโจมตี ได้อาศัยอยู่บนพื้นโลก กล่าวทักทาย พูดคุยสนทนา พอเดินออกมาก็ได้เห็นสิ่งเหล่านี้…”
* * * * *
[1] บูยง (布永) Bouillon เป็นชื่อในภาษาฝรั่งเศส
[2] หลังจากนี้เป็นต้นไป คำว่า ‘ปฐมนคร’ ในเครื่องหมายอัญประกาศ จะใช้เพื่อหมายถึงกลุ่มกองกำลังปฐมนคร แต่ถ้าหากเขียนโดยไม่มีเครื่องหมายอัญประกาศ จะหมายถึงชื่อเมืองปฐมนคร [เป็นการเปลี่ยนแปลงตามต้นฉบับภาษาจีน]