รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 182 สำนักงานรักษาความสงบสาธารณะ

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 182 สำนักงานรักษาความสงบสาธารณะ

เจี่ยงไป๋เหมียนลากโต๊ะมาแล้วกระโดดขึ้นไปอย่างแคล่วคล่องว่องไว จากนั้นใช้มือซ้ายดึงตะแกรงช่องระบายอากาศออก

แน่นอนว่าภายในนั้นมีชายชุดคำคนหนึ่ง ‘ซ่อน’ ตัวอยู่ และเสียชีวิตไปแล้ว

เธอค่อยๆ ลากศพออกมาแล้ววางไว้บนโต๊ะ

หลงเยว่หงมองดู พบว่าเป็นชายศีรษะล้าน ใบหน้าอ้วนกลม มีดวงตาสีเขียวเข้ม

“เฮลเว็ก เป็นเฮลเว็กจริงๆ ด้วย!” เขาเปรียบเทียบศพกับภาพถ่ายแล้วโพล่งออกมาทันที

“ตายมาระยะหนึ่งแล้ว กลิ่นเหม็นฉุนหายไป แต่ศพยังไม่เน่า” เจี่ยงไป๋เหมียนกระโดดลงมาจากโต๊ะ แล้วตัดสินออกมาอย่างใจเย็น

เธอถอนหายใจ มองหลงเยว่หงแล้วหัวเราะเยาะตัวเอง

“คิดไว้แล้วเชียวว่างานที่ได้รับค่าตอบแทนดีขนาดนี้ ไม่มีทางราบรื่นได้แหงๆ”

เพียงแค่เริ่มต้น ผู้ว่าจ้างก็กลายเป็นศพไปเสียแล้ว!

ที่จริงเธออยากจะทอดถอนใจพูดว่า ‘เริ่มต้นก็ลางไม่ดีซะแล้ว’ แต่เมื่อนึกถึงจิตใจของหลงเยว่หง จึงได้แต่เปลี่ยนคำพูดเสียใหม่

และเพื่อไม่ให้ซางเจี้ยนเย่า ‘พูดจาไร้สาระ’ เธอจึงรีบสั่งการต่อ

“ไปหาคนที่รับผิดชอบเรื่องการรักษาความสงบสาธารณะของชุมชนศิลาแดงกันก่อนเถอะ”

ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเคยได้ยินมาก่อนหน้านี้แล้วว่าที่ชุมชนศิลาแดงนั้นวุ่นวายกว่าเมืองหญ้าไพร แต่พวกเขาก็ยังคงเชื่อว่าถึงยังไงก็จะต้องมีเจ้าหน้าที่ติดอาวุธที่คอยดูแลความสงบเรียบร้อยอยู่

การที่สามารถดำรงความเป็นเมืองเอาไว้ได้ แน่นอนว่าย่อมต้องมีระเบียบในระดับหนึ่งและมีหน่วยงานที่ดูแลด้านนี้ด้วย

“แล้วจะไปหาที่ไหน” หลงเยว่หงนึกได้ว่าคนที่นี่ส่วนใหญ่จะซ่อนตัวกันหมด มีแต่ผีเท่านั้นแหละที่รู้ว่าคนรับผิดชอบการรักษาความสงบสาธารณะอยู่ที่ไหน

นี่มันเป็นสถานที่แปลกพิสดาร ทำให้ผู้คนจนใจทำอะไรไม่ถูกจริงๆ!

สีหน้าของซางเจี้ยนเย่าไม่ได้แสดงความลำบากใจออกมาแม้แต่น้อย เขาพูดไปยิ้มไป

“นายไม่เคยเล่นซ่อนหาหรือไง”

พูดจบเขาก็ออกจากร้านที่มีชื่อว่า ‘ปืน’ มายืนที่แผงกระจกกั้นราวระเบียง แล้วตะโกนด้วยเสียงอันดัง

“มีคนตาย! มีคนตาย!

“เฮลเว็กร้าน ‘ปืน’ ตายแล้ว!”

เสียงของซางเจี้ยนเย่าดังลั่นดุจดั่งฟ้าร้อง ก้องไปทั่วทั้งอาคารใต้ดิน

หลงเยว่หงฟังอย่างมึนงง จากนั้นก็พูดกับตัวเองด้วยความสงสัย

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเล่นซ่อนหาล่ะเนี่ย”

“นายว่าไงนะ” เจี่ยงไป๋เหมียนแตะเครื่องช่วยฟังที่หูตัวเอง

ไป๋เฉินช่วยพูดซ้ำอีกรอบแทนหลงเยว่หง

“ฉันคิดว่าเข้าใจที่เขาพูดนะ” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดอย่างครุ่นคิด “ตอนที่เล่นซ่อนหาเมื่อตอนเป็นเด็กน่ะ บางทีก็จะพูดว่า ‘ได้เวลากินข้าวแล้ว จะกลับบ้านแล้วนะ’ จากนั้นพวกที่ซ่อนตัวเก่งๆ ก็จะโผล่ออกมา”

หลงเยว่หงนึกถึงอดีตแล้วสีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย รู้สึกเหมือนว่าตัวเองก็เคยถูกหลอกด้วยวิธีการเช่นนี้เหมือนกัน

ไม่นานนักหลังจากที่ซางเจี้ยนเย่าตะโกนเสร็จ กล่องโลหะด้านหลังแผงกระจกกั้นราวระเบียงฝั่งตรงข้ามก็เปิดออก ชายคนหนึ่งซึ่งถือปืนกลมือ ‘คอสั้น’ ก็ปรากฏตัวออกมา

“เฮลเว็กตายแล้วเหรอ” เขาเดินมาทางด้านนี้แล้วเอ่ยปากถามซางเจี้ยนเย่า

“บางทีอาจจะยังพอช่วยได้” ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างจริงใจ

อย่างเช่นรีบใช้ช่วงเวลานี้ย้ายจิตของเขาให้กลายเป็นหลวงจีนจักรกล

ชายคนนั้นมองไปยังศพที่อยู่ในร้าน ‘ปืน’ แล้วหยิบวิทยุสื่อสารขึ้นมา

“นายอำเภอหาน ร้าน ‘ปืน’ เกิดเรื่อง เฮลเว็กตายแล้ว”

* * * * *

ชั้นล่างสุดของชุมชนศิลาแดง ณ ‘สำนักงานรักษาความสงบสาธารณะ’ ที่อยู่เยื้องกับสมาคมนักล่า

เจี่ยงไป๋เหมียนและคนอื่นๆ ได้พบกับนายอำเภอของชุมชนศิลาแดง

“หานวั่งฮั่ว” เขาแนะนำตัวเองหนึ่งประโยค

เขาเป็นชายร่างผอมสูง

แน่นอนว่าความสูงของเขาที่ว่าสูงนั้น หมายถึงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของแดนธุลี ซึ่งนั่นก็เทียบเท่ากับหลงเยว่หง

ผมของเขาเป็นสีดำ ตัดสั้นเกรียนแบบทรงบัซคัต ขนคิ้วยุ่งเหยิง หน้าตาดุดัน มีรอยแผลเป็นสองแห่งบนใบหน้า หนึ่งแนวตั้ง หนึ่งแนวขวาง ลักษณะสะดุดตาที่สุดบนใบหน้าเขาก็คือดวงตา ตาขาวของเขาออกเหลืองเล็กน้อย ส่วนตาดำนั้นเป็นสีดำสนิท ไม่ใช่สีน้ำตาลเข้ม

หลังจากเจี่ยงไป๋เหมียนแจ้งชื่อแซ่ตนเองเสร็จแล้วก็ถามขึ้น

“ไม่มีเรื่องอะไรกับพวกเราอีกแล้วใช่ไหม”

“ถึงแม้ว่าจะยังไม่ได้ชันสูตรพลิกศพเพิ่มเติม แต่ก็ตัดสินจากสถานการณ์ปัจจุบันได้แล้วล่ะ เฮลเว็กเสียชีวิตก่อนพวกคุณจะเข้ามาที่ชุมชนศิลาแดง” หานวั่งฮั่วไม่ได้มีเจตนาจะหาคนมาเป็นแพะรับบาปแทนฆาตกร

“ทำไมคุณถึงมั่นใจนักล่ะ” ซางเจี้ยนเย่าถามด้วยความสงสัย

หานวั่งฮั่วซึ่งมีปืนพกสองกระบอกที่เอว ชี้ไปยังชายอีกคนซึ่งอยู่ข้างเขา

“แวร์ตูร์ เป็นนายแพทย์ และทำหน้าที่เป็นแพทย์นิติเวชในสำนักงานรักษาความสงบสาธารณะของเราด้วย”

แวร์ตูร์นั้นเป็นคนเชื้อสายแม่น้ำแดง อายุประมาณสามสิบปี ใกล้เคียงกับหานวั่งฮั่ว ผมบลอนด์ตาฟ้า ผิวหยาบกร้าน เบ้าตาลึก มีเคราเต็มหน้า

“พวกคุณยังมีระบบการศึกษาอยู่ด้วยเหรอ ยังมีสอนวิชาแพทย์ด้วยเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนถามอย่างสนอกสนใจ

หานวั่งฮั่วส่ายหน้า

“แวร์ตูร์มาจาก ‘ยูไนเต็ดอินดัสทรีส์’ น่ะ”

แวร์ตูร์กางแขนออกแล้วพูดด้วยภาษาแดนธุลี

“ผมก็แค่เห็นว่าเจ้านายผมยังไม่มีลูกสักที ก็เลยพยายามช่วยเขาอย่างเต็มที่ สุดท้ายกลับกลายเป็นว่าเกือบถูกเขาจับขังคุกและทรมานจนตาย”

“คุณช่วยผิดวิธีนะสิ” ซางเจี้ยนเย่าวิจารณ์เขาด้วยท่าทีเคร่งขรึม

“หือ” แวร์ตูร์ผงะไปเล็กน้อย

ซางเจี้ยนเย่าจึงนำเสนอวิธีแก้ปัญหาอย่างสมบูรณ์แบบให้ฟัง

“คุณควรเสริมหน้าอก ปลูกถ่ายเส้นประสาทรับสัมผัส แล้วก็ใส่มดลูกเทียม นี่ก็ช่วยเขาให้มีลูกได้ แบบนี้ไม่เพียงแต่เขาจะไม่ส่งคุณเข้าคุก แต่ยังจะพัฒนาความรู้สึกที่มีต่อคุณอีกด้วย”

“…” ถึงแม้ว่าคำพูดของอีกฝ่ายจะฟังแปร่งหูอยู่บ้าง แต่ในฐานะคนที่เรียนแพทย์มา แวร์ตูร์ก็เข้าใจความหมายของเขาได้ไม่ยาก

“ผมไม่ใช่… ไม่ได้เป็น…” จู่ๆ เขาก็ไม่ทราบว่าจะอธิบายออกมายังไงดี

ที่จริงแล้วเขาก็แค่พูดเยาะเย้ยตัวเองเท่านั้น แต่อีกฝ่ายกลับถือเป็นจริงเป็นจังไปได้

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนที่คิดอะไรจริงจังเช่นนี้ ทำให้เขารู้สึกกระอักกระอ่วนที่จะอธิบายไปว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของตนเองนั้นไม่ใช่ต้องการช่วยให้เจ้านายมีลูก แต่เป็นเพราะปรารถนาในตัวภรรยาสาวของเจ้านายต่างหาก

หลงเยว่หงเหลือบมองแวร์ตูร์ด้วยความเห็นใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

เจี่ยงไป๋เหมียนพยายามกลั้นหัวเราะแล้วผงกศีรษะให้หานวั่งฮั่ว

“งั้นพวกเราไปได้แล้วหรือยัง”

“ได้สิ” หานวั่งฮั่วให้คำตอบยืนยัน

เจี่ยงไป๋เหมียนพลิกข้อมือขึ้นมามองนาฬิกา

“ที่นี่มีพวกที่พักอะไรบ้างไหม”

เวลาตอนนี้ก็ค่ำแล้ว ถ้าพวกเขาไปรับภารกิจอื่นก็ต้องพิจารณาเรื่องที่พักแรมด้วย

หานวั่งฮั่วชี้ไปที่เพดาน

“อีกฝั่งของทางเข้า มีห้องพักแบบง่ายๆ อยู่สองสามแถว

“พวกคุณต้องไปที่ ‘โรงแรมเคชา’ ที่ชั้นสี่ก่อน เอาวัตถุปัจจัยไปแลกบัตรอิเล็กทรอนิกส์มา ถึงจะเปิดประตูในย่านที่พักได้

“แต่ถ้าพยายามบุกเข้าไปที่พักเองโดยไม่แลกบัตร เดี๋ยวพวกคุณก็จะได้เจอกับผมอีกรอบ”

เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะแล้วยิ้มให้

“ขอบคุณค่ะ”

แวร์ตูร์เหลือบมองเธอแล้วขันอาสา

“ให้ผมพาไปก็แล้วกัน

“พวกคุณยังไม่ได้กินมื้อเย็นกันใช่ไหมล่ะ งั้นให้ผมเลี้ยงเถอะ ไม่ใช่ว่าผมจะคุยโวหรอกนะ แต่ในชุมชนศิลาแดงเนี่ย เรื่องการหาตัวคน ผมเองก็ถือว่ายอดเยี่ยมเหมือนกัน ไม่ทำให้พวกคุณต้องรอนานหรอก”

“เอาไว้ก่อนก็แล้วกันค่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนรีบปฏิเสธอย่างไม่ลังเล

แล้วซางเจี้ยนเย่าก็ถามขึ้นมาอย่างกระตือรือร้น

“แล้วทักษะการซ่อนตัวของคุณนี่อยู่ระดับไหนเหรอ”

แวร์ตูร์ไม่ได้ปกปิดความเสียใจของตน เขาส่ายหน้า

“ผมไม่ได้เป็นโรคประสาทเหมือนพวกเขา จะต้องซ่อนทำไมในเมื่อไม่มีเรื่องอะไรเสียหน่อย”

“คุณไม่ได้เป็นสาวกของนิกายตื่นตัวเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนถาม

“เปล่า” แวร์ตูร์หันไปมองหานวั่งฮั่ว “นายอำเภอหานก็เหมือนกัน”

“ถ้านายอำเภอต้องซ่อนตัวอยู่ตลอด ก็คงไม่สะดวกต่อการรักษาความสงบเรียบร้อยหรอก ดังนั้นทางชุมชนศิลาแดงก็เลยเชิญผมมาเป็นพิเศษ” หานวั่งฮั่วอธิบายแบบคร่าวๆ

เจี่ยงไป๋เหมียนถามหลังจากขบคิดชั่วครู่

“คุณไม่ได้เป็นชาวชุมชนศิลาแดงเหรอ”

หานวั่งฮั่วตอบ “อืม” ออกมาคำหนึ่ง

“เดิมทีผมเป็นคนเร่ร่อนแดนร้างน่ะ เป็นนักล่าซากอารยะมาหลายปี”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เจี่ยงไป๋เหมียนก็หันไปมองไป๋เฉินราวกับจะบอกว่าเขากับเธอนี่คล้ายกันเลย

ความแตกต่างเพียงประการเดียวก็คือไป๋เฉินเข้าร่วมกับกองกำลังใหญ่ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ซึ่งตรงข้ามกับหานวั่งฮั่วที่เป็นเพียงแค่สมาชิกของจุดขนถ่ายสินค้าเถื่อน ‘ชุมชนศิลาแดง’

หลังจากอำลาหานวั่งฮั่วกับแวร์ตูร์แล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็ออกจากสำนักงานรักษาความสงบสาธารณะ พาซางเจี้ยนเย่าและคนอื่นๆ เข้าไปยังสมาคมนักล่าซึ่งอยู่เยื้องไปฝั่งตรงข้าม

“เฮลเว็กตายแล้ว ภารกิจของพวกเราจะถูกยกเลิกโดยอัตโนมัติหรือเปล่า” เธอถามพนักงานหญิงที่สวมหน้ากากเสือ

ถ้าภารกิจถูกยกเลิก พวกเขาก็จะไม่มีข้อจำกัดในการรับภารกิจอื่นต่อ

พนักงานที่สวมหน้ากากเสือรีบพูดอย่างรวดเร็ว

“ยังไม่ต้องรีบ

“เฮลเว็กยังมีครอบครัวอยู่ ภารกิจนำอาวุธกลับคืนมา มีความเป็นไปได้สูงว่าจะยังคงดำเนินต่อไป นอกจากนั้นพวกคุณก็อาจจะได้รับภารกิจใหม่จาก สนง.รักษาความสงบสาธารณะให้ช่วยสืบสวนการเสียชีวิตของเฮลเว็กด้วย สามารถรับภารกิจนี้ไปทำด้วยกันได้เลย”

“อย่างนั้นเหรอ… แล้วเมื่อไหร่ถึงจะได้รับคำตอบที่แน่นอนล่ะ” แน่นอนว่าเจี่ยงไป๋เหมียนไม่อยากปล่อยให้งานที่ได้เงินดีเช่นนี้หลุดมือไป

จะว่าไปแล้วพวกเขายังไม่ได้เริ่มกระบวนการอย่างเป็นทางการด้วยซ้ำ แม้แต่สถานการณ์ทั่วไปของกลุ่มโจรนั่นก็ยังไม่รู้เลย

พนักงานสวมหน้ากากเสือตอบ

“ช้าสุดก็ไม่เกินบ่ายพรุ่งนี้”

“ได้” เจี่ยงไป๋เหมียนโบกมือเตรียมจากไป

ในตอนนี้พนักงานที่สวมหน้ากากเสือก็พูดด้วยเสียงสั่นเครือเล็กน้อย

“ทุกท่าน พวกคุณน่าจะซื้อหน้ากากไว้หน่อยนะ การที่พวกคุณเดินไปเดินมาโดยเปิดเผยใบหน้าจริงมันค่อนข้างอันตรายมาก ฉันเห็นแล้วก็ยังรู้สึกกลัวเลย

“ที่เฮลเว็กต้องตาย นั่นก็เพราะว่าเขาไม่ยอมซ่อนตัวให้ดี”

ถ้าหากว่าเฮลเว็กซ่อนตัวได้ดีกว่านี้จนฆาตกรหาตัวไม่พบ เขาก็จะไม่ตาย แต่พอคุณพูดมาแบบนี้กลับทำให้รู้สึกว่าใครที่ ‘ซ่อนตัว’ ไม่ดี ก็จะตายอย่างเงียบๆ อย่างนั้นแหละ… เจี่ยงไป๋เหมียนแอบเสียดสีอยู่ในใจ จากนั้นก็ผงกศีรษะ ‘ยอมฟังคำแนะนำ’

“ขอบคุณค่ะ”

“แล้วจะไปหาซื้อหน้ากากได้จากไหน” ซางเจี้ยนเย่าขอความช่วยเหลือด้วยความกระหาย

“พวกคุณกำลังจะไป ‘โรงแรมเคชา’ ไม่ใช่เหรอ ตอนที่แลกบัตรก็สามารถแลกซื้อหน้ากากได้เหมือนกัน” พนักงานสวมหน้ากากเสือตอบอย่างเร็วปรื๋อ

“ได้!” ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างมีความสุข

หลังออกมาจากสมาคมนักล่าแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็เหลือบมองเขา

“จะเข้าเมืองตาหลิ่วแล้วหลิ่วตาตามหรือไง”

“หัวหน้าไม่รู้สึกว่าการสวมหน้ากากต่อสู้กับศัตรูแล้วก็เปิดเพลงไปด้วยเนี่ย มันวิเศษยอดเยี่ยมขนาดไหน” ซางเจี้ยนเย่าพยายามอธิบายภาพในหัวของเขาอย่างเต็มที่

“ก็คล้ายกับงานเลี้ยงสวมหน้ากากของโลกเก่าอยู่บ้าง…” เจี่ยงไป๋เหมียนขบคิดชั่วครู่ “ส่วนความรู้สึกยอดเยี่ยมนั่นก็ขึ้นอยู่กับว่านายเปิดเพลงอะไร สวมหน้ากากอะไร”

หลังจาก ‘งานเต้นรำ’ ในห้องประชุมสภาขุนนางที่คฤหาสน์เจ้าเมือง เธอก็รู้แล้วว่ามีเพลงแปลกๆ เก็บไว้ในลำโพงของซางเจี้ยนเย่าเต็มไปหมด ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามันมีมาตั้งแต่แรกแล้วหรือว่าเขาแลกเพลงมาจากกลุ่มคาราวานการค้า ‘คนไร้ราก’ กันแน่

โดยสรุปก็คือเธอไม่กล้านึกถึงฉากเหตุการณ์เหล่านั้นเพราะเกรงว่าตัวเองอาจติดเชื้อมลพิษมาด้วย

ในระหว่างที่สนทนากันพวกเขาก็กลับมาถึงลานจอดรถ จากนั้นก็หยิบกล่องใส่วัตถุปัจจัยขึ้นไปชั้นสี่ เข้าไปใน ‘โรงแรมเคชา’

และไม่ต้องสงสัยเลยว่าที่นี่เองก็ไม่มีคนอยู่เช่นกัน

เข้าประตูมาก็เห็นเก้าอี้เรียงอยู่หนึ่งแถวเหมือนเป็นที่นั่งรอ ห้องนี้ไม่ได้ลึกมากนัก ผนังท้ายห้องมีช่องเหมือนหน้าต่างที่มีประตูเหล็กปิดอยู่

ด้านข้างของประตูเหล็กทั้งสองฝั่งมีป้ายที่เขียนด้วยภาษาแดนธุลีและภาษาแม่น้ำแดง

‘กรุณาเคาะประตู’

ซางเจี้ยนเย่ารีบพุ่งเข้าไปทันที งอนิ้วขึ้นมาเคาะบานหน้าต่างโลหะที่เรียกว่า ‘ประตู’

ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น ลำโพงภายในห้องก็ดังขึ้น เป็นเสียงผู้หญิงที่จงใจดัดเสียง

“มีกี่ท่าน ต้องการพักกี่ห้อง พักนานกี่คืน”

“ยอดเยี่ยมมาก” ซางเจี้ยนเย่าร้องอุทานชื่นชมจากใจ

เขารับรู้ได้ว่าเจ้าของโรงแรมนั้นอยู่ด้านหลังของผนังนี้ แต่มีสิ่งกีดขวางอย่างน้อยสามชั้นกั้นไว้ระหว่างพวกเขา

พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ นอกจากผู้ตื่นรู้แล้วก็ไม่มีใครสามารถโจมตีเจ้าของโรงแรมได้ในระยะเวลาอันสั้น

นี่เป็นหนึ่งในวิธีซ่อนตัวเช่นกัน

เจี่ยงไป๋เหมียนส่ายหน้าสั่นศีรษะ

“ธรรมดาไปหน่อย

“ถ้าติดตั้งกล้องวงจรปิดจาก ‘สวรรค์จักรกล’ แล้วลากสายออกไป จากนั้นก็ซ่อนตัวอยู่นอกชุมชนศิลาแดง แล้วใช้การควบคุมจากระยะไกล แบบนี้ปลอดภัยกว่าเยอะ”

ลำโพงในห้องดังขึ้นอีกครั้ง

“คุณผู้หญิง วิธีของคุณนั่นต้องมีเงินถุงเงินถังเลยนะ จะต้องให้หุ่นจักรกลคอยช่วยเหลือรับผิดชอบเก็บค่าที่พักและออกบัตรอิเล็กทรอนิกส์ให้ ถ้าไม่มีเงินก็ทำได้แค่อย่างที่ฉันทำอยู่ตอนนี้เท่านั้นแหละ”

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท