รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 190 จับมือ

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 190 จับมือ

กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นคืนสนองงั้นเหรอ… ดวงตาเจี่ยงไป๋เหมียนขยับเล็กน้อยแล้วหัวเราะออกมาคำหนึ่ง

“ดูเหมือนว่าเขาจะทำเรื่องไม่ดีเอาไว้ไม่น้อยสินะ”

เหล่าเฉินก้มหน้าก้มตาจัดการส่วนประกอบ พลางพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก

“การค้าอาวุธของเขาน่ะ ไม่รู้ทำให้คนตายไปกี่มากน้อยแล้ว”

เหล่าเฉินนั้นไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองพฤติกรรมที่เจี่ยงไป๋เหมียนมายืนที่ประตูหน้าห้องครัวดูการทำอาหารของเขา เพราะนี่ก็เป็นคำสอนของนิกายตื่นตัวเช่นกัน

‘ระวังตัวอยู่เสมอ อย่าเชื่ออย่างไม่ลืมหูลืมตา’

ของที่จะเอาใส่ท้อง ต้องระวังจับตาไว้ให้ดี อย่าให้พ่อครัวมีโอกาสเล่นตุกติก

ในระหว่างที่พูดคุยกันไป เหล่าเฉินก็ปรุงอาหารจานแล้วจานเล่าออกมาเรื่อยๆ แต่ละจานที่ทำออกมาก็จะใช้ตะเกียบคีบอาหารในจานใส่เข้าปากตนเองต่อหน้าซางเจี้ยนเย่าและคนอื่นๆ

สำหรับเรื่องนี้ คำอธิบายของเขาก็คือ

“ถ้าผมไม่ชิม พวกคุณจะกล้ากินหรือไง”

“กล้าสิ” ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างไม่ลังเล

เขาหยิบขวดพลาสติคสองสามขวดออกมาเตรียมไว้แล้ว

พวกนี้ก็คือยาที่แยกเก็บเอาไว้อยู่ในชุดปฐมพยาบาล ซึ่งรวมไปถึง ‘ยาฆ่าเชื้อชีวภาพ’ และ ‘ยาปรับสภาพให้เป็นกลาง’ ด้วย

ได้เจอกับลูกค้าสวมหน้ากากลิงผู้นี้ ทำเอาเหล่าเฉินถึงกับพูดไม่ออก

โชคดีที่ความคิดของซางเจี้ยนเย่านั้นกระโดดไปกระโดดมา เขาจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปอย่างฉับพลัน

“ไม่ค่อยดีต่อท้องไส้นะ”

“หืม” เหล่าเฉินมึนงงไปหมดแล้ว

เจี่ยงไป๋เหมียนถอนหายใจ ช่วยอธิบายให้ฟัง

“เวลามีลูกค้ามา คุณก็ต้องชิมอาหารทุกจาน กินเข้าไปตั้งเยอะแยะสารพัดอย่าง แถมยังเลยเวลามื้ออาหารไปแล้วด้วย ไม่ค่อยดีต่อท้องไส้เท่าไหร่”

เหล่าเฉินชี้หน้าตัวเอง

“แล้วคุณคิดว่าทำไมผมถึงได้อ้วนขนาดนี้ล่ะ”

บนแดนธุลีนั้น มีคนไม่มากนักหรอกที่จะมีคุณสมบัติให้อ้วนได้

สำหรับอาหารมื้อนี้ ทั้งเจี่ยงไป๋เหมียนและพวกพ้องต่างก็รู้สึกพอใจเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าฝีมือทำอาหารของเหล่าเฉินจะค่อนข้างธรรมดา แถมยังใช้เครื่องเทศไม่ถูกหลัก แต่หลังจากที่ต้องเจอหน้าอาหารกระป๋อง บิสกิตอัดแข็ง และธัญพืชอัดแท่งมาติดต่อกันหลายวัน ขอให้เป็นอาหารที่รสชาติผ่านมาตรฐานทั่วไป ก็นับว่าเป็นอาหารเลิศรสสำหรับ ‘ทีมสำรวจเก่า’ แล้วล่ะ

“สตูว์เนื้อแกะใส่ถั่วนี่นับว่าไม่เลว ผสมผสานลักษณะของเมนูแดนธุลีกับเมนูแม่น้ำแดงเข้าด้วยกันได้อย่างพิเศษ พอกินกับข้าวสวยแล้วเข้ากันอย่างเหมาะเจาะสุดๆ” หลังจากวางตะเกียบลงแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็ยิ้มแล้วพูดชม

“เป็นสูตรลับประจำตระกูลน่ะ” เหล่าเฉินพูดด้วยน้ำเสียงเจือความภาคภูมิใจ

การที่สามารถทำให้น้ำซุปมีความเข้มข้นมากขึ้นโดยที่ยังคงรสชาติเดิมเอาไว้ได้นั้นเป็นเรื่องที่เขาค่อยๆ ใช้เวลาในการศึกษาเรียนรู้และสั่งสมประสบการณ์

หลังออกมาจาก ‘ร้านอาหารปลอดพิษ’ แล้ว ‘ทีมสำรวจเก่า’ ก็ใช้บันไดเลื่อนลงไปที่ชั้นล่าง เข้าไปในสำนักงานรักษาความสงบสาธารณะ

หานวั่งฮั่วกลับมาจากเขตที่คนภาษาธุลีใช้ซ่อนตัวแล้ว เขากำลังนั่งพลิกดูเอกสารอยู่ที่โต๊ะตัวในสุดซึ่งมีโคมไฟฟลูออเรสเซนต์ตั้งอยู่

หากไม่ใช่เพราะแผลเป็นซึ่งเป็นรอยลึกปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขา กอปรกับขนคิ้วที่ยุ่งรุงรัง จนทำให้ใบหน้าเขาดูดุดันละก็ หลงเยว่หงคงจะคิดว่าตนเองนั้นได้กลับไปยัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ มาอยู่ในที่ทำงานของพ่อแม่ซึ่งมีหัวหน้ากำลังทำงานอยู่เป็นแน่

“สวัสดีตอนบ่ายค่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนทักทายอย่างยิ้มแย้ม

หานวั่งฮั่วเงยหน้าขึ้นมามอง

“นั่งสิ”

ซางเจี้ยนเย่าไม่มัวเกรงใจอีก รีบคว้าเก้าอี้สองสามตัวขยับเข้ามาใกล้ทันที

นั่นเป็นเพราะโต๊ะของหานวั่งฮั่วนั้นมีเก้าอี้อยู่เพียงแค่ตัวเดียวเท่านั้น

“พวกคุณต้องการจะถามผมว่าผลการสืบสวนเมื่อตอนเช้าได้ผลเป็นยังไงบ้างสินะ” รอจนกระทั่ง ‘ทีมสำรวจเก่า’ นั่งลงกันพร้อมหน้าแล้วหานวั่งฮั่วก็ร้อง “อืม” ออกมาคำหนึ่ง

จากนั้นเขาก็จ้องมองเจี่ยงไป๋เหมียน

นั่นเป็นเพราะว่าเขาเคยเจอ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ตอนที่ยังไม่ได้สวมหน้ากาก และสัญชาตญาณได้บอกเขาว่าเจี่ยงไป๋เหมียนต่างหากถึงจะเป็นหัวหน้าทีม

ที่จริงแล้วเขาก็ไม่ค่อยแน่ใจเรื่องสถานภาพของซางเจี้ยนเย่าเท่าไรนัก ทว่าจากการแสดงออกของอีกฝ่าย ทำให้เขาขจัดความคิดที่ว่าอีกฝ่ายอาจจะเป็นหัวหน้าทีมทิ้งไปทันที

“ใช่แล้ว นี่เป็นหนึ่งในเรื่องที่จะขอค่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบด้วยรอยยิ้ม

หานวั่งฮั่ววางเอกสารข้อมูลในมือลงแล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้

“โดยทั่วไปก็ไม่ได้อะไรมาหรอก ไม่มีใครยอมรับ และไม่มีเบาะแสอะไร

“ถ้าหากว่าผมไม่ใช่คนภาษาธุลีก็คงถูกไล่ตะเพิดออกมาตั้งแต่แรกแล้วล่ะ”

เขาชี้ให้เห็นถึงความขัดแย้งภายในของชุมชนศิลาแดง

“คุณแพ้แล้ว” ซางเจี้ยนเย่าพูดแทรกขึ้นมา

“หือ” หานวั่งฮั่วขมวดคิ้วงุนงง

ซางเจี้ยนเย่าพูดอย่างจริงจัง

“คุณยอมรับว่าตัวเองเป็นคนภาษาธุลีก็เท่ากับว่าคุณแพ้แล้ว

“ทุกคนต่างก็เป็นคน ไม่ควรจำกัดอยู่แค่ในกรอบเล็กๆ เรื่องเชื้อชาติ”

หานวั่งฮั่วไม่รู้จะตอบยังไง จึงทำได้แต่ส่งสายตาไปมองเจี่ยงไป๋เหมียน

เจี่ยงไป๋เหมียนข้ามหัวข้อสนทนาเมื่อครู่ไปทันทีแล้วยกคำขอเรื่องที่สองขึ้นมา

“พวกเราอยากขอดูข้อมูลบางอย่างหน่อยได้ไหม”

สายตาของหานวั่งฮั่วพลันเฉียบคมขึ้นมาทันใด

“ข้อมูลอะไร”

เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้ม

“ข้อมูลการเสียชีวิตเพราะตกใจเกินขนาดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้”

นี่เพื่อดูว่าจะมีความเป็นไปได้แค่ไหนที่จะมีผู้ตื่นรู้หรือมีฆาตกรที่สามารถกระตุ้นให้เกิดการเสียชีวิตในลักษณะนี้ได้

สายตาของหานวั่งฮั่วกวาดไปที่ใบหน้าสวมหน้ากากของสมาชิกทั้งสี่แห่ง ‘ทีมสำรวจเก่า’ ก่อนจะพูดออกมา

“พวกคุณฉลาดกว่าที่ผมคิด

“นี่ก็เลยทำให้ผมรู้สึกสงสัยอยู่บ้าง ว่าทำไมคนฉลาดอย่างพวกคุณถึงมารับภารกิจตามหาอาวุธที่หายไป ไม่เห็นหรือไงว่านี่เป็นภารกิจที่อันตรายมากขนาดไหน

“หรือไม่ก็พวกคุณมีความมั่นใจในตัวเองสูงมาก”

เขานับว่าเป็นคนฉลาดเหมือนกันแฮะ… หลงเยว่หงรู้สึกประทับใจชื่นชมเขาขึ้นมาบ้าง

“ไม่เข้าถ้ำเสือแล้วจะได้ลูกเสือได้ยังไงล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบอย่างฉลาด

ซางเจี้ยนเย่าถือโอกาสนี้ช่วยพูดเสริมให้เธอด้วย

“ในฐานะจอมวายร้าย จะกลัวอันตรายเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้ได้ไง”

สมองเจ้าหมอนี่ไม่ค่อยปกติหรือไง หรือที่พวกเขาตกลงรับภารกิจตามหาอาวุธที่ถูกขโมยเป็นเพราะสมองผิดปกติกันทั้งทีม… แต่เราก็เคยได้ยินมาเหมือนกันว่ายิ่งบ้ามากเท่าไหร่ก็ยิ่งฉลาดมากขึ้นเท่านั้น… หานวั่งฮั่วมองดูคนทั้งสี่ตรงหน้าอย่างระวังตัว แต่ไม่ได้พูดอะไร

ผ่านไปครู่หนึ่งเขาถึงจะพูดกับไป๋เฉินซึ่งสวมหน้ากากรูปชายดุร้าย

“ที่น่าแปลกใจก็คือทีมพวกคุณมี ‘นักล่าชั้นกลาง’ เพียงแค่คนเดียว แถมคนคนนั้นก็คือคุณ”

“เธอถูกพวกเราจับตัวไว้น่ะ!” ซางเจี้ยนเย่าอธิบาย

ไป๋เฉินรู้สึกอึดอัดกับมุกตลกนี้ แต่เนื่องจากลักษณะนิสัยเฉพาะตัวจึงไม่ได้พูดแย้งอะไร

“นายหาเรื่องที่มันฟังดูเข้าท่ากว่านี้ไม่ได้หรือไง” หลงเยว่หงอดค่อนแคะออกมาประโยคหนึ่งไม่ได้

แปะ! แปะ! แปะ!

ซางเจี้ยนเย่าตบมือประหนึ่งว่ากำลังชื่นชมที่หลงเยว่หงให้ความร่วมมือช่วยตบมุก

ขณะที่หลงเยว่หงกำลังนิ่งอึ้งไปนั้น ซางเจี้ยนเย่าก็พูดด้วยรอยยิ้ม

“เราจับตัวเธอไว้ด้วยมิตรภาพและความเชื่อใจ”

“พรืด…” เจี่ยงไป๋เหมียนหลุดหัวเราะออกมา

ไป๋เฉินพยายามเม้มปากแน่น

หานวั่งฮั่วเริ่มไม่เข้าใจกลุ่มคนที่อยู่ตรงหน้ามากขึ้นทุกขณะ ได้แต่ถอนหายใจออกมาแล้วชี้ไปที่กองเอกสารซึ่งวางอยู่หน้าตนเอง

“พวกนี้ก็คือข้อมูลที่คุณต้องการ

“ในช่วงสองปีที่ผ่านมา สำนักงานรักษาความสงบฯ ไม่เคยเจอกรณีเช่นนี้มาก่อน ไม่เคยได้ยินว่ามีใครตกใจจนตาย

“แต่ถ้าย้อนกลับไปก่อนหน้านั้นอีกหนึ่งปี…”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ หานวั่งฮั่วก็พูดด้วยสีหน้าจริงจัง

“มีสี่คดี”

“ย้อนกลับไปก่อนหน้านั้นอีกหนึ่งปีงั้นเหรอ…” เจี่ยงไป๋เหมียนถามทวน

หานวั่งฮั่วสั่นศีรษะ

“เมื่อสามปีก่อน สำนักงานรักษาความสงบสาธารณะปั่นป่วนวุ่นวายขนาดหนัก หลายคดีก็เลยไม่ถูกบันทึกเอาไว้ ข้อมูลก็สูญหายไปไม่น้อย”

“คุณเข้ามารับตำแหน่งเมื่อสามปีก่อนงั้นเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนพอจะเริ่มเข้าใจสถานการณ์ขึ้นมาบ้าง

“ใช่” หานวั่งฮั่วผงกศีรษะ “แต่ผมก็เคยถามเพื่อนร่วมงานบางคนไปบ้างล่ะ พวกเขาต่างก็พูดว่าเมื่อสามปีก่อนมีคดีแบบนี้เกิดขึ้นแน่ๆ ส่วนจะมีกี่คดีนั้นไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจน พวกกลุ่มคนที่บุกโจมตีชุมชนศิลาแดงก็เหมือนว่าจะมีบางคนที่ตายเพราะสาเหตุนี้ด้วย”

เจี่ยงไป๋เหมียนหันไปมองซางเจี้ยนเย่าและคนอื่นๆ ที่อยู่ด้านข้าง

“พวกนายยังมีคำถามอะไรกันอีกไหม”

ไป๋เฉินไม่ให้ซางเจี้ยนเย่ามีโอกาส ‘พล่ามไร้สาระ’ เธอถามขึ้น

“ทั้งสี่คดีของเมื่อสองปีก่อนมีอะไรเกี่ยวข้องกับการตายของเฮลเว็กบ้างไหม”

“นี่เป็นเรื่องที่ทำให้ผมแปลกใจที่สุด” หานวั่งฮั่วดันกองข้อมูลในมือออกไป “ทั้งสี่คดีนั้นมีเรื่องพื้นฐานบางจุดที่เหมือนกัน อย่างเช่นว่าผู้ตายทั้งหมดล้วนเป็นคนภาษาธุลี อย่างเช่นว่าพวกเขาทำเรื่องไม่ดีบางอย่างกับคนแม่น้ำแดงหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจใหญ่โตที่กดขี่คนแม่น้ำแดง ซึ่งเรื่องพวกนี้เป็นสิ่งที่เฮลเว็กไม่ได้ทำ”

เจี่ยงไป๋เหมียนรับชุดข้อมูลมาแล้วเปิดอ่านผ่านๆ

“เปาเซวียน เสียชีวิตเมื่ออายุ 27 ปี เป็นพวกหัวรุนแรงในหมู่คนภาษาธุลี ลงมือสังหารคนแม่น้ำแดงสามรายจากการบาดหมางหลายครั้ง… เสียชีวิตอยู่ในห้องใต้ดินที่ซ่อนตัวมานาน ภรรยาของเขาหวังเสียนมาพบในหลายวันให้หลัง… สาเหตุการเสียชีวิตคือตกใจเกินขนาด… กำลังสืบสวนสถานการณ์…

“มีความเห็นเขียนกำกับเพิ่มในภายหลังไว้ไม่น้อยเลย คุณยังสืบสวนคดีนี้ต่ออีกเหรอ”

หลังจากอ่านข้อมูลไปพักหนึ่ง เจี่ยงไป๋เหมียนก็เงยหน้าขึ้นมามองหานวั่งฮั่ว

หานวั่งฮั่วตอบด้วยสีหน้าจริงจัง

“ในเมื่อผมรับหน้าที่เป็นนายอำเภอของชุมชนศิลาแดง ผมก็มีหน้าที่ต้องตามจับตัวฆาตกร

“ส่วนภูมิหลังเขาจะเป็นยังไง มีพลังพิเศษอะไร มีอันตรายขนาดไหน พวกนี้ไม่ใช่เรื่องที่ต้องคำนึง

“ตลอดสองปีมานี้ผมไม่เคยยอมแพ้”

แปะ! แปะ! แปะ!

ซางเจี้ยนเย่าตบมือขึ้นอีกครั้ง

“แล้วคุณไม่กลัวว่านี่จะส่งผลกระทบต่อคนในครอบครัวหรือไง” เจี่ยงไป๋เหมียนถามอย่างสงสัย

หานวั่งฮั่วหัวเราะเยาะตัวเอง

“คนเร่ร่อนแดนร้างและนักล่าซากอารยะอย่างผมน่ะ ไม่มีญาติพี่น้องมานานแล้วล่ะ มิตรสหายสมัยก่อนก็แยกย้ายกันไปตั้งแต่ก่อนที่ผมจะมาเป็นนายอำเภอเสียอีก”

“คุณไม่มีภรรยางั้นเหรอ” หลงเยว่หงฟังแล้วรู้สึกถึงจุดนี้ขึ้นมา

หานวั่งฮั่วร้อง “อืม” ออกมาคำหนึ่ง

“รอไว้ให้ความสงบเรียบร้อยของชุมชนศิลาแดงเกิดขึ้นได้เสียก่อน ถึงตอนนั้นผมคงพอมีเงินเก็บอยู่บ้าง ก็จะลาออกแล้วค่อยคิดถึงเรื่องนี้”

เมื่อเขาพูดขาดคำ ซางเจี้ยนเย่าก็ยื่นมือมาให้

ในขณะที่หานวั่งฮั่วกำลังนั่งงงอยู่ เจี่ยงไป๋เหมียนก็ถอนใจแล้วช่วยอธิบาย

“คุณมีเป้าหมาย เขาก็มีเป้าหมาย คุณมีปณิธานที่จะอุทิศตัว ต้องยอมเสียสละบางอย่าง เขาเองก็มีปณิธานที่จะอุทิศตัว ต้องยอมเสียสละบางอย่าง ดังนั้นเขาก็เลยรู้สึกอยากจับมือกับคุณน่ะ”

…หัวหน้าติดเชื้อ ‘ตัวตลกชักจูง’ จากซางเจี้ยนเย่าไปแล้ว… หลงเยว่หงที่เป็นผู้ชมรู้สึกอยากจะหัวเราะออกมา

ถึงแม้ว่าหานวั่งฮั่วจะยังคงไม่เข้าใจสักเท่าไหร่ แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงความปรารถนาดีของอีกฝ่ายจึงไม่ได้ปฏิเสธ ยอมยื่นมือออกไปจับกับซางเจี้ยนเย่า

เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ให้ซางเจี้ยนเย่าทำตามใจชอบอีก เธอหันหน้ามาถาม

“พูดอีกอย่างก็คือคุณสงสัยว่าการตายของเฮลเว็กนั้นต่างไปจากคดีก่อนหน้านี้สินะ”

นี่ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ฆาตกรก่อนหน้านี้เงียบหายไปกว่าสองปีแล้ว ไม่แน่ว่าช่วงนี้อาจจะมีผู้ตื่นรู้คนใหม่ปรากฏตัวขึ้นก็ได้ ที่อนุมานไว้ก็คือ ‘ความกลัว’ คือเขตพลังของผู้ครองกาล ‘ธชียมโลก’ และนี่ก็อยู่ในเขตอิทธิพลของนิกายตื่นตัวด้วย ไม่อย่างนั้นความน่าจะเป็นก็คงต่ำมาก

แต่ก็ยังต้องรอยืนยันอีกที

“เฮ้อ” หานวั่งฮั่วไสกองกระดาษอีกตั้งหนึ่งมาให้ “นี่คือรายชื่อผู้ต้องสงสัยที่ผมทำเอาไว้ ทุกคนล้วนแต่มีความบาดหมางและผลประโยชน์ทับซ้อนกับเฮลเว็ก”

เจี่ยงไป๋เหมียนรับมาดูแล้วพบว่าชื่อแรกนั้นก็คือ…

‘คาร์ล สตีล พ่อบ้านของมิสเตอร์มาร์ดิโก้ พ่อค้าอาวุธรายใหญ่ของชุมชนศิลาแดง กำลังแย่งชิงเรื่องสายส่งของเลห์แมนกับเฮลเว็กอยู่…’

เธออ่านกวาดต่อ แล้วก็ถามด้วยรอยยิ้ม

“มีเครื่องถ่ายเอกสารไหม

“พวกเราอยากถ่ายสำเนาเอากลับไปอ่านน่ะ”

หานวั่งฮั่วหัวเราะ

“หนึ่งกระป๋อง”

ในฐานะที่เป็นจุดกระจายสินค้าเถื่อนของ ‘ยูไนเต็ดอินดัสทรีส์’ พวกเขาย่อมไม่ใช่ว่าจะไม่เคยพบไม่เคยเห็นอุปกรณ์พวกนี้ เพียงแต่พบเห็นไม่บ่อยเท่านั้นเอง

หลังจากรับข้อมูลและออกมาแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็พูดอย่างสะเทือนอารมณ์ออกมาประโยคหนึ่ง

“ก่อนหน้านี้ฉันมองข้ามไปเรื่องหนึ่ง

“การที่เฮลเว็กแจ้งภารกิจเพื่อหาคนนอกและสร้างความไว้วางใจกับนิกายตื่นตัวน่ะ อาจไม่ใช่เพราะต้องการสร้างความขัดแย้งกับคนภาษาธุลีก็ได้ ไม่แน่ว่าอาจจะมุ่งเป้าไปที่ ‘นาวาบาดาล’ หรือมิสเตอร์มาร์ดิโก้…

“ฮ่า ฮ่า แต่นี่ก็เดาเอาทั้งนั้นแหละ ยังคงต้องค่อยๆ สืบสวนกันต่อไป”

หลงเยว่หงถามเจี่ยงไป๋เหมียนต่อ

“หัวหน้า ถ้างั้นพวกเราจะไปสืบที่ไหนกันต่อดี”

เจี่ยงไป๋เหมียนตอบด้วยเสียงหัวเราะ

“ก็บอกไปแล้วไม่ใช่เหรอ เราจะเอ้อระเหยกันซักสองวัน รอดูว่านอกจากเทเรซ่าแล้วจะมีใครมาหาเราอีก”

พูดไปเธอก็เหยียดตัวไล่ความเมื่อยล้าไปด้วย

“ไปเถอะ กลับไปนอนพักกัน จะได้ให้ซางเจี้ยนเย่าไปออกแรงพิชิตเกาะด้วย”

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท