เสียงหวีดหวิวแหวกอากาศดังขึ้น รถจี๊ปรีบหักเบี่ยงเปลี่ยนทิศทางจนแทบจะพลิกคว่ำ
ขณะที่รถจี๊ปกำลังเลี้ยวอยู่ก็ไม่ได้ลดความเร็วลงแม้แต่น้อย มันพุ่งไปทางซ้ายมือ ขับส่ายไปมาตามทางซึ่งเป็นหลุมเป็นบ่อ
วินาทีถัดมา จรวดบาซูก้าก็กระทบพื้น
ตูม!
บอลเพลิงสีแดงแผ่ขยายออกอย่างรวดเร็ว พื้นที่รอบข้างสว่างไสว คลื่นกระแทกที่แผ่ออกมาทำให้กระจกหน้าต่างรถส่งเสียงดังแกรกกราก
โชคดีที่ ‘ทีมสำรวจเก่า’ เปลี่ยนเป็นกระจกกันกระสุนจากค่าย ‘คนไร้ราก’ มาแล้ว
เจี่ยงไป๋เหมียนขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อมองเห็นการระเบิดผ่านกระจกมองหลัง
หลังจากนั้นไป๋เฉินก็หักพวงมาลัยอีกครั้ง ทำให้รถจี๊ปอ้อมวกไปด้านหลังของซากอาคารที่พังถล่ม
เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเขาก็จะเข้าไปอยู่ในมุมอับสายตาของผู้ลอบโจมตีโดยสมบูรณ์
ตูม!
จรวดบาซูก้าอีกลูกหนึ่งระเบิดขึ้นในเส้นทางที่พวกเขาเพิ่งวิ่งผ่านมา
จากนั้นทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบสงัด
“หยุดรถ!” เจี่ยงไป๋เหมียนตะโกน
ไป๋เฉินไม่ได้ถามว่าทำไม เธอแตะเบรคให้รถจี๊ปหยุดอยู่ด้านหลัง ‘ป้อมปราการตามธรรมชาติ’
ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงลดกระจกหน้าต่างลงพร้อมกันแล้วยกปืนไรเฟิลจู่โจม ‘นักรบคลั่ง’ มาวางพาดเตรียมป้องกันการจู่โจมจากรอบตัว
พร้อมกันนั้นซางเจี้ยนเย่าก็พูดอย่างเสียใจ
“พวกเขาน่าจะจ้างโค้ชมาสอนยิงสักหน่อยนะ”
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่เพียงแต่ไม่ปฏิเสธ ทั้งยังผงกศีรษะอีกด้วย
“ดูเหมือนว่าคนที่โจมตีนั้นไม่ได้ต้องการฆ่าเราจริงๆ หรอก”
“ทำไมล่ะ” หลงเยว่หงยังคงรักษาจิตวิญญาณของนักถามเมื่อได้พบกับเรื่องที่ตนเองไม่เข้าใจ
เจี่ยงไป๋เหมียนอธิบายให้ฟัง
“ต่อให้ฉันไม่ได้รู้ตัวก่อนและรถจี๊ปก็ยังวิ่งไปตามเส้นทางเดิม แต่จรวดบาซูก้านัดแรกก็ยังพลาดเป้าอยู่ดีแหละ”
ซางเจี้ยนเย่าครุ่นคิดหาเหตุผลอย่างจริงจัง
“บางทีเขาอาจจะคาดการณ์ล่วงหน้าได้ว่าคุณสามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้าเลยตัดสินใจยิงล่วงหน้า”
เจี่ยงไป๋เหมียนถลึงตาใส่เขา
“นอกจากว่าฉันจะเสียสติไปแล้ว ถึงจะได้สั่งให้เสี่ยวไป๋ขับรถเข้าไปในอาคาร
“จรวดบาซูก้าลูกแรก ระเบิดตรงทางเข้าอาคารสูงหลังนั้นในแนวทะแยง”
“อืม ผมเข้าใจแล้ว” ซางเจี้ยนเย่าใช้กำปั้นขวาทุบลงที่ฝ่ามือซ้าย “เป็นเพราะฝีมือเขาไม่ได้เรื่อง เลยยิงไม่แม่น”
“ถ้างั้นทำไมถึงไปหาคนฝีมือแบบนี้มายิงพวกเราล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนโมโหระคนขบขัน
ซางเจี้ยนเย่าครุ่นคิดลึกซึ้งสองสามวินาที แล้วยกฝ่ามือสองข้างประกบกัน
“เพื่อให้วีรบุรุษช่วยเหลือสาวงาม!”
“…” ถึงแม้ว่าหลังจากที่ครุ่นคิดตีความแล้วเจี่ยงไป๋เหมียนพอจะเข้าใจความหมายของซางเจี้ยนเย่าอยู่บ้าง แต่ก็ยังรู้สึกว่าหมอนี่มีความคิดพิลึกพิลั่นเกินไปหน่อย
สมกับที่เป็นผู้ป่วยจิตเวชที่ได้รับใบรับรองแพทย์จริงๆ… เจี่ยงไป๋เหมียนแอบกระแนะกระแหนอยู่ในใจ
หลงเยว่หงพอจะเดาได้คร่าวๆ ว่าความคิดซางเจี้ยนเย่านั้นตั้งอยู่บนทฤษฎีอะไร
ก็นิยายที่ออกอากาศทางวิทยุนั่นแหละ!
แล้วไป๋เฉินก็พูดทำลายความเงียบขึ้น
“คงเป็นเพราะกลัวพวกเราล่ะมั้ง”
“อืม” เจี่ยงไป๋เหมียนพยักหน้า “นี่อาจจะเป็นคำเตือน เหมือนกับข้อความที่ส่งมาก่อนหน้าก็ได้ หรือไม่ก็อาจจะเป็นกับดัก คิดจะกระตุ้นพวกเรา ทำให้พวกเราเจาะลึกเรื่องการสืบสวนเกี่ยวกับการขโมยอาวุธ หรือไม่ก็เรื่องความตายของเฮลเว็ก”
“งั้นพวกเราจะทำไงกันดี” หลงเยว่หงถามอย่างเป็นกังวล “นี่มันเรื่องใหญ่กว่าตอนที่อยู่เมืองหญ้าไพรเสียอีก”
การทุ่มเทค้นหาอาวุธจนกระทั่งเสร็จสิ้นภารกิจได้นั้นคงต้องถูกดึงให้เข้าไปพัวพันในกระแสน้ำเชี่ยวที่อันตราย แต่ถ้าจะให้ยอมรามือเสียตั้งแต่ตอนนี้แล้วออกจากชุมชนศิลาไปเสีย ก็จะรู้สึกคาใจไม่อาจปล่อยวางได้
เจี่ยงไป๋เหมียนตอบกลับมาหนึ่งประโยค
“เรื่องนี้ก็รู้ตั้งแต่แรกอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง”
ขณะที่พูดออกมาเธอก็คลี่ยิ้มไปด้วย
“ตอนนี้เรื่องที่ฉันอยากทำที่สุดก็คือ
“ตามหาคนที่โจมตีเราเมื่อตะกี้กับคนที่ยุยง จับพวกนั้นมัดเอาไว้แล้วยิงจรวดบาซูก้าใส่รอบๆ ตัว ให้ลิ้มรสชาติแบบที่ทำกับเราบ้าง”
ดวงตาซางเจี้ยนเย่าเป็นประกาย
“ใช่ ใช่ ต้องให้โดนแบบนี้บ้าง”
เจี่ยงไป๋เหมียนฟังแล้วรู้สึกสังหรณ์ใจชอบกล จึงรีบเปลี่ยนเรื่องทันที
“พวกเรากลับไปที่ชุมชนศิลาแดงก่อนก็แล้วกัน เอาเรื่องนี้ไปเล่าให้หานวั่งฮั่วฟัง ดูว่าเขามีท่าทียังไงแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะทำอะไรกันต่อ”
“ได้” หลงเยว่หงโล่งอก
แค่มีคนเสียสติที่เป็นตัวอันตรายอย่างซางเจี้ยนเย่าอยู่ในทีมคนเดียวก็พอแล้ว อย่าให้มีหัวหน้าทีมที่เป็นตัวปัญหาเพิ่มมาอีกคนเลย!
* * * * *
ณ สำนักงานรักษาความสงบสาธารณะ ชุมชนศิลาแดง
“นายอำเภอหานไม่อยู่เหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนถามหมอแวร์ตูร์
แวร์ตูร์ยังคงไม่ได้โกนหนวดเช่นเคย ดูแล้วรกรุงรังมาก
“จัดทีมออกไปที่ริมทะเลสาบน่ะ บอกว่าจะออกไปดูว่าพวกมนุษย์มัจฉามีอะไรผิดปกติไหม”
“แล้วจะกลับมาเมื่อไหร่” เจี่ยงไป๋เหมียนถามต่ออีกประโยค
แวร์ตูร์ส่ายหน้า
“ก็ต้องดูก่อนว่าพวกมนุษย์มัจฉามีการเคลื่อนไหวอะไรหรือเปล่า”
จากนั้นเขาก็ถอนใจ
“นี่ถ้าไม่ใช่เพราะว่าผมกลับไปที่ ‘ยูไนเต็ดอินดัสทรีส์’ ไม่ได้ละก็นะ เหอะ ผมไม่อยากจะอยู่ในที่เส็งเคร็งแบบนี้เลยจริงๆ ให้ตายเถอะ
“ข้างนอกก็มีมนุษย์ชั้นรอง ข้างในก็มีเรื่องบาดหมาง ถ้าไม่ได้เจอใครซักคนตลอดทั้งวัน พอมาเจออีกทีก็ไม่รู้แล้วว่าเขาจะมีลักษณะยังไง…”
เห็นได้ชัดว่าคุณหมอมากรักผู้นี้รู้สึกขัดใจที่ไม่อาจพบพานสาวงาม
ในชุมชนศิลาแดงนั้น ก่อนที่จะถอดหน้ากากถอดเสื้อผ้าให้เห็นก็ย่อมไม่อาจรู้ได้ว่าอีกฝ่ายมีหน้าตาเป็นยังไง เป็นหญิงหรือชายกันแน่ ดังนั้นนี่จึงเป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับโชคชะตาฟ้าลิขิต
นอกจากนั้น ชาวชุมชนศิลาแดงซึ่งศรัทธาในเทพี ‘ธชียมโลก’ และสนับสนุนการตื่นตัวเฝ้าระวังย่อมไม่ร่วมหลับนอนกับใครง่ายๆ นอกเสียจากว่ามีจุดประสงค์เพื่อต้องการจับตัวไปลอกคราบ
คำบ่นของแวร์ตูร์ไม่ได้ทำให้เจี่ยงไป๋เหมียนอึดอัดแต่อย่างใด เธอถามด้วยความสนอกสนใจ
“ฉันสงสัยมากๆ ว่าชาวชุมชนศิลาแดงเนี่ย ทำยังไงถึงได้เจอกัน รักกัน แต่งงานกัน แล้วก็มีลูกด้วยกันได้”
แวร์ตูร์ทอดถอนใจอีกครั้ง
“ก็มีตอนร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่เพื่อต่อสู้กับมนุษย์ชั้นรองและโจรจากภายนอกบ้าง ตอนที่ทำการค้าของเถื่อนร่วมกันบ้าง ตอนที่ออกไปล่าสัตว์บ้าง บางครั้งก็เป็นตอนที่ไปสำรวจซากปรัก ช่วงนั้นอาจจะมีใจให้กัน
“อ้อ แล้วก็เคยได้ยินมาว่านิกายตื่นตัวจะจัดกิจกรรมให้สาวกที่อยากหาคู่แต่ยังไม่เจอคนเหมาะสม เอ่อ… อาจจะแบ่งเป็นกลุ่มกลุ่มผู้ชายฝั่งนึง ผู้หญิงอีกฝั่งนึง แล้วก็จับฉลากว่าใครจะเป็นคนซ่อนใครจะเป็นคนหา
“คนที่หาจะมีโอกาสเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น หาใครเจอก็ต้องอยู่กับคนนั้น
“พวกเขาเชื่อว่านี่เป็นการชี้นำจากเทพี ‘ธชียมโลก’ ไม่กล้าฝ่าฝืนผลลัพธ์”
อย่างนี้ก็ได้ด้วยเหรอเนี่ย… หลงเยว่หงได้ยินแล้วถึงกับอ้าปากค้าง เขารู้สึกว่าโลกนี้มีเรื่องมหัศจรรย์พันลึกไม่จบไม่สิ้น
“เป็นธรรมเนียมที่น่าสนใจมาก” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้บอกว่าดีหรือไม่ดี
ซางเจี้ยนเย่าถามมาคำหนึ่ง
“แล้วถ้าไม่เจอล่ะ”
“นั่นแสดงว่าผู้ครองกาลเห็นว่าคุณยังไม่สมควรแต่งงานในตอนนี้นะสิ” แวร์ตูร์ตอบอย่างไม่ใส่ใจ
“ผู้ครองกาลคงยุ่งหัวหมุนเลยเนอะ” ซางเจี้ยนเย่ารู้สึกเห็นใจ
เฮ่อ… หลงเยว่หงถอนใจโล่งอก
เขาคิดว่าซางเจี้ยนเย่าจะถือโอกาสเยาะเย้ยตนเองโดยบอกว่า ‘หลงเยว่หงถูกกำหนดให้ไร้คู่’ เสียอีก
เจี่ยงไป๋เหมียนที่ได้เรียนรู้ธรรมเนียมท้องถิ่นเพิ่มขึ้นก็รู้สึกพอใจ เธอเอ่ยปากฝากเรื่องไว้กับแวร์ตูร์
“ถ้านายอำเภอหานกลับมาเมื่อไหร่ บอกให้ไปหาเราที่โรงแรมด้วยละกัน มีเรื่องสำคัญอยากคุยด้วยน่ะ”
“ได้” แวร์ตูร์ระวังตัว ไม่เอ่ยปากถามว่าเป็นเรื่องอะไร
* * * * *
ณ ย่านที่พักโรงแรม สมาชิกทั้งสี่ของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ จอดรถแล้วเดินไปที่ห้อง ‘05’ ‘06’
ก่อนที่จะเข้าไปถึงห้อง เจี่ยงไป๋เหมียนก็พลันหันขวับมาทางซางเจี้ยนเย่าพร้อมกับเหลือบมองเขา
ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้ตอบกลับ แต่สาวเท้าก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวก่อนจะผงกศีรษะ
จากนั้นเขาก็เหวี่ยงเป้ยุทธวิธีมาข้างหน้า หยิบลำโพงตัวเล็กออกมาพลางตะโกนเสียงดังว่า
“คุณถูกล้อมไว้แล้ว!”
ในขณะเดียวกันไป๋เฉินกับหลงเยว่หงก็ชักปืนออกเตรียมพร้อม
หลังจากใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันมานานจึงเป็นเรื่องง่ายที่พวกเขาคาดเดาได้ว่าสถานการณ์ในขณะนี้ก็คือเจี่ยงไป๋เหมียนและ
ซางเจี้ยนเย่าพบว่ามีผู้บุกรุกเข้ามาในห้อง
เสียงเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วประตูห้อง ‘06’ ก็มีเสียงแง้มเปิดออก
จากนั้นชายสวมหน้ากากโลหะสีดำก็ปรากฏตัวเดินออกมา เขามีผมสีป่านที่ยุ่งเหยิงราวกับไม่เคยหวีมานานนับปี
เมื่อเห็นว่ามีปากกระบอกปืนสีดำเล็งมา เขาผงะแล้วรีบก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวพร้อมกับพูดเสียงต่ำ
“ผมบัซเอง!”
“หือ ว่าไงนะ” เจี่ยงไป๋เหมียนถามเสียงดัง
บัซเงียบไปสองวินาทีก่อนจะพูดด้วยเสียงที่ดังขึ้น
“ผมคือบัซ ลูกน้องของเฮลเว็ก พวกคุณเคยมาหาผมแล้ว”
“คนที่ชอบขุดอุโมงค์นะเหรอ” ที่จริงเจี่ยงไป๋เหมียนจำบุคลิกลักษณะของเขาได้ตั้งแต่แรกแล้ว
“ใช่” บัซผงกศีรษะอย่างแรง
“มีธุระอะไรถึงมาหาพวกเราล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนดูผ่อนคลายขึ้นในขณะที่เดินเข้าไปใกล้
บัซมองทุกคนรอบๆ แล้วพูดอย่างหวาดกลัว
“มีคนจะฆ่าผม!”
เจี่ยงไป๋เหมียนซึ่งสวมหน้ากากหลวงจีนรูปงามตอบกลับทันที
“เข้าไปคุยกันข้างในเถอะ”
เมื่อเข้าไปในห้องพักของไป๋เฉินกับหลงเยว่หงแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนยังไม่ได้รีบร้อนถามไถ่เรื่องราว ด้านหนึ่งเธอให้ซางเจี้ยนเย่าคอยเฝ้าที่ประตู อีกด้านหนึ่งก็ถามด้วยรอยยิ้ม
“คุณเข้ามาได้ยังไง”
“ตัวล็อคอิเล็กทรอนิกส์ของที่นี่สะเดาะง่ายจะตาย” บัซหยิบบัตรสีขาวออกมาโบกสองครั้ง
เจี่ยงไป๋เหมียนร้อง “อ้อ” ออกมาคำหนึ่งแล้วหันไปหัวเราะ
“คุณควรจะถอดหน้ากากออกก่อนไม่ใช่เหรอ
“ไม่งั้นฉันจะแน่ใจได้ยังไงว่าคุณคือบัซตัวจริง”
“พวกคุณก็ไม่เคยเห็นสักหน่อยว่าผมมีหน้าตาเป็นยังไง…” ถึงแม้ว่าบัซจะพูดเช่นนี้ แต่ก็ยังคงปลดหน้ากากเหล็กออกมาอย่างเชื่อฟัง
เขามีใบหน้าออกไปทางสี่เหลี่ยมเล็กน้อย มีดวงตาสีป่าน เคราถูกโกนจนเกลี้ยงเกลา บนใบหน้ามีกระอยู่ไม่น้อย อายุยังดูไม่มาก น่าจะไม่ถึงสามสิบปี
“ไหนว่ามาซิ ว่าเกิดอะไรขึ้น” ในที่สุดเจี่ยงไป๋เหมียนก็วกกลับมาที่ประเด็นหลัก
บัซพูดด้วยสีหน้าหงุดหงิด
“ตอนที่พวกคุณมาหาผม ไม่เห็นบอกเลยว่าเฮลเว็กตายแล้ว”
“ก็นั่นไม่ใช่ประเด็นนี่” เจี่ยงไป๋เหมียนครุ่นคิดแล้วตอบออกมา
น้ำเสียงของบัซกลายเป็นตระหนกขึ้นมา
“นั่นแหละ ประเด็น!
“ผมพอจะเดาได้ว่าใครเป็นคนฆ่าเฮลเว็ก
“เขายังคิดจะฆ่าผมด้วย!”
“ใครเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบอย่างให้ความร่วมมือ
สีหน้าของบัซมืดครึ้มลง
“เรื่องมันก็คือว่า
“อาวุธพวกนั้นมันไม่ได้หายไปไหนหรอก เป็นแค่การจัดฉากเท่านั้น”
เจี่ยงไป๋เหมียนและคนอื่นๆ ยิ้มขึ้นมาพร้อมๆ กัน ทว่าบัซไม่อาจมองเห็นรอยยิ้มพวกเขาได้
บัซพูดต่อ
“อาวุธพวกนี้ เดิมทีนั้นก็คือจะขายให้พวกปีศาจภูเขา ดังนั้นถ้าไม่จัดการแบบนี้ก็จะถูกคนอื่นในทีมเกลียดขี้หน้าได้
“เฮลเว็กไปขอให้อันเฮอบัสร่วมมือด้วย ให้ลูกน้องเขาปลอมเป็นโจรปล้นเอาอาวุธไป แล้วก็รอหาโอกาสส่งไปให้ปีศาจภูเขา จากนั้นก็ปลอมแปลงเบาะแสแล้วกลับไปที่เมืองเพื่อแจ้งภารกิจโดยพยายามชี้นำว่าเป็นฝีมือของพวกคนภาษาธุลี ไม่ก็ ‘นาวาบาดาล’ เพื่อทำให้คนอื่นๆ ไม่พอใจ แต่สุดท้าย… สุดท้ายกลายเป็นว่าเขาตายไปจริงๆ!”
เจี่ยงไป๋เหมียนรอจังหวะเอ่ยปากถาม
“ใครคืออันเฮอบัส”
“เขาเป็นชาวชุมชนที่เป็นคนแม่น้ำแดงระดับสูง เป็นพ่อค้าของเถื่อนตัวหลักๆ ที่ทำการค้าเกี่ยวกับพลังงานและมีความสัมพันธ์กับเฮลเว็ก” บัซแนะนำต่อ “ปีศาจภูเขาควบคุมเหมืองถ่านหินอยู่สองสามแห่ง เคยทำการค้ากับเขามาแล้วหลายครั้ง”
พูดมาถึงตรงนี้ บัซก็โมโหขึ้นมา
“ต้องเป็นเขาแน่ๆ! เขานั่นแหละที่ฆ่าเฮลเว็ก เป็นเพราะอยากจะฮุบอาวุธพวกนั้นเอาไว้เอง!
“เมื่อเช้าผมถูกลอบทำร้าย ถ้าไม่ใช่เพราะผมขุดโพรงเอาไว้หลายที่ ป่านนี้คงตายไปแล้ว! และถ้าผมตายไป ก็จะไม่มีใครรู้เรื่องนี้อีก”
หลังจากเจี่ยงไป๋เหมียนฟังจนจบ เธอก็หันไปมองซางเจี้ยนเย่าที่ยืนอยู่หน้าประตู
ซางเจี้ยนเย่ารู้ถึงความนัยที่สื่อมา เขาปลดหน้ากากลิงออกแล้วค่อยๆ เดินเข้าไปหาบัซด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร
บัซตื่นตัวระวังทันที ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง
“คุณ… คุณจะทำอะไรน่ะ”