รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 197 ขอเชิญ

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 197 ขอเชิญ

ยามของโบสถ์ที่ไปหาอันเฮอบัสนั้นกลับมาเร็วกว่าที่ซ่งเหอคาดไว้ นั่นเป็นเพราะพวกเขาได้พบกับโลเปซ ลูกน้องที่แข็งแกร่งของอันเฮอบัสกลางทาง เขาเป็นคนที่เกือบจะสังหารบัซเมื่อตอนเช้า

เขาสูงราว 190 เซนติเมตร เพียงพอที่จะทำให้รู้สึกดูแคลนคนส่วนใหญ่ในแดนธุลี แม้แต่ซางเจี้ยนเย่าที่ได้รับการปรับปรุงพันธุกรรมมาแล้วก็ยังเตี้ยกว่าเขาอยู่เล็กน้อย

นอกจากความสูงแล้วเขาก็ยังกำยำล่ำสันเป็นอย่างมาก สามารถจินตนาการได้เลยว่าคนที่ไปยืนอยู่ต่อหน้าเขาจะต้องเผชิญแรงกดดันขนาดไหน

เขาไม่ได้เป็นสาวกของนิกายตื่นตัวจึงไม่ได้สวมหน้ากาก เปิดเผยใบหน้าของตนเองออกมาให้เห็นได้อย่างชัดเจน

ด้วยผมยุ่งเหยิงสีบลอนด์อ่อน ดวงตาสีฟ้า ใบหน้าเป็นสัน สีหน้าดูดุดันไร้อารมณ์ สวมเครื่องแบบทหารสีเขียวลายพราง ที่เอวห้อยปืนพก ‘ยูไนเต็ด 202’ สองกระบอก รองเท้าหนังที่มีตะปูเหล็กติดไว้ที่ปลาย ทั้งหมดทั้งมวลนี้สร้างบุคลิกภาพเฉพาะตัวให้กับชายกำยำร่างยักษ์

“เขาดูไม่ค่อยเหมือนคนแม่น้ำแดงเท่าไหร่ คล้ายกับคนทุ่งน้ำแข็งมากกว่า อืม… น่าจะเป็นชาวยาร์ไก” เจี่ยงไป๋เหมียนซึ่งยืนอยู่ข้างบัซพูดด้วยภาษาแม่น้ำแดงออกมาประโยคหนึ่ง

ทุ่งน้ำแข็งนั้นอยู่ทางเหนือสุดของแดนธุลีทั้งหมด เป็นพื้นที่ซึ่งมีขนาดกว้างใหญ่ไพศาล ชาวแม่น้ำแดงในทุกวันนี้มีไม่น้อยที่มีลักษณะบางประการของชาวทุ่งน้ำแข็ง ตามข้อมูลที่บันทึกไว้จากโลกเก่านั้น ในสมัยโบราณเนื่องจากอิทธิพลของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จึงทำให้ชาวทุ่งน้ำแข็งจำนวนไม่น้อยอพยพลงใต้เข้าสู่เขตแม่น้ำแดง หลังจากที่พิชิตคนพื้นเมืองไปมากมายก็ได้ลงหลักปักฐานตั้งรกรากอยู่ที่นั่น จนผ่านไปหลายชั่วอายุคนรุ่นแล้วรุ่นเล่า ชาวยาร์ไกจึงได้กลายมาเป็นเชื้อสายแขนงหนึ่งของชาวแม่น้ำแดง

และในทำนองเดียวกันก็มีชาวแดนธุลีที่มีผมสีบลอนด์ ผิวขาว ร่างกำยำสูงใหญ่ ทว่าในภายหลังเชื้อสายแขนงนี้ก็ค่อยๆ หายสาบสูญไปจากเส้นทางการวิวัฒนาการในภายหลัง

เมื่อได้ยิน ‘เสียงกระซิบ’ ของเจี่ยงไป๋เหมียน โลเปซก็อดหันมาชำเลืองมองเธอไม่ได้ เหมือนกับว่ารู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง

เขานั้นเป็นชาวยาร์ไกจริงๆ

ทว่าหลังจากที่โลกเก่าถูกทำลายลงไป เนื่องจากภัยพิบัติ สงคราม และการย้ายถิ่นฐาน ทำให้เกิดการผสมผสานทางเชื้อชาติของมนุษย์ในระลอกใหม่ รวมถึงการสูญหายของข้อมูลต่างๆ ไปมากมาย ดังนั้นนอกจากสถานที่ซึ่งมีชาวยาร์ไกอยู่รวมกันเป็นจำนวนมากแล้วจึงแทบไม่มีคนพูดถึงเรื่องนี้อีกเลย โดยปกติพวกเขาจึงเป็นเสมือนชาวแม่น้ำแดงนั่นเอง

โลเปซรีบละสายตากลับมา หันไปทางสัญลักษณ์ขนาดใหญ่ซึ่งอยู่ที่ผนังด้านในสุดของห้องโถงแล้วโค้งคำนับเล็กน้อย

ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นสาวกของ ‘ธชียมโลก’ ก็ตาม แต่เมื่อเข้ามาในโบสถ์ของนิกายตื่นตัวแล้วเขาย่อมไม่กล้าทำตัวยะโสโอหังมากเกินไป นี่เป็นเพราะว่าในชุมชนศิลาแดงนั้นมีสาวกของนิกายอยู่มากมาย แม้แต่ลูกน้องของเขาเองที่ติดตามมาด้วยก็มีไม่น้อยเช่นกัน

ถ้าหากเขามีการกระทำที่แสดงถึงการดูหมิ่นผู้ครองกาล ไม่ต้องสงสัยเลยว่ายังไม่ทันที่ตนเองจะได้ออกไปจากโบสถ์ก็คงถูกลูกน้องลอบยิงจากด้านหลังเสียก่อน

เรื่องเช่นนี้ยากที่จะป้องกันได้

และนอกจากนั้น ภายในโบสถ์นิกายตื่นตัวซึ่งเป็นผนังสีแดงขนาดใหญ่ที่ให้ความรู้สึกถึงอันตรายและสีทองอันศักดิ์สิทธิ์ก็ทำให้เขาเกิดความรู้สึก

เคารพขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

ซ่งเหอซึ่งสวมชุดคลุมยาวสีดำยืนอยู่เบื้องหน้าสัญลักษณ์ขนาดยักษ์ของ ‘ธชียมโลก’ ผงกศีรษะให้เล็กน้อย

“คุณบอกว่าต้องการมาหาบัซใช่ไหม”

เขาพูดด้วยภาษาแม่น้ำแดง

โลเปซไม่ได้ตอบกลับไปทันที เขามองไปรอบๆ ก่อนแล้วจึงถามขึ้น

“มุขนายกเรนาโต้ล่ะ”

ซ่งเหอตอบมาเรียบๆ

“มุขนายกมีเรื่องอื่นต้องทำ ผมมีอำนาจสิทธิ์ขาดที่สามารถจัดการแทนเขาได้”

โลเปซไม่ได้แสดงความเกรี้ยวกราดออกมา แต่แสดงความเป็นมิตร

“ผู้แจ้งเตือน มีความเป็นไปได้สูงว่าบัซมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของเฮลเว็ก

“เจ้านายผม มิสเตอร์อันเฮอบัส เป็นทั้งหุ้นส่วนทางธุรกิจ อีกทั้งยังเป็นเพื่อนสนิทของเฮลเว็กด้วย เขาเริ่มสืบสวนเรื่องนี้มาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”

“โกหก!” บัซรีบปฏิเสธทันทีด้วยความตกใจระคนโกรธแค้น

โลเปซยิ้ม แล้วหันไปมองดูบรรดาลูกน้องของตนที่สวมหน้ากากสารพัดแบบ จากนั้นถึงหันมาพูดกับบัซ

“ไม่มีฆาตกรคนไหนที่ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนทำหรอก”

“มีสิ” ซางเจี้ยนเย่าที่สวมหน้ากากลิงอยู่พูดแทรกขึ้น “บางคนทำเพื่อโอ้อวด บางคนก็ทำเพื่อปกปิดเรื่องอื่น”

ตัวอย่างเช่น ‘บาทหลวง’ ไงล่ะ

โลเปซชำเลืองมองซางเจี้ยนเย่า ไม่ได้นำพาเรื่องไร้สาระนี้มาใส่ใจ

เขามองไปที่ซ่งเหอแล้วพูดเจือรอยยิ้ม

“ผู้แจ้งเตือน คุณสามารถรับประกันได้ไหมล่ะว่าบัซไม่ได้เป็นฆาตกร”

ซ่งเหอนิ่งเงียบไปสองสามวินาที

“ก็จริงนะที่ผมไม่สามารถรับประกันอะไรได้ทั้งนั้น เรื่องนี้จำต้องสืบสวนให้กระจ่างเสียก่อน ไม่งั้นใคร ก็ไม่สามารถจะรับประกันได้”

จากนั้นเขาก็พูดต่อโดยไม่ได้รอให้โลเปซเอ่ยคำ

“บัซเองก็บอกว่าอันเฮอบัสเป็นฆาตกร และมีเหตุผลที่น่าเชื่อถืออีกด้วย

“เขาบอกว่าพวกคุณจัดฉากเรื่องคดีปล้นอาวุธเพื่อหลอกคนอื่นๆ เพราะต้องการส่งอาวุธชุดนั้นไปที่ภูเขา ในขณะเดียวกันก็พยายามชี้นำว่านี่เป็นฝีมือของคนภาษาธุลีและ ‘นาวาบาดาล’

“เพื่อต้องการฮุบกลืนอาวุธพวกนี้ อันเฮอบัสจึงมีเหตุจูงใจให้ลงมือฆ่าเฮลเว็ก”

ไม่ว่าจะเป็นเฮลเว็กก็ดี หรือจะเป็นอันเฮอบัสก็ตาม ล้วนแต่ไม่กล้าขายอาวุธให้กับมนุษย์ชั้นรองอย่างโจ่งแจ้ง เพราะนั่นจะทำให้พวกเขากลายเป็นศัตรูสาธารณะของชุมชนศิลาแดง

จนกระทั่งตอนนี้ เรื่องที่พวกเขาขายอาวุธให้กับมนุษย์ชั้นรองก็ยังเป็นเพียงแค่ข่าวลือเท่านั้น

หากว่าบัซไม่ได้เป็นลูกน้องคนสนิทของเฮลเว็ก ก็คงยากที่จะรู้ความลับนี้

หลังจากที่ฟังอย่างเงียบๆ จนจบ โลเปซก็พลันหัวเราะออกมา

“ฮ่า ฮ่า

“นี่มันเป็นเรื่องตลกที่สุดเท่าที่ผมได้ยินมาในปีนี้เลย!”

เสียงหัวเราะของเขานั้นดังก้องไปทั่วโบสถ์ที่ว่างเปล่าและเงียบสงัด ทำให้ซ่งเหอขมวดคิ้วเล็กน้อย

“อยู่ในโบสถ์ โปรดรักษาความสงบด้วย” ซ่งเหอตักเตือนมาประโยคหนึ่ง

ไม่ว่าในใจโลเปซจะรู้สึกอย่างไรแต่เขาก็ไม่กล้าแสดงออกมาให้เห็น เขารีบกลั้นหัวเราะแล้วจุ๊ปาก

“ผู้แจ้งเตือน คุณคงไม่ได้ถูกบัซหลอกหรอกนะ

“เพื่อปัดความผิดให้พ้นตัว เขาก็เลยใส่ร้ายมิสเตอร์อันเฮอบัส

“ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ มิสเตอร์อันเฮอบัสให้ความร่วมมือและให้การสนับสนุนชุมชนศิลาแดงเพื่อต่อสู้กับมนุษย์ชั้นรองมาตลอด เขายังใช้สายสัมพันธ์ที่มีเพื่อซื้อชุดเกราะเสริมแรงทางทหารกลับมาให้ด้วย แล้วเขาจะไปขายอาวุธให้ปีศาจภูเขาได้ยังไง

“จะพูดอะไรก็ต้องมีหลักฐานด้วย!”

บัซสวนกลับทันควัน

“นอกจากฉันแล้ว มาร์คกับกัสเตลส์ก็รู้เรื่องนี้เหมือนกัน พวกเขาเป็นพยานได้!”

“ก็ไม่แน่ว่าอาจเป็นเพราะพวกแกต้องการฮุบอาวุธเอาไว้ ก็เลยร่วมมือกันใส่ร้ายมิสเตอร์อันเฮอบัสไงล่ะ” โลเปซพูดอย่างไม่เป็นกังวล

ซ่งเหอยกมือขวาขึ้นมาเพื่อยุติการถกเถียงระหว่างคนทั้งคู่

“ตอนนี้ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัด อยากจะพูดอะไรก็ได้ทั้งนั้น

“ในฐานะที่เป็นผู้แจ้งเตือน ผมจะไม่เข้าข้างใคร แต่รับรองได้ว่าการดำเนินการจะอยู่ภายใต้การเฝ้ามองของผู้ครองกาล”

เมื่อได้ยินคำว่า ‘การเฝ้ามองของผู้ครองกาล’ เจี่ยงไป๋เหมียนก็อดนึกถึงประสบการณ์ที่ได้พบก่อนหน้านี้ไม่ได้

จนกระทั่งตอนนี้เธอก็ยังรู้สึกหวาดกลัวอยู่ไม่คลาย

ซ่งเหอกล่าวต่อ

“พวกคุณสามารถสอบปากคำบัซได้ แต่จะต้องอยู่ในโบสถ์และมีผมเป็นพยาน

“ในทำนองเดียวกัน อันเฮอบัสเองก็ต้องมาที่โบสถ์เพื่อรับการไต่สวนด้วย

“เรื่องนี้คุณคงไม่อาจตัดสินใจเองได้ กลับไปแจ้งเขาก่อนเถอะ”

คำพูดนี้ของเขาทำให้โลเปซไม่อาจจะโต้แย้งอะไรได้อีก

ถ้าอันเฮอบัสมานี่ คุณจะได้ทำให้เขาเป็นมิตรและยอมรับสารภาพงั้นสินะ แล้วแบบนี้จะถือว่าพวกเราทำภารกิจสำเร็จหรือเปล่าเนี่ย… เจี่ยงไป๋เหมียนพึมพำอยู่ในใจ

ในตอนนี้ โลเปซซึ่งไม่อาจแย้งอะไรได้อีกก็หันเหความสนใจ ทอดสายตามองมาที่คนนอกทั้งสอง

“พวกคุณก็คือนักล่าที่รับภารกิจเรื่องการปล้นอาวุธใช่ไหม”

เมื่อได้ยินคำตอบ โลเปซก็พูดด้วยรอยยิ้ม

“ถ้าเพียงแค่ไปถามคนนู้นคนนี้ก็คงยากจะมีอะไรคืบหน้า หวังว่าพวกคุณในฐานะที่เป็นบุคคลที่สามจะสืบสวนอย่างไม่ลำเอียง มีความเที่ยงตรงยุติธรรม จะได้จบเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด”

ในระหว่างที่พูด สายตาเขาก็สลับไปมาระหว่างหน้ากากของเจี่ยงไป๋เหมียนและซางเจี้ยนเย่า

โดยไม่รอให้คนทั้งสองตอบคำ โลเปซก็กลับหลังหันเดินไปที่ประตูโบสถ์

บรรดาลูกน้องของเขาไม่ได้รีบตามออกไปทันที แต่ละคนต่างก็ยกสองแขนขึ้นมาไว้ที่หน้าอก ถอยหลังไปหนึ่งก้าว

เมื่อเสร็จพิธีกรรม พวกเขาก็รีบตามโลเปซไป

หลังจากมองดูพวกเขาจากไป ซ่งเหอก็พูดกับบัซ

“จริงไม่อาจเท็จ เท็จไม่อาจจริง

“ในช่วงนี้คุณก็พักอยู่ที่โบสถ์เถอะ วีลเองก็อยู่ด้วย พวกคุณจะได้แลกเปลี่ยนเทคนิคการซ่อนตัวกัน”

“ทราบแล้ว ผู้แจ้งเตือน” เมื่อเห็นว่านิกายไม่ได้ทอดทิ้งตนเอง บัซก็โล่งใจอย่างเห็นได้ชัด

เจี่ยงไป๋เหมียนเห็นว่าตอนนี้ไม่มีความคืบหน้าใดๆ จึงดึงบัซมาข้างๆ แล้วถามด้วยเสียง ‘เบา’

“คุณคิดว่าอันเฮอบัสน่าจะซ่อนอาวุธพวกนั้นไว้ที่ไหน

“ถ้าหากหาเจอละก็ เรื่องทั้งหมดก็จะกระจ่างทันที”

“ผมไม่รู้” บัซส่ายหน้าด้วยความโกรธแค้น “ในตอนนั้นอันเฮอบัสใช้ทหารรับจ้างแทนที่จะเป็นคนของเขาน่ะ พวกนั้นทั้งหมดเป็นผู้อพยพมาจากต่างถิ่นและให้โลเปซเป็นคนนำ”

เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้ถามอะไรต่ออีก เธอหันไปพูดกับซางเจี้ยนเย่า

“งั้นพวกเราออกไปกันอีกรอบก็แล้วกัน ดูว่าจะหาเบาะแสอะไรเพิ่มได้บ้าง”

เมื่อออกมาจากโบสถ์แล้ว ทั้งสองก็เดินกลับไปยังอาคารร้างที่ไป๋เฉินกับหลงเยว่หงอยู่

เมื่อมาถึงที่หมายก็มีคนมาหยุดพวกเขาไว้

ดูจากหน้ากากที่สวมอยู่ พวกเขาก็คือชาวชุมชนศิลาแดงที่ติดตามโลเปซเมื่อครู่นี้นั่นเอง เป็นลูกน้องของอันเฮอบัส

บุคคลหนึ่งซึ่งสวมหน้ากากแมงมุม เขาถือปืนกลมือเล็งมาที่เจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่า ใช้คางบุ้ยหน้าไปด้านหนึ่ง

“หัวหน้าให้พวกคุณไปหา”

เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้แปลกใจแม้แต่น้อย เธอผงกศีรษะเล็กน้อย

“ได้”

ซางเจี้ยนเย่าพูดเน้นอย่างจริงจังออกมาประโยคหนึ่ง

“ต้องใช้คำว่า ‘ขอเชิญ’ สิ”

ลูกน้องของโลเปซเหลือบมองชายสวมหน้ากากลิงที่เพิ่งพูดออกมาแวบหนึ่งแล้วแค่นจมูก หมุนตัวกลับแล้วเดินนำไป

อีกสองคนที่เหลือถืออาวุธแล้วประกบขนาบซ้ายขวา บีบให้เจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่าอยู่ตรงกลาง

เมื่ออ้อมอาคารไปพวกเขาก็เจอโลเปซ

ชายผมบลอนด์ร่างยักษ์ในเครื่องแบบทหารสีเขียวลายพรางกำลังนั่งอยู่บนฝากระโปรงหน้ารถเอทีวีสีกากี มองดูเจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่าเดินเข้ามาหาตนเองด้วยรอยยิ้ม

ข้างกายเขานั้นมีลูกน้องถือปืนยืนอยู่ทั้งสองฝั่ง

รอจนกระทั่งนักล่าจากต่างถิ่นทั้งสองเดินเข้ามาใกล้ โลเปซก็หัวเราะเสียงดัง

“พวกคุณนี่ ใจเย็นกันมาก”

“คงไม่ใช่ว่าพอมีนิกายตื่นตัวเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ก็เลยคิดจะฆ่าพวกเราหรอกนะ” ในระหว่างที่พูด เจี่ยงไป๋เหมียนก็มองไปรอบๆ แล้วกวาดสายตาผ่านดาดฟ้าของอาคาร

“คนตายย่อมไม่มีทางชี้ตัวว่าใครเป็นฆาตกรที่ฆ่าตัวเองได้ใช่ไหมล่ะ ไอ้เจ้าบัซหน้าโง่นั่นไม่มีทางพิสูจน์อะไรได้หรอก” โลเปซเอนกายมาด้านหน้าเล็กน้อย เพิ่มแรงกดดัน “ผมให้พวกคุณมาที่นี่เพราะมีอะไรจะบอก…”

เสียงเขาเพิ่งจะขาดคำ ก็พลันเห็นว่ามีร่างหนึ่งกระโดดเข้ามาหา ภาพของหน้ากากลิงขนดกปากยื่นปรากฏขึ้นในสายตา

ร่างนั้นเคลื่อนไหวได้รวดเร็วมาก การโจมตีเกิดขึ้นอย่างกะทันหันมากเสียจนโลเปซไม่มีเวลาจะชักปืนขึ้นมา ทำได้เพียงแค่ยกมือขึ้นมาขวางไว้ด้านหน้าเท่านั้น

จากนั้นเขาก็พบว่าอีกฝ่ายเพียงแค่เหวี่ยงมือออกมาง่ายๆ ก็ทำให้มือตัวเองถูกปัดเบี่ยงออกไปด้านข้างอย่างไม่อาจควบคุมได้ นี่ทำให้บริเวณหน้าอกและหน้าท้องของตนเองไร้การปกป้องในทันที

ทำไมแข็งแรงขนาดนี้… ความคิดนี้เพิ่งจะวาบขึ้นในใจของโลเปซ นักล่าที่สวมหน้ากากลิงก็ลดบ่าลงแล้วกระแทกใส่หน้าอกเขาทันที

เสียงดังพลั่ก ทัศนวิสัยเขากลายเป็นมืดครึ้มแล้วก็หงายล้มลงไป

ซางเจี้ยนเย่างอข้อศอกแล้วกระทุ้งติดตาม

ปึก!

หน้าท้องของโลเปซยุบลง ร่างท่อนบนของเขากระตุกเด้งพรวดขึ้นมา

วินาทีถัดมา ลำคอของเขาก็ถูกมือหนึ่งบีบเอาไว้

เขามองหน้ากากลิงที่ดูเจ้าเล่ห์ ร้องตะโกนด้วยความตกใจระคนโกรธเกรี้ยว

“แกจะทำอะไร”

ภายใต้ปากกระบอกปืนที่เล็งมา ซางเจี้ยนเย่าพูดอย่างจริงจัง

“หนึ่ง ห้ามเหยียดหยามพี่น้องของฉัน

“สอง กระโปรงหน้ารถไม่ได้มีไว้ให้นั่ง

“สาม ต้องพูดว่า ‘ขอเชิญ’”

“…” โลเปซแทบจะไม่เชื่อหูตัวเอง “แกเสียสติหรือไงเนี่ย”

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท