รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 201 “หน้าตาย”

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 201 “หน้าตาย”

แบรนด์ด้านหลังประตูรู้สึกแปลกใจ

“เฮลเว็กตายแล้วงั้นเหรอ”

ก่อนที่หานวั่งฮั่วจะตอบ เขาก็หัวเราะออกมาเสียงดังลั่น

“น่าเสียดาย ตอนนี้ผมกลายเป็น ‘ผู้อันธการ’ ไปแล้ว ไม่งั้นคงดื่มเหล้าเลิศรสปฐมนครสักแก้วเพื่อฉลองเสียหน่อย”

เฮลเว็กน่ารังเกียจขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย… หลงเยว่หงได้ยินแล้วถึงกับพูดไม่ออก

แบรนด์หยุดหัวเราะอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็พูดอย่างทอดถอนใจ

“ตั้งแต่เข้ามาอยู่ในห้องนี้ ผมก็ไม่เคยได้ออกไปไหนอีกเลย

“เรื่องนี้ผู้แจ้งเตือนซ่งเป็นพยานได้”

ซ่งเหอผงกศีรษะ

“การสาบานตนเป็น ‘ผู้อันธการ’ ก็หมายถึงการกลับคืนสู่ความมืดมิดนับจากนั้นเป็นต้นไป และถอยห่างจากวิถีโลกแห่งมนุษย์

“นี่เป็นคำมั่นที่กระทำต่อหน้าผู้ครองกาล หากล่วงละเมิดคือการดูหมิ่นองค์เทพี ผมเชื่อว่าแบรนด์จะไม่ทำเช่นนั้น”

เขาหยุดไปชั่วขณะ

“ห้องของผมอยู่ถัดไปข้างหน้านี่เอง ผมไม่เคยพบว่าแบรนด์ออกไปไหน”

เขาใช้ชื่อเสียงตนเองมารับประกัน

ในชุมชนศิลาแดง เขานับเป็นผู้ที่ได้รับความเชื่อถือมากที่สุด

“ถ้าเช่นนั้นผมก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว” หานวั่งฮั่วเลือกที่จะเชื่อเขา

ถานเจี๋ยไม่ได้พูดอะไร

แบรนด์ซึ่งอยู่ด้านหลังประตูสูดลมหายใจลึกแล้วค่อยๆ ผ่อนออกมา

“คนที่เกลียดชังเฮลเว็กนั้นมีอยู่มากมาย ถ้าในหมู่คนเหล่านั้นจะบังเอิญมีผู้ตื่นรู้ปรากฏขึ้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

“นอกจากนี้ ดิมาร์โก้ที่ใต้ดินนั่นก็น่าสงสัยเหมือนกัน

“พวกคุณกลับไปเถอะ ผมเริ่มจะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้แล้ว”

หานวั่งฮั่วเหลือบมองถานเจี๋ย เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้คัดค้าน ก็เอ่ยปากพูด

“พวกเรากลับไปห้องโถงกันก่อนเถอะ”

ภายใต้การนำของซ่งเหอ พวกเขาก้าวเท้าออกมาจากห้องที่แบรนด์กำลังบำเพ็ญเพียรอยู่

เจี่ยงไป๋เหมียนเหลียวหน้ากลับไปมอง เห็นว่าด้านหลังบานประตูไม้สีแดงเข้มนั้นเหลือไว้เพียงแค่ความเงียบ ไร้ซึ่งสุ้มเสียงใดๆ

เมื่อเข้ามาในห้องโถงแล้ว บัซเป็นคนแรกสุดที่ถอนหายใจออกด้วยอารมณ์

“ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่าแบรนด์จะเป็นคนทำเรื่องพวกนั้น พวกผู้ตื่นรู้นี่น่ากลัวจริงๆ”

ในฐานะลูกน้องคนสนิทของเฮลเว็ก เขาย่อมรู้เรื่องเกี่ยวกับผู้ตื่นรู้มาไม่น้อย ทว่าก็ไม่เคยเข้าใจลึกซึ้งอย่างเช่นวันนี้ที่ได้ประสบพบพานด้วยตัวเอง

ซ่งเหอมองดูเขาแล้วผงกศีรษะเล็กน้อย

“คุณไปตามหาวีลต่อเถอะ”

บัซไม่ใช่คนสมองทึบ เขาเข้าใจได้ในทันทีว่าผู้แจ้งเตือนไม่อยากให้เขาฟังการสนทนาต่อจากนี้ จึงรีบโบกมือให้ซางเจี้ยนเย่า พูดอย่างยิ้มแย้ม

“ครั้งนี้ฉันต้องชนะวีลได้แน่”

พูดเสร็จเขาก็สวมหน้ากากโลหะสีดำกลับคืน

“สู้ สู้!” ซางเจี้ยนเย่าให้กำลังใจอย่างจริงใจ

เขาไม่ได้ปิดบังความปรารถนาที่อยากมีส่วนร่วมด้วย

รอจนบัซออกจากห้องโถงไปแล้ว ซ่งเหอก็เปลี่ยนมาใช้ภาษาแดนธุลีพูดกับถานเจี๋ย

“คุณสามารถมาหาแบรนด์เพื่อล้างแค้นได้ตลอดเวลา ขอเพียงแค่บอกให้ผมรู้ก่อนล่วงหน้า”

“ตกลง ผู้แจ้งเตือน” ถานเจี๋ยตอบอย่างเฉยชา “ผมต้องกลับไปหารือกับพวกเขาก่อน”

ซ่งเหอถามเขากลับ

“คุณตื่นรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ปีกว่าแล้ว” ถานเจี๋ยตอบเรียบๆ

ซางเจี้ยนเย่าอุทานออกมาด้วยความสงสัย

“ที่คุณสละไปก็คือทำให้ไม่มีอารมณ์อย่างนั้นเหรอ”

“ฉันบอกกี่ครั้งแล้วว่าห้ามถามเด็ดขาดว่าผู้ตื่นรู้คนอื่นเขาสละอะไร!” เจี่ยงไป๋เหมียนรีบตำหนิทันที “ก็เห็น อยู่ว่าเมื่อกี้ตอนที่เขาอยู่ต่อหน้าแบรนด์ก็ยังแสดงอารมณ์ออกมาเลย”

หัวหน้า… ผมรู้สึกเหมือนคุณกำลังจับมือกับซางเจี้ยนเย่าแสดงละครคู่กันเลยนะ คนหนึ่งร้อง อีกคนก็รับ… หลงเยว่หงแอบค่อนขอดอยู่ในใจ

เขาหันหน้าไปมองไป๋เฉิน พบว่าสหายตัวน้อยคนนี้มีรอยยิ้มอยู่ที่มุมปาก

ถานเจี๋ยนิ่งเงียบไปสองสามวินาที

“การสละของผมเอามาใช้โจมตีไม่ได้ เรื่องนี้พวกคุณพูดกันได้ตามสบาย

“สิ่งที่ผมสละไปก็คือความสามารถในการแสดงอารมณ์”

“มิน่าล่ะ…” ซางเจี้ยนเย่าทุบกำปั้นขวาบนฝ่ามือซ้าย

เขาเปลี่ยนเป็นคึกคักขึ้นมา รีบให้คำแนะนำอีกฝ่ายอย่างแข็งขัน

“คุณเอาหน้ากากมาใช้แสดงอารมณ์ได้นะ ตอนที่อยากยิ้มก็สวมหน้ากากยิ้ม ตอนที่อยากร้องไห้ก็สวมหน้ากากร้องไห้”

นี่เป็นวิธีการที่ยอดเยี่ยมไร้ที่ติซึ่งเขาคิดค้นขึ้นโดยการผสมผสานเข้ากับธรรมเนียมท้องถิ่นของชุมชนศิลาแดง

ในใจเจี่ยงไป๋เหมียนพลันปรากฏคำศัพท์จากโลกเก่าขึ้นมาคำหนึ่งทันที

อีโมจิ[1]

ถึงแม้ว่าคำจำกัดความของคำนี้จะแตกต่างไปจากสถานการณ์ที่ซางเจี้ยนเย่ากำลังพูดถึงอยู่ แต่เธอก็รู้สึกว่าทั้งสองอย่างนี้มีอะไรที่คล้ายกันอยู่พอสมควร

“ผมไม่ได้เป็นโรคประสาทเสียหน่อย” ถานเจี๋ยปฏิเสธคำแนะนำของซางเจี้ยนเย่าอย่างอ้อมๆ

ซางเจี้ยนเย่าตอบกลับด้วยดวงตาเป็นประกาย

“คุณชำนาญการ ‘ยั่วยุ’ จริงๆ!”

ดวงตาถานเจี๋ยปรากฏแววตาแปลกๆ ขึ้น เลิกให้ความสนใจกับเจ้าหมอนี่อีก

เจี่ยงไป๋เหมียนเห็นว่าคนภาษาธุลีผู้นี้มักตอบคำถามทั้งที่ไม่จำเป็น รู้สึกว่าค่อนข้างเป็นมิตร จึงตัดสินใจเตือนออกมาประโยคหนึ่ง

“ฉันเคยได้ยินมาว่าเมื่อเวลาที่พลังผู้ตื่นรู้นั้นแข็งแกร่งมากขึ้น สิ่งที่สละไปก็จะรุนแรงขึ้น การที่ไม่แสดงอารมณ์ในตอนนี้ดูเหมือนจะไม่มีอันตรายอะไร แต่พอถึงตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”

“ถูกต้อง” ผู้แจ้งเตือนซ่งเหอยืนยัน

เขามองดูถานเจี๋ยที่ไม่ได้สวมหน้ากาก

“คุณควรจะมาโบสถ์ตั้งแต่เนิ่นๆ มาฟังเทศน์ของมุขนายก

“นี่จะช่วยให้คุณเข้าใจความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับผู้ตื่นรู้มากขึ้น จะได้หลีกเลี่ยงอันตรายที่ไม่จำเป็น

“การงมหาคลำทางเองอาจจะเกิดความผิดพลาดได้ง่าย”

ราวกับถานเจี๋ยรับรู้ถึงความเป็นมิตรของซ่งเหอได้ เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบ

“ในตอนนั้น ผลกระทบจากคดีก่อนๆ ไม่ได้ลดลง ผมก็เลยคิดว่านิกายต้องการปกป้องคนแม่น้ำแดงจึงไม่ยอมเปิดเผยความลับของพวกเขาเสียอีก”

“ดีที่คุณไม่มีพลังในด้านที่เกี่ยวกับความกลัว ไม่อย่างนั้นเกี่ยวกับการเสียชีวิตของเฮลเว็ก คุณก็คงพูดให้ชัดเจนไม่ได้หรอก” ซ่งเหอถอนหายใจด้วยเมตตาจิต

“ทำไมล่ะ” สีหน้าสงสัยของซางเจี้ยนเย่าถูกปกปิดไว้หลังหน้ากากลิง

ซ่งเหอมองดูเขาแล้วยิ้มให้ แต่ไม่ได้ตอบคำ

ดูท่าแล้วนี่คงจะเป็นความรู้ซึ่งเป็นความลับของนิกายตื่นตัวสินะ… คนที่มีพลังในด้านการ ‘ยั่วยุ’ จะไม่สามารถตื่นรู้ความ ‘กลัวสุดขีด’ ขึ้นมาได้อย่างนั้นเหรอ หรือจะพูดอีกอย่างก็คือเป็นผลมาจากความขัดแย้งกันอย่างคลุมเคลือของการสละที่สอดคล้องกันใช่ไหม… เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้สนใจจะ ‘ดุ’ ซางเจี้ยนเย่า ในตอนนี้ความคิดเธอกำลังวิ่งพล่านจากการวิเคราะห์

ซ่งเหอหันกลับมาที่ถานเจี๋ย พูดด้วยความสงบนิ่ง

“ในเมื่อคุณเป็นผู้ตื่นรู้แล้ว งั้นตอนนี้ก็สามารถเลือกได้ว่าจะเข้ามาเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายกิจการของนิกาย หรือจะอยู่ในสถานภาพแบบเดิมก็ได้ ไม่ว่าจะเลือกแบบไหนก็ไม่ส่งผลต่อการมาฟังเทศน์ของมุขนายก เพื่อศึกษาเรียนรู้เรื่องพวกนี้”

เมื่อซางเจี้ยนเย่าฟังมาถึงประโยคนี้ เขาก็ยกมือขึ้นแต่แล้วก็ลดมือลง มีท่าทางลังเลสองจิตสองใจ

ถานเจี๋ยใคร่ครวญอยู่สองสามวินาทีก่อนจะตอบ

“ผมจะพิจารณาดูครับ”

หลังจากจัดการเรื่องของถานเจี๋ยเสร็จ ซ่งเหอก็หันไปมองหานวั่งฮั่ว

“พวกมนุษย์มัจฉากับปีศาจภูเขามีความเคลื่อนไหวอะไรหรือเปล่า”

หานวั่งฮั่วพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม

“ผมส่งคนไปสอดแนมแล้ว พวกเขามีสัญญาณว่าร่วมมือเป็นพันธมิตรกัน

“ก่อนที่ผมจะมาโบสถ์ก็สั่งยามเมืองจัดเตรียมแนวป้องกันที่หนึ่งและสองเอาไว้แล้ว”

ซ่งเหอพยักหน้าเบาๆ ถอนหายใจ

“จะว่าไปแล้ว ซากเมืองใหญ่ขนาดนี้ พื้นที่เพาะปลูกที่รอการไปแผ้วถากถางก็มีมากมาย การจะรองรับมนุษย์ชั้นรองเพิ่มเข้ามาอีกสักสองสามกลุ่มก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของชาวชุมชนสักเท่าไหร่ แต่น่าเสียดายที่ความเกลียดชังระหว่างสองฝ่ายได้หยั่งรากลงไปแล้ว การรดน้ำด้วยเลือดก็ยิ่งทำให้ความเกลียดชังยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ”

เมื่อซ่งเหอรับรู้ได้ถึงสายตาที่จ้องมองมาของหลงเยว่หง ไป๋เฉิน รวมถึงคนอื่นๆ เขาก็หัวเราะเยาะตัวเองออกมา

“สำหรับผู้ครองกาลแล้ว ทุกสรรพชีวิตล้วนเท่าเทียมกัน และในฐานะนักบวชขององค์ ‘ธชียมโลก’ ในสายตาของผมนั้น ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์มัจฉาหรือปีศาจภูเขาก็ตามที ต่างก็สามารถกลายมาเป็นสาวกผู้ศรัทธาได้ทั้งนั้น

“ทว่าผมนั้นขลาดเขลาเกินไป ไม่กล้าเข้าไปเผยแผ่นิกายในนิคมมนุษย์ชั้นรองเพียงลำพัง”

หานวั่งฮั่วเงียบไปสองสามวินาทีก่อนจะพูดออกมา

“ผมเคยได้ยินมาว่าตอนที่คุณเพิ่งมาถึงชุมชนศิลาแดง ตอนนั้นที่นี่ปั่นป่วนโกลาหลยิ่งกว่าเสียอีก มีเสียงปืนดังขึ้นไม่เว้นวัน ผู้แจ้งเตือน… คุณไม่ได้ขลาดเขลาแม้แต่นิดเดียว”

ซ่งเหอหัวเราะฮ่า ฮ่า

“ในตอนนั้นผมยังหนุ่มอยู่ก็เลยเลือดร้อนน่ะ เป็นเพราะศรัทธาในองค์ ‘ธชียมโลก’ มีเพียงความมุ่งมั่นจิตหนึ่งใจเดียว คิดแค่ว่าต้องการแสดงความจริงใจ ส่วนในตอนนี้นะเหรอ เฮ้อ… มีคำพูดหนึ่งกล่าวเอาไว้ว่า ยิ่งเผชิญโลกมามากก็ยิ่งมีความกล้าน้อยลง”

หลังจากจบการสนทนาเรื่องมนุษย์ชั้นรองแล้ว หานวั่งฮั่วกับถานเจี๋ยก็กล่าวอำลาแล้วจากไป

ขณะที่ ‘ทีมสำรวจเก่า’ กำลังจะตามออกไป ซางเจี้ยนเย่าก็พลันหันหน้ากลับมา

“คำถามสุดท้ายนะครับ ทำไมวีลถึงยังอยู่ในโบสถ์ล่ะ”

เขาให้ความสนใจเป็นพิเศษกับ ‘แชมป์เปี้ยนซ่อนหา’ คนนี้

ซ่งเหอรู้ว่าพวกเขาเป็นนักล่าซากอารยะที่มาจากต่างถิ่น จึงไม่ได้รู้สึกแปลกใจแม้แต่น้อย

“นี่เป็นรางวัลสำหรับผู้ชนะในพิธีมิสซาทุกครั้งน่ะ ใครชนะก็จะได้อยู่ในโบสถ์ระยะเวลาหนึ่งเพื่อรับการุณย์แห่งองค์เทพี สดับฟังคำสั่งสอน”

เจี่ยงไป๋เหมียนซึ่งสวมหน้ากากหลวงจีนรูปงามเลิกคิ้วขึ้นโดยพลัน

ซางเจี้ยนเย่าพูดไปแล้วว่าเป็นคำถามสุดท้าย ดังนั้นจึงไม่อยู่ต่ออีก เขาหมุนกายออกจากโบสถ์นิกายตื่นตัว

“ผมจะไปที่เขตคนภาษาธุลี พวกคุณล่ะ” หานวั่งฮั่วหยุดรออยู่หน้ารถออฟโรดที่มีสภาพอนาถา เอ่ยถาม ‘ทีมเฉียนไป๋’

ถานเจี๋ยยืนข้างเขา มองมาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

“เราจะไปสืบหาการตายของเฮลเว็กต่อน่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบ

หานวั่งฮั่วผงกศีรษะ

“งั้นพวกคุณก็ระวังตัวไว้หน่อยก็แล้วกัน พวกมนุษย์มัจฉากับปีศาจภูเขาอาจจะโจมตีมาได้ทุกเมื่อ”

“ขอบคุณค่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบรับอย่างสุภาพ

หลังจากมองส่งหานวั่งฮั่วกับถานเจี๋ยขับรถออกไปแล้ว ‘ทีมสำรวจเก่า’ ก็ขึ้นรถจี๊ปของตัวเอง

เจี่ยงไป๋เหมียนนั่งในตำแหน่งที่นั่งข้างคนขับ โบกมือให้ไป๋เฉินสตาร์ทรถพลางร้อง “อืม” ออกมาหนึ่งคำ

“จากที่ดูในตอนนี้ ไม่น่าเป็นไปได้ที่เฮลเว็กถูกอันเฮอบัสฆ่านะ”

หลงเยว่หงไม่ได้ถามว่าทำไม พยายามทำความเข้าใจกับความคิดของหัวหน้าทีม

“เป็นเพราะอันเฮอบัสดูไม่ค่อยสนใจจะฆ่าปิดปากบัสนะเหรอ”

“ใช่” เจี่ยงไป๋เหมียนแสดงการยืนยัน “ถ้าหากว่าอันเฮอบัสเป็นคนฆ่าเฮลเว็กจริงๆ เขาจำเป็นต้องรีบกำจัดบัซและคนอื่นๆ โดยเร็วที่สุดเพื่อไม่ให้เกิดความเสี่ยงเรื่องความลับถูกเปิดเผย ตอนที่เราพาบัซไปโบสถ์ก็ไม่ได้เจอการขัดขวางอะไรเลย แล้วหลังจากนั้นพักหนึ่งโลเปซถึงได้พาคนไป

“นี่ก็หมายความว่าอันเฮอบัสส่งลูกน้องไปหาบัซกับคนอื่นๆ ก็เพื่อสอบถามรายละเอียดของเรื่องราวว่าเป็นยังไงกันแน่ เนื่องจากเฮลเว็กเสียชีวิตกระทันหันก็เลยทำให้เขาไม่ค่อยสบายใจ”

ไป๋เฉินซึ่งกำลังขับรถอยู่ มองไปข้างหน้าพลางพูดขึ้น

“ตอนนี้ก็ยิ่งตอกย้ำคำพูดของแบรนด์ ที่บอกว่าน่าจะเป็นฝีมือของศัตรูของเฮลเว็กหรือไม่ก็ดิมาร์โก้”

เจี่ยงไป๋เหมียนพยักหน้าเบาๆ ถอนหายใจ

“ช่างมันเถอะ นี่ไม่ใช่ประเด็นที่ต้องไปใส่ใจในตอนนี้

“เรื่องสำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือจะทำยังไงกับอาวุธพวกนั้นกันดี

“ถ้าหากอันเฮอบัสบริจาคอาวุธพวกนั้นให้กับยามเมืองจริงๆ แบบนี้จะนับว่าเราทำภารกิจสำเร็จหรือเปล่า”

หลงเยว่หงพูดอย่างลังเล

“ก็ไม่น่าจะนับ”

“ตราบใดที่อันเฮอบัสไม่ได้ระบุออกมาอย่างชัดเจนว่านั่นเป็นอาวุธของเฮลเว็กที่หายไป ย่อมไม่อาจนับได้ว่าภารกิจสำเร็จ” ไป๋เฉินแสดงการยืนยันออกมา

อันเฮอบัสย่อมไม่สมองทึบจนสารภาพออกมาเองหรอก

เจี่ยงไป๋เหมียนกัดฟันพูด

“ตอนนี้พวกเราก็คงต้องคิดหาวิธีว่าจะเอาอาวุธกลับมาได้ยังไง เพื่อจัดการภารกิจให้เรียบร้อยก่อนละนะ”

หลงเยว่หงครุ่นคิดตรึกตรอง

“ภายใต้สถานการณ์ตอนนี้ ยามของชุมชนศิลาแดงมีความจำเป็นต้องใช้อาวุธชุดนี้มาก”

“ไม่มีปัญหาหรอก เราก็แบ่งครึ่งก่อน แล้วก็เอาไปรวมกับวัตถุปัจจัยที่เรารวบรวมไว้ก่อนหน้านี้ จากนั้นก็บริจาคให้กับยามเมืองแล้วต่อรองกับพวกเขาว่าหลังจากที่จัดการแก้ปัญหาเรื่องมนุษย์มัจฉากับปีศาจภูเขาให้แล้วก็ให้

พวกเขาปลดระวางชุดเกราะเสริมแรงทางทหารให้พวกเราสักชุด ในตอนนั้นพวกมุนษย์ชั้นรองเสียหายบอบช้ำอย่างหนักไปแล้ว ชุมชนศิลาแดงก็ไม่มีศัตรูภายนอกชั่วคราว พวกเขามีเวลาเหลือเฟือเพื่อรอรุ่นใหม่ที่ส่งมาจาก ‘ยูไนเต็ดอินดัสทรีส์’ และนี่ก็เป็นโอกาสให้อันเฮอบัสไถ่โทษอีกด้วย” เจี่ยงไป๋เหมียนเล่าแผนการของตนเองออกมา “แผนสุดยอด!”

ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะอย่างแรง

“ถึงยังไงอันเฮอบัสก็ต้องบริจาคอาวุธพวกนั้นอยู่แล้ว จะบริจาคให้ยามเมืองหรือบริจาคให้เรา สำหรับเขาแล้วก็ไม่มีอะไรแตกต่างกัน”

“นอกจากนั้นอันเฮอบัสก็อาจจะไม่เต็มใจบริจาคให้กับยามเมืองด้วย เขาอาจจะมีวิธีแก้ปัญหาแบบอื่นก็ได้” เจี่ยงไป๋เหมียนตบมือหนึ่งฉาด “พวกเราไปที่บ้านพักริมทะเลสาบกันเถอะ ไปหาโอกาสเคลียร์ภารกิจกัน”

ซางเจี้ยนเย่าแสดงความเห็นด้วยอย่างตื่นเต้น

“ไปก่อกวน! ไปก่อกวน!”

[1] อีโมจิ (表情包) เป็นสัญรูปที่ใช้แสดงความรู้สึกในสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น รูปแสดงสีหน้าอารมณ์ กิริยาท่าทาง วัตถุ สถานที่ ลมฟ้าอากาศ เป็นต้น

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท