รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 204 สารภาพ

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 204 สารภาพ

ณ ที่จอดรถใต้ดินที่พักริมทะเลสาบ

ลูกน้องคนสนิทของอันเฮอบัสกลับมาแล้ว กำลังรายงานสถานการณ์ให้เขาทราบ

“รถเอทีวีถูกพวกมันเอาไป อาวุธที่อยู่ในรถบรรทุกขนาดเล็กก็ถูกเอาไปด้วย…”

เมื่อได้ฟังเช่นนี้ ในที่สุดอันเฮอบัสก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด

การโจมตีที่ ‘ประกาศอย่างใหญ่โต’ ก่อนหน้านี้ ที่จริงแล้วมีจุดประสงค์คือปล้นอาวุธต่างหาก!

การกำจัดคนอพยพต่างถิ่นเอย การสมคบคิดกับปีศาจภูเขาเอย โกหกทั้งเพ!

ที่คนพวกนั้นทำเรื่องวุ่นวายใหญ่โตก็เพียงแค่เพราะอาวุธพวกนั้น!

“ไอ้สารเลว!” อันเฮอบัสด่าออกมา

ลูกน้องคนสนิทที่เขาส่งไปตรวจสอบสถานการณ์ก็เริ่มจะเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดได้คร่าวๆ บ้างแล้ว จึงเอ่ยถามขึ้นมาอย่างงุนงงสงสัย

“เจ้านาย นี่เป็นฝีมือใคร

“คนภาษาธุลี หรือว่าพ่อบ้านของดิมาร์โก้”

อันเฮอบัสพยายามครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบออกมา

“ไม่ใช่พวกเขา ถ้าเป็นฝีมือพวกเขา ก็น่าจะต้องมุ่งเป้ามาที่ฉันโดยตรงมากกว่า”

ในเมื่อจัดการอันเฮอบัสไปแล้ว ยังจะกลัวว่าไม่ได้ครอบครองอาวุธหรือไง

แถมยังมีวัตถุปัจจัยอื่นๆ อีกเพียบติดไม้ติดมือกลับไปด้วย!

และผลประโยชน์อย่างอื่นที่ตามมาก็ยังมีอีกมากมายจนนับไม่ถ้วนเลยทีเดียว

คนสนิทของอันเฮอบัสเห็นด้วยกับเรื่องที่เจ้านายวิเคราะห์ออกมา

“งั้นยังเป็นใครได้อีก”

“ในชุมชนศิลาแดง คนที่ให้ความสำคัญกับอาวุธมากกว่าความขัดแย้งภายในก็มีแค่สามกลุ่มเท่านั้น” แน่นอนว่าสมองของอันเฮอบัสไม่ได้กลวง ขณะที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่ก็ค่อยๆ พูดออกมาทีละเรื่อง

“หนึ่งคือคนอย่างเลห์แมน สองคือเทเรซ่า สามคือทีมนักล่าซากอารยะที่รับภารกิจ”

เลห์แมนเป็นพ่อค้าของเถื่อนจาก ‘ยูไนเต็ดอินดัสทรีส์’ เขานี่แหละที่เป็นคนขายอาวุธให้เฮลเว็ก

“ก่อนที่พวกเราจะเป็นผู้กำชัยชนะเด็ดขาด เลห์แมนจะไม่แสดงออกว่ายืนอยู่ฝ่ายไหน จึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะย้ายฝั่งมาทางชุมชนศิลาแดง นอกเสียจากว่าเขาจะจัดการพวกคนภาษาธุลีกับพ่อบ้านของดิมาร์โก้ไปแล้ว แต่ถ้าเป็นแบบนี้เป้าหมายของเขาก็จะรวมถึงพวกเราด้วย” ลูกน้องคนสนิทของอันเฮอบัสวิเคราะห์ความคิดของเจ้านาย “ส่วนลูกน้องเฮลเว็กตอนนี้พวกมันไม่มีหัวหน้า ดังนั้นจึงไม่น่าจะทำเรื่องแบบนี้ได้”

อันเฮอบัสซึ่งมีเคราหนาจนเหมือนกับเป็นหน้ากากตามธรรมชาติผงกศีรษะเล็กน้อย

“เท่าที่ดูตอนนี้ ก็เหลือเพียงแค่กลุ่มนักล่าซากอารยะเท่านั้น”

ภายใต้สถานการณ์ที่หานวั่งฮั่วกำลังจัดตั้งแนวป้องกันเช่นนี้ จึงตัดพวกมนุษย์ชั้นรองภายนอกกับพวกโจรทิ้งไปได้เลย

“พวกมันนับว่าขวัญกล้ามาก…” ลูกน้องคนสนิทอันเฮอบัสพูดออกมาแล้วก็นิ่งเงียบไปทันที

เขานึกถึงบางเรื่องที่เกี่ยวข้องขึ้นมาได้

อันเฮอบัสถามด้วยความสงสัย

“มีอะไร”

ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้สนใจกลุ่มนักล่าที่รับภารกิจตามหาอาวุธเพราะดูเหมือนว่าพวกนั้นจะมีกันอยู่ไม่กี่คน ไม่มีทางเป็นภัยคุกคามตนเองได้ ดังนั้นก็เลยโยนเรื่องไปให้โลเปซเป็นคนจัดการ

ดูท่าแล้วคงต้องประเมินความแข็งแกร่งของทีมนี้กันใหม่แล้วสินะ

อืม… ดูเหมือนว่าเมื่อตอนบ่าย พวกนั้นก็สามารถเอาชนะโลเปซได้ด้วย ไม่ได้มีแค่ใจกล้าบ้าบิ่น แต่ยังชอบเสี่ยงอีกต่างหาก… มิน่าล่ะ ถึงได้กล้าบุกโจมตีที่นี่แล้วฉกอาวุธไป… อันเฮอบัสตระหนักได้ในทันที

แล้วตอนนี้คนสนิทของเขาก็พูดตะกุกตะกักออกมา

“พวกเขา… พวกเขามีแค่… มีกันแค่สี่คน”

“ว่าไงนะ” อันเฮอบัสแทบไม่เชื่อหูตัวเอง “มีแค่สี่คน”

มีเพียงแค่สี่คนแต่กลับกล้าปล้นอาวุธต่อหน้ากองกำลังติดอาวุธหลายสิบคนต่อหน้าต่อตาเขาเลยเนี่ยนะ

แถมยังทำสำเร็จอีกต่างหาก!

เมื่อพิจารณาจากรูปแบบการต่อสู้เมื่อครู่นี้กับผลลัพธ์สุดท้าย เขายังคิดว่าอย่างน้อยก็ต้องมีถึงสิบคน

“ใช่ มีแค่สี่คน” คนสนิทอันเฮอบัสกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก “ผมไปถามคนที่สมาคมนักล่ามา ช่วงนี้เข้าฤดูหนาวแล้ว นอกจากพวกเขาก็ไม่มีนักล่าต่างถิ่นที่ไหนมาอีกแล้ว พวกเขาเองก็ดูเหมือนว่าไม่ได้หาผู้ช่วยด้วย”

เขาเพิ่งจะคิดว่านักล่าทีมนี้มีความกล้าหาญชาญชัย แต่ตอนนี้ดูท่าแล้วคงจะไม่สามารถใช้คำว่ากล้าหาญมานิยามได้ นี่มันคนบ้าคนเสียสติชัดๆ!

ทั้งสี่คนนั่นมาถึงประตูหน้าบ้านตนซึ่งมีกองกำลังติดอาวุธคอยป้องกันอยู่หลายสิบ แต่กลับปล้นอาวุธไปอย่างง่ายดาย!

อันเฮอบัสถึงกับพูดไม่ออกไปพักใหญ่ เขาไม่เคยพบเคยเจอเรื่องอะไรแบบนี้มาก่อนตลอดชีวิตอันยาวนานที่ผ่านมา

ผ่านไปหลายสิบวินาทีถึงจะเอ่ยปากถามได้

“มีแค่สี่คนจริงๆ นะเหรอ”

คนสนิทของเขาพยักหน้าอย่างแรง

อันเฮอบัสถามต่อ

“แล้วพวกโลเปซล่ะ ตายไปกี่คน”

“ดูเหมือน… ดูเหมือนจะไม่มีใครตายซักคน ทั้งหมด… ทั้งหมดหนีไปได้” ยิ่งพูดออกมา คนสนิทอันเฮอบัสก็ยิ่งแตกตื่นมากขึ้นทุกขณะ

นอกจากจะบ้าคลั่งแล้ว นี่มันยังเหลวไหลไร้สาระสุดๆ อีกด้วย

อันเฮอบัสนิ่งเงียบงันไปเนิ่นนาน รอจนครึ่งค่อนวันกว่าจะพูดออกมาได้

“นักล่าทีมนั้นมีความเชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาของจิตใจคน

“จุดสำคัญสุดของการแสดงนี้ก็คือการประกาศแจ้งเตือน มันเอาความสงสัย ความกลัว และความระวังตัวภายในใจของพวกเรามาขยายจนถึงขีดสุด นำความตื่นตัวและความไม่ยอมเชื่อใจใครอย่างหลับหูหลับตาของทุกคนมาใช้อย่างชาญฉลาด

“หลังจากที่ประกาศออกมาแล้ว ชาวชุมชนทุกคนก็คิดว่านั่นเป็นกองกำลังติดอาวุธที่นิกายส่งออกมาจริงๆ และเริ่มสงสัยว่าพวกคนอพยพต่างถิ่นนั่นสมคบคิดกับปีศาจภูเขา เรื่องการ ‘กวาดล้างทำความสะอาด’ นี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกเขาแม้แต่น้อย ส่วนพวกโลเปซก็มั่นใจว่าถูกฉันขายทิ้งเพื่อต้องการให้พวกเขาเป็นแพะรับบาป จึงไม่ได้ต่อสู้ศัตรูอย่างสุดจิตสุดใจเต็มความสามารถ…

“ที่จริงทางฝั่งพวกเราน่ะ ไม่ว่าจะในแง่ของจำนวนคน ในแง่ของพลังยิง ล้วนเหนือกว่าพวกเขาอย่างเทียบไม่ติด แต่พอเจอแบบนี้เข้าไปก็เลยทำให้เป็นเหมือนบ้านเก่ากระเบื้องผุ แค่แตะนิดเดียวก็พังลงมาแล้ว…”

เขาไม่ได้พูดความคิดของตัวเองต่อจากนั้นออกมาอีก

เพราะไม่เหมาะที่จะเปิดเผยให้ลูกน้องรับรู้

ลูกน้องคนสนิทของเขาได้ฟังแล้วก็ทั้งตกตะลึงทั้งโมโหโกรธเกรี้ยว

“พวกมันมาล้อเล่นกับจิตใจของผู้คนแบบนี้ ยังคิดว่าจะอยู่ในชุมชนศิลาแดงต่อได้อีกอย่างนั้นเหรอ

“เจ้านาย จะเอาคืนพวกมันหรือเปล่า ทำให้พวกมันรู้ซึ้งไปถึงทรวงเลยว่าบนแดนธุลีเนี่ย สิ่งสำคัญที่สุดก็คือพละกำลังความแข็งแกร่งของตัวเองต่างหาก”

อันเฮอบัสพูด “อืม” ออกมาคำหนึ่ง

“เอาไว้ค่อยหาโอกาสทีหลัง

“ตอนนี้ยังมีเรื่องอื่นต้องทำ”

“อะไรนะ” คนสนิทของเขารู้สึกไม่เข้าใจอยู่บ้าง

เรื่องที่ควรทำตอนนี้ ไม่ใช่ว่าต้องรีบไปเอาอาวุธพวกนั้นกลับมาหรือไง

อันเฮอบัสหยิบหน้ากากสีขาวดวงตาสีดำขึ้นมาสวมไว้บนหน้า

“ไปที่โบสถ์นิกายตื่นตัว”

พูดจบเขาก็สั่งการด้วยเสียงต่ำ

“ส่งคนไปตามหาโลเปซกับพวก แล้วเชือดพวกมันทิ้งซะ!”

* * * * *

ด้านนอกของโบสถ์นิกายตื่นตัวที่ดูเหมือนป้อมปราการ หลงเยว่หงจับกุมโลเปซที่ฟื้นสติขึ้นมาแล้ว เดินลงจากรถจี๊ป

เขาเหลือบมองลังที่ตั้งเรียงเอาไว้เต็มรถ รู้สึกถึงสิ่งที่เรียกว่าความสุขอยู่เต็มหัวใจ

ในตอนนี้ตัวเขาเองยังรู้สึกว่าเป็นเรื่องเหลือเชื่อมาก เรื่องราวลุล่วงไปได้ด้วยดีราวกับว่ากำลังฝันไป

ขณะนี้ซางเจี้ยนเย่าซึ่งสวมหน้ากากลิงก็รีบรี่ไปที่ประตูโบสถ์นิกายตื่นตัวที่ปิดสนิทแล้วเคาะลงไปปังปัง

ประตูเปิดออกอย่างรวดเร็ว มียามของโบสถ์ในเสื้อคลุมสีดำถือปืนกลมือคนหนึ่งรีบออกมาแล้วถามขึ้นอย่างระวัง

“มีอะไรเหรอ”

“มีเรื่องสำคัญมาก” ซางเจี้ยนเย่าเน้นย้ำด้วยสีหน้าจริงจัง “พวกเรามาหาผู้แจ้งเตือนซ่ง”

ปัง!

บานประตูพลันปิดต่อหน้าเขาทันที

ไม่กี่นาทีต่อมา ซ่งเหอซึ่งไม่ได้สวมหน้ากากก็เป็นคนเปิดบานประตูที่ค่อนข้างหนักบานนั้นออกมา จากนั้นมองดูทุกคนรอบๆ

สายตาเขาสะดุดที่โลเปซซึ่งถูกล็อคกุญแจมือและรถเอทีวีสีกากีทันที

ซ่งเหอเอ่ยปากถามหลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย

“เขาโจมตีพวกคุณเหรอ”

ซางเจี้ยนเย่าตอบกลับทันที

“เราโจมตีพวกเขาแล้วเอาอาวุธกลับมา”

สายตาซ่งเหอกวาดไปมาระหว่างพวกเขาอยู่สองสามรอบ

“พวกคุณตามโลเปซไปแล้วก็เจออาวุธพวกนั้นนะเหรอ”

เขาใช้ความเข้าใจในเรื่องราวของตนประมวลสถานการณ์ออกมา

“ก็อะไรประมาณนั้น” เจี่ยงไป๋เหมียนรีบหยุดซางเจี้ยนเย่าที่กำลังจะแย้ง แล้วพูดเสียงดัง “ผู้แจ้งเตือนซ่ง พวกเราอยากจะขอพักที่โบสถ์ซักคืน พรุ่งนี้พวกเราจะเอาอาวุธไปคืนเพื่อส่งมอบภารกิจ เราอยากจะหารือกับยามเมืองเรื่องข้อเสนอด้วย”

ซ่งเหอยิ้มออกมาเพราะเข้าใจเรื่องราวได้กระจ่าง

“ไม่มีปัญหา

“ภายใต้สายตาเฝ้ามองแห่งเทพี ‘ธชียมโลก’ จะไม่มีใครกล้าก่อกวน”

เจี่ยงไป๋เหมียนเอี้ยวตัวไปชี้ที่โลเปซ

“ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ในเหตุการณ์ คุณถามเขาเองก็แล้วกัน พวกเราไม่ว่าอะไร

“อ้อ… ขอห้องพักแบบสี่คนนะคะ”

“ได้” ซ่งเหอตอบรับ

* * * * *

เจ็ดแปดนาทีต่อมา อันเฮอบัสก็พาคนสนิทติดตามมาด้วยสองสามคนมายังโบสถ์นิกายตื่นตัว

เพียงแค่แว่บแรกเขาก็มองเห็นรถเอทีวีสีกากีที่จอดอยู่หน้าประตูโบสถ์ทันที แต่ภายในนั้นว่างเปล่า ไม่มีอาวุธอะไรอยู่

อันเฮอบัสหนังตากระตุก เขาสูดหายใจเข้าลึกแล้วเดินไปที่ประตู

ประตูโบสถ์ถูกเปิดคาไว้อยู่ ไม่ได้ปิด

ก่อนที่อันเฮอบัสจะเคาะประตู เสียงของซ่งเหอก็ดังออกมาจากด้านใน

“เชิญเข้ามา”

อันเฮอบัสกับคนสนิทสองสามคนเดินเข้าไปในห้องโถง ยกสองแขนขึ้นมาไขว้ไว้ด้านหน้า ถอยหลังไปหนึ่งก้าว

เมื่อคำนับ ‘ธชียมโลก’ เสร็จ อันเฮอบัสก็หันไปทางซ่งเหอซึ่งยืนถัดจากสัญลักษณ์ขนาดยักษ์แล้วคุกเข่าลงข้างหนึ่ง

“ผู้แจ้งเตือน ผมอยากสารภาพ!” เขาตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความสำนึกผิด

สีหน้าซ่งเหอไม่ได้เปลี่ยนแปลง

“พูดมาเถอะ

“องค์ ‘ธชียมโลก’ กำลังเฝ้ามองคุณ”

อันเฮอบัสอธิบายว่าตนเองถูกพวกคนอพยพต่างถิ่นหลอกลวงได้ยังไง ขโมยอาวุธของเฮลเว็กไปยังไง เล่าออกมา ‘ตั้งแต่ต้นจนจบ’

จนกระทั่งถึงตอนท้าย เขาก็พูดด้วยน้ำตานองหน้า

“ความโลภทำให้ผมตาบอด ผมยินดีรับโทษจากองค์เทพี”

ซ่งเหอผงกศีรษะเบาๆ

“การสารภาพก็คือก้าวแรกของการไถ่บาป ต่อจากนี้ไปคุณต้องให้ความร่วมมือเต็มที่เพื่อสนับสนุนชุมชุนศิลาแดงในการป้องกันมนุษย์ชั้นรอง”

“ครับ ผู้แจ้งเตือน” อันเฮอบัสถอนใจโล่งอก

ซ่งเหอพูดต่อ

“ในตอนนี้ชุมชนศิลาแดงขาดกำลังพล พวกผู้อพยพต่างถิ่นเหล่านั้นสามารถเข้ามาช่วยเสริมได้ ให้พวกเขาลงแรงเพื่อไถ่ถอนความผิด”

อันเฮอบัสตอบตกลงอย่างไม่ลังเล

หลังจากคนสนิทสองสามคนของเขาที่ตามมาด้วยสารภาพเสร็จ เขาก็อำลาซ่งเหอเตรียมผละจากไป

ทว่าในตอนที่เขากลับหลังหันไปนั้น ในสายตาก็พลันเห็นหน้ากากลิงเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้น

ไม่ทราบว่าซางเจี้ยนเย่ามาแอบอยู่ด้านหลังพวกเขาตั้งแต่เมื่อไหร่

“ผมมีคำถามสองสามข้อ” เขาประกาศจุดประสงค์ของตนเอง

โดยไม่รอให้อันเฮอบัสเห็นด้วย เขามองผ่านหน้ากากไปยังดวงตาของอีกฝ่ายแล้วถามอย่างจริงจัง

“ทำไมคุณถึงขายอาวุธพวกนั้นให้กับปีศาจภูเขา

“คุณไม่รู้หรือไงว่าถ้าพวกปีศาจภูเขามีอาวุธจำนวนมากอยู่ในมือ พวกนั้นก็จะมาโจมตีชุมชนศิลาแดง ทำให้ทุกคนต้องสูญเสียญาติสนิทมิตรสหายไป

“คุณไม่กลัวว่าครอบครัวตัวเองต้องตายเพราะผลจากการกระทำนี้บ้างเหรอ”

สามคำถามนี้ประดุจว่าทิ่มแทงทะลวงผ่านเสื้อผ้าจักรพรรดิ ทำให้อันเฮอบัสถึงกับหัวหมุน ไม่ทราบจะตอบอย่างไรดี

ไม่กี่วินาทีถัดมาเขาก็รีบพูดละล่ำละลักเสียงดัง

“ผม… ผมไม่ได้ขาย!”

พอปฏิเสธเสียงแข็งออกไปแล้ว เขาก็รีบจ้ำพรวดพราดเดินผ่านซางเจี้ยนเย่าตรงไปที่ประตูทันที

ด้านนอกนั้นเมื่อเขากวาดสายตามองก็พลันเห็นโลเปซซึ่งอยู่ในเสื้อคลุมสีดำ

“แก…” อันเฮอบัสรู้สึกแปลกใจ

ผู้อพยพต่างถิ่นโลเปซยิ้มให้กับอดีตเจ้านายของตน

“ตอนนี้ผมเป็นยามของโบสถ์แล้ว”

* * * * *

ด้านนอกประตูห้องโถง หลงเยว่หงมองดูอันเฮอบัสพาคนของตนเดินจากไป แล้วก็เห็นซางเจี้ยนเย่าเดินเข้ามา

เขาเลยบ่นออกมา

“ไหนนายบอกว่าจะไปห้องน้ำด้วยกันไง”

ซางเจี้ยนเย่าหัวเราะขึ้น

“แวะไปธุระมาหน่อยน่ะ”

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท