รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 208 หายใจไม่ออก

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 208 หายใจไม่ออก

เจี่ยงไป๋เหมียนฟังอยู่เงียบๆ จนจบแล้วให้คำแนะนำอย่างจริงใจ

“พวกคุณน่าจะหาคนเก่งๆ มาจัดทีม แล้วออกไปสอดแนมสักหน่อย”

เธอไม่ได้อาสาออกไปทำ เพราะไม่ได้อยู่ในขอบเขตงานของ ‘ทีมสำรวจเก่า’

การส่งวัตถุปัจจัยมาให้และอาสาเป็น ‘ทหารรับจ้าง’ นั้น สำหรับพวกเขาแล้วนี่เรียกได้ว่าเป็นการเสี่ยงอันตรายอยู่บ้าง แต่อย่างน้อยก็ทำเพื่อแลกกับชุดเกราะเสริมแรงทางทหารและเป็นการฝึกฝนทีมไปในตัว ดังนั้นระดับของอันตรายจึงยังพอยอมรับได้อยู่

ทว่าการจัดทีมลาดตระเวนออกไปยังสถานที่ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามีอะไรแปลกประหลาด นั่นเท่ากับว่าเป็นการออกไปเสี่ยงอันตรายเพื่อนิคมที่เพิ่งจะเดินทางมาถึงได้ไม่นานเท่าไหร่ นี่ไม่ใช่เรื่องที่ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ควรทำ

ทหารรับจ้างก็ต้องมี ‘จรรยาบรรณวิชาชีพ’ ของทหารรับจ้าง

ถ้าหากว่ามีเจี่ยงไป๋เหมียนเพียงแค่คนเดียว ก็ไม่แน่ว่าเธออาจจะสนใจรับภารกิจลาดตระเวนก็ได้ แต่ในตอนนี้เธอเป็นหัวหน้ากลุ่ม คำสั่งทุกอย่าง

ล้วนส่งผลต่อความอยู่รอดปลอดภัยของสมาชิกในทีม เธอจึงไม่อาจทำอะไรตามอำเภอใจ

พอให้คำแนะนำไปแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็หันหน้ามาถลึงตาใส่ซางเจี้ยนเย่าเพื่อปรามไม่ให้เขายกมือขันอาสา

ถึงแม้ซางเจี้ยนเย่าจะสวมหน้ากากอยู่ แต่เธอก็สัมผัสได้ถึงความกระหายอยากลองของเขา

หลังจากฟังคำพูดเจี่ยงไป๋เหมียนจนจบ หานวั่งฮั่วก็ถอนใจอย่างช่วยไม่ได้

“ผมก็บอกเรื่องนี้ไปแล้วล่ะ แต่พวกเขาระวังตัวเกินไป ตัดสินใจกันไม่ได้ซักที เอาแต่เถียงกันอยู่นั่นแหละว่าจะส่งทีมออกไปดูลาดเลาดีไหม จะส่งทีมไหนออกไปดี”

ต่างฝ่ายต่างก็ไม่ไว้ใจกันแบบนี้มันก็ยากที่จะลงมติกันจริงๆ นั่นแหละ เรื่องแบบนี้ถ้าไม่ได้รับอำนาจสิทธิ์ขาด ก็อาจจะเป็นการลากอันตรายมาวางแหมะไว้ที่หน้าก็ได้… เจี่ยงไป๋เหมียนตอบอยู่ในใจ ไม่ได้พูดออกมา

เธอรู้ว่าหานวั่งฮั่วเองก็รู้เรื่องนี้

และอย่างที่คาดเอาไว้ หานวั่งฮั่วให้พวกเขาเอารถจี๊ปกับรถเอทีวีไปซ่อนก่อน แล้วก็พูดอย่างกังวล

“สมัยก่อนตอนเราเจอสถานการณ์แบบนี้ มุขนายกเรนาโต้จะเป็นคนตัดสินใจ ทั้งสองฝ่ายยอมรับฟังเขา แต่ว่าสำนักงานใหญ่ก็เกิดเรียกตัวเขากลับไปตอนนี้พอดี จะเร็วกว่านี้สักนิดหรือช้ากว่านี้สักหน่อยก็ไม่ได้ ไม่มีใครมาแทนเขาได้อีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นผู้แจ้งเตือนคนไหนก็ตาม น้ำหนักของคำพูดมันไม่เหมือนกัน!”

พูดมาถึงตรงนี้ หานวั่งฮั่วก็แสดงความไม่พอใจต่อนิกายตื่นตัวออกมาอย่างเห็นได้ชัด

หือ นิกายตื่นตัวใช้เหตุผลนี้มาอธิบายเรื่องมุขนายกเรนาโต้ป่วยเป็น ‘โรคไร้ใจ’ เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้างั้นเหรอ… เจี่ยงไป๋เหมียนแสดงสีหน้าครุ่นคิด ทว่าหานวั่งฮั่วไม่สามารถรับรู้ได้เนื่องจากเธอสวมหน้ากากเอาไว้

พวกเขาใช้เวลาตั้งแต่บ่ายจนกระทั่งดึกดื่นอยู่ในบริเวณที่พักริมทะเลสาบ ไม่ได้เข้าไปติดต่อกับชาวชุมชนศิลาแดงแม้แต่คนเดียว จึงไม่ทราบสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องมากนัก

แล้วตอนนี้ซางเจี้ยนเย่าก็พูดขึ้น

“ผู้แจ้งเตือนซ่งใกล้จะมาถึงแล้ว”

ตอนที่พวกเขาออกมาจากโบสถ์นิกายตื่นตัวนั้น ซ่งเหอกำลังจัดเตรียมกำลังพลของโบสถ์เพื่อเดินทางมาที่นี่

หานวั่งฮั่วผงกศีรษะ

“หวังว่าพวกเขาจะไม่ต่อต้านผู้แจ้งเตือนซ่งนะ”

พวกเขานั้นหมายถึงคนแม่น้ำแดง

“ถ้าคุณสามารถจับพวกเขามารวมกันได้ ผมจะเกลี้ยกล่อมพวกเขาให้” ซางเจี้ยนเย่านำเสนอวิธีแก้ปัญหา

หานวั่งฮั่วมองคนผู้นี้ด้วยความสงสัย ไม่ได้รู้สึกว่าเขาจะเป็นคนมีวาทศิลป์ที่จะกล่อมคนได้แม้แต่น้อย

แต่แน่นอนว่าเขาไม่ได้พูดออกมาตรงๆ เพียงแค่ยิ้มอย่างขมขื่น

“ด้วยความระวังตัวของพวกเขา เรื่องแบบนี้ไม่มีทางทำให้พวกเขามารวมตัวกันหรอก”

“งั้นพวกเขาแอบกันอยู่ที่ไหนล่ะ ผมไปหาพวกเขาทีละคนก็ได้” ซางเจี้ยนเย่าไม่กลัวลำบากแม้แต่น้อย

หานวั่งฮั่วรู้สึกระแวงทันที แล้วฝืนยิ้มออกมา

“รอดูก่อนว่าผู้แจ้งเตือนซ่งจะเกลี้ยกล่อมพวกเขาได้ไหม”

ในระหว่างที่พูด หานวังฮั่วก็พาสมาชิกทั้งสี่ของ ‘ทีมเฉียนไป๋’ ไปยังพื้นที่ที่เขารับผิดชอบ

ที่นี่เป็นอาคารไม่สูงนัก สภาพนั้นถือว่ายังไม่บุบสลายเท่าไหร่ แต่อาคารด้านหน้านั้นพังทลายไปหมดแล้ว จึงกีดขวางบริเวณด้านหน้าไปสองสามชั้น ทำให้เกิดเป็นป้อมปราการโดยธรรมชาติ เป็นป้อมปราการที่สร้างจากคอนกรีต

เมื่อยืนอยู่บนชั้นหกของอาคารหลังนี้ก็สามารถมองเห็นมุมทางฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของซากเมืองได้จากทางหน้าต่าง ถ้าอีกฝ่ายยิงสวนมา เพียงหมอบลงไปก็ไม่มีทางถูกโจมตีได้

“พวกคุณรับผิดชอบฝั่งซ้าย” หานวั่งฮั่วเปลี่ยนการจัดวางกำลังใหม่ ออกคำสั่งต่อพวกเจี่ยงไป๋เหมียนเฉกเช่นเดียวกับคนอื่นๆ

จากนั้นเขาและผู้ใต้บังคับบัญชาอีกสองสามคนก็ย้ายมาทางหน้าต่างด้านขวา ติดตั้งปืนกลเข้าไปสองกระบอก

ซางเจี้ยนเย่าสวมแว่นมองกลางคืน นั่งชันเข่าข้างหนึ่งด้วยความคึกคัก เปลี่ยนจากปืนไรเฟิลจู่โจม ‘นักรบคลั่ง’ มาเป็นปืนไรเฟิล ‘เจ้าส้ม’

พวกเขาเลียนแบบไป๋เฉินที่แสดงท่าทางว่า ‘ฉันเป็นมือปืนรุ่นพี่’ อยู่

หลงเยว่หงเหลือบมองเขาแล้วนั่งยองลงด้านซ้ายมือ

เขาได้รับการจัดสรรปืนยิงระเบิด ‘ทรราช’

ด้านขวาของซางเจี้ยนเย่าก็คือเจี่ยงไป๋เหมียนและไป๋เฉินตามลำดับ หนึ่งนั้นถือปืนบาซูก้า ‘มัจจุราช’ ส่วนอีกหนึ่งใช้ปืนไรเฟิล ‘เจ้าส้ม’ ที่ถนัดมือที่สุด

ด้านนอกเป็นวิกาลอันมืดมิด แสงจันทร์ผลุบๆ โผล่ๆ ทำให้ตลอดทั้งซากเมืองประหนึ่งว่าจมอยู่ในขุมนรก

เวลาผ่านไปเป็นนาทีเป็นวินาที หานวั่งฮั่วหยิบวิทยุสื่อสารขึ้นมาเป็นระยะ ติดต่อกับยามที่รับผิดชอบตามพื้นที่ต่างๆ

รวมไปถึงการประชุมแบบเฉพาะกิจซึ่งมีผู้แจ้งเตือนซ่งเหอเป็นประธาน

ในที่สุดชาวชุมชนศิลาแดงก็บรรลุข้อตกลงกันได้ พวกเขาจะส่งทีมห้าคนซึ่งประกอบด้วยถานเจี๋ย ฮามิล และพวกคนที่แข็งแกร่ง ออกไปสำรวจสถานการณ์ที่มุมด้านตะวันออกเฉียงใต้ของซากเมือง

และในเวลานี้เอง ไป๋เฉินที่กำลังสอดส่องบริเวณเบื้องหน้าผ่านกล้องมองกลางคืนก็มองเห็นเงาตะคุ่มร่างหนึ่งกำลังเข้ามาใกล้อย่างเงียบๆ

เกล็ดสีเทาแก่ของเขาสะท้อนแสงจันทร์เป็นประกาย

มนุษย์มัจฉาหนึ่งคน… ไป๋เฉินปรับตำแหน่งของกระบอกปืน นิ้วกำลังจะเหนี่ยวไก

ปัง!

หัวมนุษย์มัจฉาคนนั้นระเบิดกระจาย หงายหลังล้มลงไป

ไป๋เฉินหันหน้าไปด้วยความประหลาดใจ มองไปที่หานวั่งฮั่วซึ่งอยู่ห่างไปไม่ไกลนัก

เธอไม่ได้เป็นคนยิงกระสุนนัดเมื่อครู่นี้

นายอำเภอหานวั่งฮั่วมีปฏิกิริยาตอบสนองรวดเร็วกว่าเธอ และยิ่งกว่านั้น ในระยะทางขนาดนี้เขาก็ยังสามารถยิงเข้าศีรษะมนุษย์มัจฉาได้อย่างแม่นยำ

หานวั่งฮั่วรู้สึกถึงสายตาของไป๋เฉินที่จ้องมองมา เขาเหลือบมองแล้วผงกศีรษะให้เบาๆ

เมื่อละสายตาออกจากดวงตาสีขาวอมเหลืองเล็กน้อยคู่นั้น ไป๋เฉินก็มั่นใจได้ในเรื่องหนึ่ง

ที่หานวั่งฮั่วยิงเข้าเป้าเมื่อครู่ ไม่ใช่เพราะโชคดี

เขาเป็นหนึ่งในสุดยอดนักแม่นปืนตัวจริง ไม่ว่าจะเป็นทักษะการสังเกตหรือทักษะการยิง ล้วนแต่ไม่ด้อยไปกว่าตนเองเลย อาจจะดีกว่าเล็กน้อยด้วยซ้ำ

สมควรแล้วที่ได้เป็น ‘นักล่าอาวุโส’ และได้รับเลือกจากชาวชุมชนศิลาแดงให้มาเป็นนายอำเภอ… ไป๋เฉินเข้าใจกระจ่าง เลิกวอกแวกอีก หันกลับมาสนใจด้านหน้าต่อ

ในตอนนี้หานวั่งฮั่วหยิบวิทยุสื่อสารขึ้นมา แจ้งเตือนไปยังยามเมืองคนอื่นๆ

“มนุษย์มัจฉามาแล้ว ไม่จำเป็นต้องส่งทีมสอดแนมออกไปแล้ว”

ง่ายๆ แบบนี้นะเหรอ… ความคิดนี้ผุดวาบขึ้นมาในใจเจี่ยงไป๋เหมียน

ร่างหลงเยว่หงเกร็งขึ้นเล็กน้อย ถือปืนยิงระเบิดแล้วมองไปด้านหน้าอย่างใจจดจ่อมากยิ่งขึ้น

จากนั้นเขาก็รู้สึกหายใจไม่ค่อยออก

เขามักจะมีอาการเช่นนี้ในเวลาที่ตระหนกตกใจเป็นพิเศษ

แต่เราก็ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นขนาดนั้นเสียหน่อย… หลงเยว่หงรู้สึกข้องใจอยู่บ้าง

หลังจากผ่านประสบการณ์ที่เมืองหญ้าไพรมาแล้ว เขาก็ไม่ได้รู้สึกว่าสถานการณ์ในตอนนี้จะทำให้ตนเองตระหนกตกใจมากถึงระดับนั้นอีก

และที่สำคัญที่สุดก็คือหัวใจเขาไม่ได้เต้นเร็วสักหน่อย

เขาตรวจสอบอาการของตัวเองด้วยความสงสัย รู้สึกหายใจลำบากขึ้นทุกขณะ ค่อยๆ รู้สึกเหมือนกำลังกลั้นหายใจอยู่

“นี่มันไม่ปกติแล้ว!”

“แข่งกลั้นหายใจกันงั้นเหรอ”

เสียงของเจี่ยงไป๋เหมียนและซางเจี้ยนเย่าดังขึ้นพร้อมกัน

พวกเขาพบว่าตัวเองกำลังมีปัญหากับระบบทางเดินหายใจ

หายใจสูดอากาศเข้าปอดได้น้อยลง!

เมื่อได้ยินเสียงเตือน หานวั่งฮั่วและคนอื่นๆ ถึงจะรู้ตัวว่าเกิดสิ่งผิดปกติขึ้น

ก่อนหน้านี้พวกเขาคิดกันว่าเป็นเพราะการต่อสู้ใกล้เข้ามา ตนเองจึงกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว

ฟู่ ฟู่… พวกเขาพากันอ้าปากสูดหายใจเฮือกใหญ่

แต่ไม่ว่าจะพยายามเท่าไหร่ ความรู้สึกที่ว่าหายใจลำบากก็ไม่หายไปเสียที กลับยิ่งแย่ลงอย่างเห็นได้ชัด

นี่เหมือนกับจมอยู่ในน้ำ ตราบใดที่ยังไม่ลอยตัวขึ้นมา หรือไม่ได้พกพาถังออกซิเจนสะพายหลังไว้ ย่อมไม่มีทางได้รับอากาศบริสุทธิ์เข้าไปได้ ยิ่งดิ้นรน ยิ่งพยายามสูดหายใจ ก็ยิ่งจะทำให้สถานการณ์แย่ลงมากขึ้น

“ต้องเป็นฝีมือผู้ตื่นรู้แน่” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดมาอีกประโยค

เธอกลั้นหายใจได้ดีมาก ดังนั้นในขณะนี้จึงเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบน้อยสุด

ในระหว่างที่พูดเธอก็มองไปที่ซางเจี้ยนเย่า จากนั้นทั้งสองคนก็ส่ายหน้าพร้อมกัน

ในระยะขอบเขตการตรวจจับของพวกเขา รัศมีทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่เลย

ต่อให้ผู้ตื่นรู้สามารถซ่อนจิตสำนึกเอาไว้และซ่อนตัวอยู่ก็ตาม แต่ขอเพียงยังมีร่างกายก็ยังมีสัญญาณไฟฟ้าที่ไม่สามารถซ่อนได้ นอกเสียจากว่าเขาจะซ่อนอยู่ในกรงโลหะที่ต่อสายดินไว้เท่านั้น

แต่ถ้าไม่รู้ถึงความสามารถที่เกิดจากการดัดแปลงพันธุกรรมของเจี่ยงไป๋เหมียนล่วงหน้า ก็คงไม่มีใครทำเรื่องยุ่งยากไร้ประโยชน์เช่นนี้

หากไม่นับเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ก็จะเหลือเพียงแค่สองคำตอบเท่านั้น

ข้อแรกคือคนที่ทำให้หายใจลำบากนั้นเป็นคนทรยศ ซึ่งหลบอยู่ที่ไหนสักแห่งในแนวป้องกันตอนนี้

ข้อสองคืออีกฝ่ายนั้นเป็นผู้ตื่นรู้ที่เกือบจะอยู่ในระดับ ‘ทางเดินแห่งจิต’ หรืออาจจะเข้าไปแล้วก็ได้ ขอบเขตของพลังพิเศษนั้นเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ[1]ไปแล้ว

ระยะตรวจจับสัญญาณไฟฟ้าของเจี่ยงไป๋เหมียนในพื้นที่เปิดโล่งนั้นนับได้ว่าไม่ใช่น้อย การรับมือกับหลวงจีนจักรกลจิ้งฝ่าก่อนหน้านี้ก็เป็นหลักฐานได้อย่างชัดเจน ทว่าในขณะนี้เธอกลับถูกผลกระทบจากพลังพิเศษของคู่ต่อสู้โดยที่ไม่อาจตรวจพบการดำรงอยู่ของอีกฝ่าย!

หานวั่งฮั่วรู้ว่าผู้ตื่นรู้นั้นแข็งแกร่งมาก อีกทั้งยังได้พบเจอมาหลายครั้งหลายหน แต่ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะทรงพลังถึงขนาดนี้

เขาตัดสินใจอย่างรวดเร็วแล้วรีบออกคำสั่ง

“ถอยก่อน!

“สู้แบบกองโจร!”

นี่คือคำสั่งให้กระจายตัวออกเป็นกลุ่มเล็กๆ แล้วอาศัยความคุ้นเคยกับชัยภูมิกับทักษะการซ่อนตัวเพื่อต่อสู้แบบกองโจรกับมนุษย์มัจฉาปีศาจภูเขา

หากอยู่รวมกันแบบนี้ ทุกคนคงต้องขาดใจตายพร้อมกันหมด ไม่เหลือคนรอดชีวิตแม้แต่คนเดียว

“นั่นก็แค่ยืดเวลาตายออกไปอีกหน่อย”

“เขาหาคนได้เก่งกว่าพวกคุณ”

เจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่าเตือนออกมาพร้อมกันอีกครั้ง ถึงแม้จะพูดไม่เหมือนกัน แต่ความหมายนั้นเป็นเช่นเดียวกัน

ผู้ตื่นรู้ที่มีระยะรัศมีทำการของพลังพิเศษกว้างขวางขนาดนี้ย่อมมีรัศมีการตรวจจับที่กว้างไกลเช่นกัน เขาสามารถนำทีมออกไปค้นหาพวก ‘หนู’ ที่ซ่อนอยู่แล้วตามล่าไล่เก็บไปทีละตัวทีละตัวหรือไม่ก็ทำให้หายใจไม่ออก ปล่อยให้ขาดใจตายอยู่ในจุดที่ซ่อนตัว

แล้วในตอนนี้เองก็มีคนใช้โทรโข่งตะโกนออกมา

“ไอ้ขี้ขลาดหัวหด ดีแต่หลบซ่อนอยู่ห่างๆ แล้วก็ลอบโจมตีคนอื่น!

“แน่จริงก็โผล่หัวออกมาสิ!”

นี่เป็นภาษาถิ่นของมนุษย์มัจฉา

ถึงแม้จะเป็นภาษาของมนุษย์ชั้นรอง แต่มันก็วิวัฒนาการมาจากภาษาแม่น้ำแดง แม้เจี่ยงไป๋เหมียนจะพูดไม่ได้แต่ก็ยังพอจะฟังเข้าใจความหมายทั่วไปได้บ้าง

“หือ… ถานเจี๋ย…” หานวั่งฮั่วเรียกชื่อออกมาด้วยความยากลำบาก

ถานเจี๋ย… พลัง ‘ยั่วยุ’ ของเขาใช้ผ่านโทรโข่งเพื่อเพิ่มระยะทางได้ด้วยเหรอ เจี่ยงไป๋เหมียนพอจะคาดเดาได้เล็กน้อย

ตอนนี้ซางเจี้ยนเย่าก็พลันถอนหายใจหนักหน่วงออกมา

“พูดภาษาต่างถิ่นได้หลายภาษานี่มีประโยชน์จริงๆ”

ไม่อย่างนั้นต่อให้ ‘ยั่วยุ’ ไป มนุษย์มัจฉากับปีศาจภูเขาก็ฟังไม่เข้าใจอยู่ได้

ถานเจี่ยเปลี่ยนไปใช้ ‘ภาษาปีศาจภูเขา’ แล้วด่าไปอีกครั้ง ความรู้สึกหายใจไม่ออกของทุกคนยังคงไม่คลายลง ซ้ำยังแย่ลงไปอีก

ถานเจี๋ยยังคงไม่หยุด เขาด่ากราดด้วย ‘ภาษามนุษย์มัจฉา’ และ ‘ภาษาปีศาจภูเขา’ สลับไปเรื่อยๆ

ในระหว่างนี้เขาก็เปลี่ยนตำแหน่งและเปลี่ยนพื้นที่จู่โจมที่ได้รับผลกระทบไปเป็นระยะ

เมื่อเขาตะโกนออกไปเป็นครั้งที่หก ทุกคนก็รู้สึกราวกับได้โผล่ออกมาพ้นน้ำได้เสียที

อากาศนั้นสดชื่น โลกหล้าก็งดงาม

“ที่จอดรถด้านหลังอาคารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี!” เสียงของถานเจี๋ยดังขึ้นอีกครั้ง

จากผลตอบรับกลับมาทำให้เขาพอจะประเมินตำแหน่งคร่าวๆ ของผู้ตื่นรู้ที่น่ากลัวคนนั้นได้

ในหัวของเจี่ยงไป๋เหมียนปรากฏภาพแผนที่ซึ่งได้รับมาจากผู้แจ้งเตือนซ่งเหอในทันที

แผนที่ซูมเข้าไปอย่างรวดเร็ว แสดงให้เห็นถึงแผนผังของบริเวณนั้น

ระยะห่างระหว่างที่นี่กับที่จอดรถด้านหลังอาคารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนั้นมีระยะทางเกือบ 100 เมตรในแนวเส้นตรง

เจี่ยงไป๋เหมียนปรับปืนบาซูก้าเบื้องหน้าเธออย่างรวดเร็วแล้วยิงออกไปยังตำแหน่งที่ถานเจี๋ยอธิบายไว้

ซางเจี้ยนเย่าก้มตัวลุกขึ้นยืน

[1] เปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ (质变) เปลี่ยนแปลงจากลักษณะหรือคุณสมบัติอย่างหนึ่งไปสู่อีกลักษณะหนึ่ง

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท