รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 211 หมัดชุด

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 211 หมัดชุด

ท่ามกลางเสียงปืนใหญ่ยิงถล่มไม่หยุด เสียงดนตรีประกอบที่หลักๆ เป็นเสียงขลุ่ยซอนา ดังก้องไปทั่วลานจอดรถด้านหลังอาคารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ขณะนี้รถหุ้มเกราะหนักซึ่งอยู่ในการควบคุมของมนุษย์มัจฉาร่างสูงใหญ่วิ่งเข้าใส่ซางเจี้ยนเย่าที่ซ่อนตัวอยู่ด้านหลัง

กองคอนกรีต

เมื่อซางเจี้ยนเย่าเห็นเข้าก็รีบใช้ทั้งมือเท้าปีนตะกายขึ้นไปบนกองเศษคอนกรีตอย่างรวดเร็วแล้วกระโดดไปอีกฝั่งหนึ่ง

โครม!

รถหุ้มเกราะหนักกระแทกเข้ากับกองคอนกรีต เกิดความสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงจนเศษคอนกรีตปลิวว่อน

การชนนี้เกือบจะทำให้มนุษย์มัจฉาร่างสูงใหญ่สวมมงกุฎกิ่งไม้สานลอยจากที่นั่งคนขับพุ่งกระแทกกระจกหน้ารถกระเด็น

ออกไปข้างนอก

แต่ยังดีที่พฤติกรรมไร้เหตุผลของเขายังไม่ถึงกับรุนแรงมาก จึงทำให้เขายังจำได้ว่าต้องคาดเข็มขัดนิรภัยเอาไว้ด้วย

ในขณะที่หน้าอกของเขาซึ่งมีถุงลมนิรภัยดันไว้จนทำให้รู้สึกแน่นหน้าอกหายใจไม่ค่อยสะดวก มนุษย์มัจฉาร่างสูงใหญ่ผิดปกติก็พลันรู้สึกตัวขึ้นมา

ทำไมเราถึงทำแบบนี้ล่ะ

นี่มันเป็นการเอาความปลอดภัยของตัวเองไปแลกกับชีวิตศัตรูเพียงแค่คนเดียวไม่ใช่หรือไง

นี่เราถูกอิทธิพลของพลังพิเศษงั้นเหรอ

เขาเป็นผู้ตื่นรู้เหรอ

ในระหว่างที่ความคิดกำลังวิ่งไม่หยุด มนุษย์มัจฉาร่างสูงใหญ่สวมมงกุฎกิ่งไม้สานก็ขยับรถอีกครั้ง ต้องการจะกลับรถแล้วขับจากไป

รถที่เขาขับอยู่นั้นแข็งแกร่งหนาเทอะทะมาก การชนเมื่อครู่นี้ไม่ได้ทำให้เกิดความเสียหายแม้แต่น้อย เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มขึ้นอย่างที่ควรจะเป็น

แล้วในตอนนี้เอง มนุษย์มัจฉาร่างสูงใหญ่ผิดปกติก็เห็นเงาดำร่อนลงบนฝากระโปรงหน้ารถ ทำให้ตัวถังสั่นสะเทือนเล็กน้อย

ในสายตาของเขาพลันปรากฏภาพของหน้ากากขนดกปากยื่น ท่าทางดูคึกคักมีชีวิตชีวา

ซางเจี้ยนเย่าวิ่งย้อนกลับมาแล้วกระโดดขึ้นมาบนกระโปรงหน้ารถ!

ในระหว่างนั้นเขาก็เก็บปืนพกทั้งสองกระบอกกลับไปเหน็บไว้ที่เข็มขัด

จากนั้นก็ปลดระเบิดมือทั้งหมดที่มีอยู่จากเข็มขัด วางกองไว้ที่กระจกหน้ารถ

รถคันนี้ไม่ใช่รถหุ้มเกราะอย่างสมบูรณ์แบบ แต่เป็นรถเครื่องยนต์แรงม้าสูงดัดแปลงติดตั้งเกราะและกระจกกันกระสุน ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ กระจกกันกระสุนอาจจะไม่สามารถป้องกันการระเบิดของระเบิดหลายลูกพร้อมกันได้

แน่นอนว่าซางเจี้ยนเย่าเองก็ไม่ได้มั่นใจว่าระเบิดนี้จะสามารถทำลายกระจกหน้ารถให้แตกได้หรือไม่ จุดประสงค์หลักของเขาก็คือต้องการทำให้อีกฝ่ายตกใจเท่านั้น

เขาไม่มั่นใจว่าระเบิดจะสามารถทำลายกระจกหน้ารถได้หรือไม่ มนุษย์มัจฉาร่างสูงใหญ่สวมมงกุฎกิ่งไม้สานเองก็ไม่มั่นใจเหมือนกันว่ากระจกหน้ารถจะสามารถทนทานแรงระเบิดได้หรือไม่!

ในการทดสอบประสิทธิภาพย่อมไม่มีใครทำการทดสอบอย่างดุเดือดรุนแรงขนาดนั้น

ต่อให้คนที่ดัดแปลงรถจะตบหน้าอกรับประกันก็เถอะ แต่ภายใต้สถานการณ์แบบนี้คงไม่มีใครกล้าเชื่อเขาเต็มร้อยหรอก

เมื่อเห็นลูกน้อยหน่าเหล็กสีเขียวแก่กลิ้งตัวไปมาอย่างเชื่องช้าด้านหน้ากระจกรถ มนุษย์มัจฉาร่างสูงใหญ่สวมมงกุฎกิ่งไม้สานถึงกับกลั้นหายใจไม่กล้าระบายออก แทบจะลืมการคงสภาพของ ‘หายใจไม่ออก’ ไปสนิท

วินาทีถัดมา ในจังหวะที่รถกำลังถอยไปด้านหลัง ซางเจี้ยนเย่าก็คลี่ยิ้ม

น่าเสียดาย เป็นเพราะสวมหน้ากากอยู่ มนุษย์มัจฉาจึงไม่อาจเห็น

ในเวลาเดียวกันนั้น ซางเจี้ยนเย่าก็ดึงสลักนิรภัยของระเบิดออก

จากนั้นก็วางลูกระเบิดลงแล้วโบกมือให้กับมนุษย์มัจฉาสวมมงกุฎกิ่งไม้สานที่อยู่ด้านหลังกระจกหน้ารถ เสร็จแล้วก็กระโดดลงมาพุ่งม้วนตัวเข้าไปหลบที่ด้านหลังบังเกอร์อีกแห่ง

ในตอนที่ซางเจี้ยนเย่าดึงสลักนิรภัยของระเบิดออกนั้น มนุษย์มัจฉาร่างสูงใหญ่สวมมงกุฎกิ่งไม้สานก็รีบเปิดประตูรถอย่างตระหนก ทว่ามือของเขาไม่สามารถกระทำสิ่งนี้ได้

‘พันธนาการมือ’ !

ช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานนี้ เขากลับไม่ได้ถูกยับยั้งอีกต่อไป ประตูที่นั่งฝั่งคนขับก็ค่อยๆ เปิดออกเอง

ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นคู่หนึ่งเปิดประตูรถให้กับมนุษย์มัจฉาร่างสูงใหญ่สวมมงกุฎกิ่งไม้สานผู้นี้

เขารีบพุ่งออกไปทันที กลิ้งม้วนตัวไปด้านหลังของเนินคอนกรีตที่พังลงมาครึ่งหนึ่ง

ตูม! ตูม!

เสียงระเบิดดังต่อเนื่องเป็นชุดแต่ไล่เลี่ยกันมากจนเสียงระเบิดแทบจะกลายเป็นเสียงเดียวที่ดังยาวนานไม่หยุด

เปลวเพลิงทะยานขึ้นสู่ฟ้า กระจกหน้ารถก็แตกออกอย่าง ‘ไร้สุ้มเสียง’

เมื่อเสียงระเบิดเบาลงไปเล็กน้อย เสียงดนตรีโหมโรงคณะมีดสั้นก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง

ซางเจี้ยนเย่าราวกับได้รับการเสริมพลังจากดนตรี เขาสับแขนพุ่งออกจากที่ซ่อนตัว ตรงไปที่มนุษย์มัจฉาที่สวมมงกุฎกิ่งไม้สาน

อิทธิพลจาก ‘หายใจไม่ออก’ หายไปแล้ว

ตึก! ตึก! ตึก!

ซางเจี้ยนเย่าเหมือนกำลังวิ่งแข่งอยู่ เป้าหมายก็อยู่ห่างไปอีกไม่ไกลนัก

ทันใดนั้นหัวใจเขาก็เต้นรัวประหนึ่งรถที่เหยียบคันเร่งจนมิดและเบรคก็เสียหายใช้การไม่ได้

ด้วยเสียงหัวใจเต้นตึกตัก การวิ่งของเขาชะลอลง หลังก้มลงเล็กน้อยเหมือนกับว่าพยายามที่จะบรรเทาอาการแน่นหน้าอก หายใจลำบาก วิงเวียนศีรษะหน้ามืดตาลายให้ลดลงไป

กองเศษคอนกรีตกระเด็นออกมา มนุษย์มัจฉาร่างสูงใหญ่สวมมงกุฎกิ่งไม้สานลุกยืนขึ้น

เสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้มที่เขาสวมอยู่นั้นขาดรุ่งริ่ง เกล็ดสีเทาแก่คลุกฝุ่นมอมแมม

ในขณะนี้เขายกเลิกการ ‘หายใจไม่ออก’ เปลี่ยนไปใช้ ‘เร่งจังหวะหัวใจ’ เพื่อจัดการกับซางเจี้ยนเย่า

เมื่อเผชิญหน้ากับผู้ตื่นรู้ในระยะใกล้ เขาไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย ต้องการแก้ปัญหาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

* * * * *

แนวป้องกันของชุมชนศิลาแดงที่อายซูเปอร์มาเก็ตกับห้างสรรพสินค้าซิกซ์เดย์ได้มาถึงจุดวิกฤติแล้ว หลายจุดนั้นถูกปีศาจภูเขาบุกฝ่าเข้ามาต่อสู้กันในระยะประชิด

หลงเยว่หงที่สมองมึนงงเพราะขาดออกซิเจนพลันกระจ่างโล่งขึ้นทันที

เขารีบสูดอากาศที่ยามปกติแล้วไม่เคยรู้สึกถึงความงดงามเช่นนี้มาก่อน

ถึงแม้จะผสมผสานคลุกเคล้ากลิ่นดินปืน แต่ก็ทำให้ผู้คนเคลิบเคลิ้มเบิกบานใจได้

หลังจากสูดหายใจลึกไปเฮือกหนึ่ง หลงเยว่หงก็หยิบปืนยิงระเบิดขึ้นมา กำลังจะหันหลังกลับไปยิง

แต่เขาเพิ่งจะทำขั้นตอนแรกเสร็จก็เห็นปีศาจภูเขาปีนขึ้นมาอยู่บนซากอาคารที่พังถล่มแล้ว ภายใต้แสงจันทร์สามารถมองเห็นผิวหนังสีน้ำเงิน มองเห็นระเบิดมือถูกโยนมา

ระเบิดมือ

เชี่ย! หลงเยว่หงสบถด่าอยู่ในใจ

พร้อมกันนั้นเขาก็รีบยันเท้าอย่างแรงตามสัญชาตญาณ เหินร่างในแนวขวางไปยังผนังห้องอีกฝั่งหนึ่ง

ในระหว่างนี้เขาก็เห็นไป๋เฉินกระโดดพุ่งกลิ้งม้วนตัวเช่นกัน จากนั้นก็เข้าไปยังบังเกอร์จุดที่สองที่เตรียมไว้

พลั่ก!

หลงเยว่หงลงสู่พื้น โยนปืนยิงลูกระเบิดทิ้ง รีบคลานอ้อมผนังแล้วหลบอยู่หลังกระสอบทราย

ตูม! ตูม! ตูม!

คลื่นอากาศรุนแรงที่เกิดจากแรงระเบิดกวาดผ่านแนวป้องกันเดิม ผนังทั้งสองฝั่งทนไม่ไหว ค่อยๆ พังทลายลงมา ยามเมืองชุมชนศิลาแดงหลายคนที่ตอบสนองไม่เร็วพอถูกฉีกกระชากเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เลือดสาดกระจายไปทั่ว สิ้นชีวิตในสภาพซากศพไม่สมบูรณ์

ต่อจากนั้นในทันที ปีศาจภูเขาเจ็ดแปดตัวที่ใช้ปืนกลมือและปืนไรเฟิลจู่โจมก็กระโดดเข้ามาทางช่องหน้าต่างที่พังไปครึ่งหนึ่ง เข้ามาสู่แนวป้องกันแรก

พวกเขากราดยิงไปรอบๆ อย่างไม่ลังเล

ท่ามกลางเสียงดังปังๆๆ ยามเมืองหลายคนที่พยายามยิงตอบโต้ก็ถูกห่ากระสุนพุ่งเข้าใส่จนทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยรูพรุน แขนขากระจัดกระจาย

เพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก็เหลือเพียงแค่หลงเยว่หง ไป๋เฉิน หานวั่งฮั่ว และอีกไม่กี่คน

พวกเขายังคงใจเย็น ไม่รีบร้อนโผล่หัวตัวเองออกมารับลูกกระสุนถึงแม้ว่าศัตรูกำลังเดินใกล้เข้ามาทุกขณะ

ในเวลาอันสั้นการกราดยิงหลังจากนั้นก็ลดลงไปพอสมควร ไป๋เฉินวางปืนไรเฟิล ‘เจ้าส้ม’ ลง ถอดเสื้อนอกออกวางลงข้างตัว

จากนั้นเธอก็โยนเสื้อคลุมออกไปทันทีแล้วกระโดดพุ่งจากด้านข้างของบังเกอร์

ปัง! ปัง! ปัง!

เสื้อคลุมของเธอมีรูอยู่เต็มไปหมด

ในขณะที่ลอยอยู่กลางอากาศ ไป๋เฉินซึ่งชัก ‘มอสน้ำแข็ง’ กับ ‘ยูไนเต็ด 202’ ออกมาแล้ว กระหน่ำยิงปีศาจภูเขาเจ็ดแปดตัวที่ยืนกระจายอยู่ทั่วห้อง

ปัง! ปัง! ปัง!

ทุกนัดของเธอนั้นเข้าเป้าหมายทั้งหมด แต่บางนัดก็เข้าจุดอันตราย บางนัดยิงถูกแขนขา

เมื่อหลงเยว่หงได้ยินเสียงกรีดร้องของปีศาจภูเขา หัวใจเขาก็เต้นรัว รีบดีดตัวขึ้นมานั่งชันเข่าข้างหนึ่ง ยกปืนไรเฟิลจู่โจม ‘นักรบคลั่ง’ ขึ้นมาโดยไม่ลังเล

เขายิงข้ามกระสอบทรายไปยังบริเวณที่มีปีศาจภูเขายืนอยู่หลายคน

นี่ไม่จำเป็นต้องใช้ความแม่นยำ โดยหลักก็คือยิงคุ้มกันเพื่อให้ไป๋เฉินมีเวลามากพอจะซ่อนตัวหลังจากยิงออกไป

นี่เป็นหนึ่งในการฝึกซ้อมของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ซึ่งถึงแม้ว่าหลงเยว่หงจะไม่เคยใช้ในการต่อสู้จริงมาก่อน แต่เขาก็ได้ผ่านประสบการณ์มาไม่น้อยแล้ว เมื่อเผชิญกับสถานการณ์อันตรายก็ไม่ได้ตระหนกตกใจทำอะไรไม่ถูกอีก ในตอนนี้เขาสามารถสงบใจและกล้าตัดสินใจได้แล้ว

เมื่อเป็นเช่นนี้เขาจึงสามารถปลดปล่อยสิ่งที่เรียนรู้ฝึกฝนมาได้อย่างลื่นไหล และนอกจากนั้นในตอนที่อยู่เมืองหญ้าไพร เขากับไป๋เฉินเองก็ได้ต่อสู้ร่วมกันมาแล้ว สามารถเข้าใจกันได้ในระดับหนึ่งโดยไม่จำเป็นต้องเอ่ยคำ

ระหว่างที่ยิงออกไป หลงเยว่หงก็เห็นหานวั่งฮั่วที่อยู่อีกด้านหนึ่งก็ใช้โอกาสนี้ตอบโต้สวนกลับไปด้วย

ความแม่นของเขานั้นแม่นยำอย่างสุดยอด ยิงไปไม่มีพลาดแม้แต่นัดเดียว

หลังจากที่โต้ตอบรอบนี้ไป ปีศาจภูเขาที่เข้ามาเจ็ดแปดคนก็ร่วงลงไปแล้วครึ่งหนึ่ง ที่ยังเหลืออีกสามก็รีบหาที่กำบังแล้วยิงใส่ไป๋เฉิน หานวั่งฮั่ว และคนอื่นๆ

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในตอนนี้หลงเยว่หงและคนอื่นๆ นั้นอยู่ในจุดได้เปรียบ แต่ว่าปีศาจภูเขาที่อยู่ด้านหลังนั้นยังรุดเข้ามาอย่างต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน!

นอกจากนี้เรื่องที่หลงเยว่หงกังวลที่สุดก็คือการ ‘หายใจไม่ออก’ ที่อาจจะเกิดขึ้นอีก นั่นจะทำให้ทีมป้องกันสูญเสียความแข็งแกร่งในการต่อสู้อย่างรวดเร็วภายในหนึ่งถึงสองนาที

* * * * *

ณ ลานจอดรถด้านหลังอาคารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

มนุษย์มัจฉาร่างสูงใหญ่สวมมงกุฎกิ่งไม้สานเคลื่อนที่ไปในทิศทางตรงข้ามเพื่อไม่ให้รับผลจากพลังพิเศษผู้ตื่นรู้ของ

ซางเจี้ยนเย่า

ซางเจี้ยนเย่าก็พยายามเต็มที่เพื่อเข้าใกล้ หรือชักปืนออกมายิง แต่เนื่องจากหัวใจนั้นเต้นเร็วขึ้นทุกขณะจึงไม่อาจทำได้สำเร็จ

เขาใกล้ถึงขีดจำกัดเต็มที แต่ความดื้นรั้นที่ฝังจนลึกในกระดูกทำให้ยังคงฝืนก้าวขึ้นหน้าทีละก้าวอย่างไม่หยุด

แล้วในตอนนี้เอง เจี่ยงไป๋เหมียนที่ถูกแปลงดอกไม้บังเอาไว้ก็พลันดีดตัวขึ้นมา มือหนึ่งถือ ‘มอสน้ำแข็ง’ อีกมือหนึ่งถือ ‘ยูไนเต็ด 202’

ปัง! ปัง!

ม่านตาเธอนั้นจับจ้องอยู่ที่มนุษย์มัจฉาที่สวมมงกุฎกิ่งไม้สานอย่างไม่ยอมให้คลาดสายตา มือทั้งสองข้างเหนี่ยวไกพร้อมกัน

เธอนั้นฟื้นขึ้นมานานแล้ว แต่แกล้งทำเป็นหมดสติเพื่อรอคอยโอกาส!

หลังจากเข้าสู่สภาวะกึ่งหมดสติ ชิปเสริมที่อยู่ในแขนเทียมรับรู้ได้ว่าร่างกายเธออยู่ในสภาพผิดปกติ จึงเปิดใช้งานฟังก์ชันฉุกเฉิน ปลดปล่อยกระแสไฟฟ้าที่กักเก็บไว้เพื่อกระตุ้นและปลุกให้ฟื้นคืนสติ

ในขณะที่เจี่ยงไป๋เหมียนเหนี่ยวไก ดวงตาของมนุษย์มัจฉาร่างสูงใหญ่สวมมงกุฎกิ่งไม้สานก็พลันชะงักค้างทันที

ก้อนเศษคอนกรีตรอบตัวลอยขึ้นมาขวางระหว่างตัวเขากับเจี่ยงไป๋เหมียนเอาไว้ เป็นกำแพงที่มีช่องว่างเว้นระยะ

นี่ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นควบคุมเอาไว้

ปัง! ปัง!

กระสุนสองนัดที่เจี่ยงไป๋เหมียนยิงออกมาถูกขวางกั้นด้วยเศษคอนกรีต ไม่อาจทำตามวัตถุประสงค์ได้สำเร็จ

ทว่าการโจมตีของเธอนั้นทำให้ซางเจี้ยนเย่าถูกปลดปล่อยให้เป็นอิสระ จังหวะการเต้นหัวใจของเขาไม่ได้ถี่รัวไม่ยั้งอีกต่อไป นอกจากนั้นด้วยความแข็งแกร่งด้านกายภาพจึงทำให้เขาฟื้นคืนสภาพเป็นปกติได้อย่างรวดเร็ว

ตึก! ตึก! ตึก!

เพียงสาวเท้าไม่กี่ก้าว ซางเจี้ยนเย่าก็วิ่งไปถึงด้านหน้ามนุษย์มัจฉาร่างสูงใหญ่แล้วเหวี่ยงหมัดขวาออกไป

มนุษย์มัจฉาร่างสูงใหญ่เตรียมยกมือขึ้นมาขวางแต่กลับพบว่าไม่อาจทำได้

วินาทีถัดมากำปั้นของซางเจี้ยนเย่าลอดผ่านช่องว่างเศษก้อนคอนกรีต ท่ามกลางเสียงดนตรีอันยิ่งใหญ่น่าครั่นคร้ามของขลุ่ยซัวนากับเครื่องดนตรีหลากหลาย พุ่งกระแทกใบหน้าเขาอย่างหนักหน่วง

เสียงดังผลัวะ ฟันของมนุษย์มัจฉาร่างสูงใหญ่สวมมงกุฎกิ่งไม้สานกระเด็นออกไปหลายซี่ ร่างก็เอนถอยไปในทิศทางที่สอดคล้องกัน

เศษก้อนคอนกรีตที่ลอยอยู่รอบตัวเขาหล่นลงกับพื้นเสียงดังพลั่ก

หมัดซ้ายของซางเจี้ยนเย่าตามมาติดๆ ฝังจมเข้าไปในใบหน้าอีกครึ่งหนึ่งของเขา กระแทกร่างซีกขวาของเขาตรงๆ

จากนั้นซางเจี้ยนเย่าก็ลดมือทั้งสองข้างลง คว้าไหล่ทั้งสองข้างของศัตรูกดลงไป

ในเวลาเดียวกันก็กระทุ้งเข่าสวนขึ้นอย่างแรง

ปึก!

ร่างสูงใหญ่ของมนุษย์มัจฉาแข็งทื่อ แต่ซางเจี้ยนเย่ายังคงไม่หยุด เขายกสองแขนประสานมือแล้วทุบลงที่ต้นคออีกฝ่ายราวกับเป็นไม้กระบอง

พลั่ก!

มนุษย์มัจฉาร่างสูงใหญ่สวมมงกุฎกิ่งไม้สานสิ้นสติไปในทันที

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท