รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 212 ความหมายของการต่อสู้

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 212 ความหมายของการต่อสู้

หลงเยว่หงเปลี่ยนตำแหน่งเป็นครั้งคราว ยิงจากกระสอบทรายทางด้านบนบ้าง ด้านซ้ายบ้าง ด้านขวาบ้าง ไม่เปิดโอกาสให้ปีศาจภูเขาสองสามคนนั้นเข้ามาใกล้ได้ง่ายๆ

ทั้งสองฝ่ายต่างก็หลบอยู่ด้านหลังที่กำบัง ยิงสวนกันไปมา

ไป๋เฉินกับหานวั่งฮั่วก็ร่วมด้วยช่วยกัน แต่พวกเขาไม่ได้ทุ่มความสนใจทั้งหมดไปกับเรื่องนี้ คนหนึ่งฉวยโอกาสจากช่องว่าง ล้วงระเบิดมือออกมาเงียบๆ มองหามุมที่เหมาะสม อีกคนหนึ่งพยายามสังเกตรูปแบบการเคลื่อนไหวของปีศาจภูเขาสองสามคนนั่น ค่อยๆ ปรับตำแหน่งปากกระบอกปืน หวังจะหาโอกาสใช้หนึ่งนัดปลิดชีพ ยิงสังหารในจังหวะที่ฝ่ายตรงข้ามโผล่ออกมายิง

แล้วตอนนี้ก็มีกระสุนปืนใหญ่นัดหนึ่งพุ่งมาจากนอกหน้าต่างตกลงมาที่ด้านบนของอาคารที่พังถล่ม

ตูม!

คลื่นกระแทกอย่างรุนแรงผสมกับเปลวเพลิงสีแดงเข้มถาโถมเข้ามาในห้องที่ไร้ซึ่งหน้าต่างและกระจก บังคับให้ไป๋เฉิน หานวั่งฮั่ว และหลงเยว่หงต้องหดร่างกลับเข้าไปหมอบหลังบังเกอร์

หลังจากที่แรงระเบิดคลายลงไปบ้าง ปีศาจภูเขาที่เหลือซึ่งมีหัวหน้านำทีมมาก็รุดออกมาจากที่ซ่อน วิ่งตรงเข้าหาหานวั่งฮั่วและคนอื่นๆ

หลงเยว่หงที่อยู่ด้านหลังกระสอบทรายเพิ่งจะเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นปีศาจภูเขาซึ่งไม่ได้เตี้ยกว่าเขา พร้อมกับปืนไรเฟิลจู่โจมในมือที่ส่งเสียงคำรามลั่นออกมาอย่างไม่หวงกระสุนแม้แต่น้อย

เขารีบหดร่างกลับไปตามปฏิกิริยาตอบสนองอัตโนมัติทันที ได้ยินได้เห็นลูกกระสุนกระทบกระสอบทราย ได้ยินได้เห็นลูกกระสุนบินผ่านศีรษะ

หลงเยว่หงรู้ดีกว่าการหลบอยู่แบบนี้ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา จึงรวบรวมความกล้ากระโดดออกมาด้านข้างบังเกอร์ ใช้ปืนไรเฟิลจู่โจม ‘นักรบคลั่ง’ ของตนตอบโต้กลับไป

เสียงปังๆๆ ดังลั่นห้อง ระหว่างพวกเขาทั้งสองคน หนึ่งนั้นกลิ้งม้วนตัวอยู่บนพื้น อีกหนึ่งนั้นพุ่งไปข้างหน้า ไม่มีใครยิงถูกอีกฝ่าย

เกือบจะในเวลาเดียวกัน พวกเขาก็ยิงกันจนกระสุนหมดแม็กกาซีน

หลงเยว่หงทิ้งปืนไรเฟิลอย่างไม่ลังเล เอื้อมสองมือไปที่เข็มขัดด้านข้าง เมื่อปีศาจภูเขาเห็นก็รีบขว้างปืนไรเฟิลจู่โจมในมือใส่ศีรษะหลงเยว่หง

หลงเยว่หงรีบฉากหลบ เมื่อได้ยินเสียงปืนกระทบพื้นเขาก็ลุกขึ้นมายืน

ทว่าปีศาจภูเขาก็พุ่งมาถึงเบื้องหน้าเขาแล้ว จากนั้นก็ชักดาบปลายปืนออกมา

จนกระทั่งในตอนนี้ หลงเยว่หงถึงได้มองเห็นรูปลักษณ์ของศัตรูได้อย่างชัดเจน

เขานั้นสูงใหญ่และแข็งแรงกว่าปีศาจภูเขาส่วนใหญ่ของทัพหน้าที่จู่โจมเข้ามา นอกจากผิวสีน้ำเงิน เขี้ยวในปากที่แสยะออกมาครึ่งหนึ่ง ส่วนที่เหลือก็ไม่ได้แตกต่างไปจากมนุษย์ทั่วไปเลย เขามีคิ้วหนาตาโต ใบหน้าเหลี่ยม

หลงเยว่หงไม่มีเวลาชักปืน รีบเบี่ยงตัวไปทางขวา หลบดาบปลายปืนของอีกฝ่ายที่แทงมา

เขาหลบหลีกอย่างต่อเนื่องเพื่อให้พ้นจากอันตรายภายใต้การโจมตีอย่างไม่หยุดหย่อนของปีศาจภูเขา

ยังดีที่การฝึกซ้อมต่อสู้นั้น นี่คือบทบาทที่เขาเล่นอยู่บ่อยครั้งมากที่สุด ดังนั้นจึงมีความคล่องแคล่ว ดูน่าหวาดเสียวแต่ไร้บาดแผล

หลงเยว่หงถูกบังคับให้ค่อยๆ ถอยจนหลังชนกระสอบทราย

แล้วทันใดนั้นเขาก็เหยียบเศษคอนกรีตที่ไม่รู้ว่าลอยมาจากไหน ทำให้เสียการทรงตัว

ปีศาจภูเขาได้เห็นดังนี้ก็คลี่ยิ้มออกมา

นี่คือสิ่งที่เขาคาดเอาไว้แล้ว

เขากดดันให้หลงเยว่หงถอยมายังบริเวณที่เต็มไปด้วยเศษคอนกรีต แล้วอาศัยการทรงตัวที่โดดเด่นของตนเองที่ปีนหน้าผาดุจเดินบนพื้นราบ รอเพียงแค่ทำให้คู่ต่อสู้พลาด สะดุดล้มลงไปเอง

เมื่อโอกาสลอยมาถึงหน้าแบบนี้ ย่อมแน่นอนว่าเขาไม่มีทางปล่อยให้หลุดมือ รีบกระโจนไปข้างหน้าพร้อมเหวี่ยงดาบปลายปืนในมือ

และแล้วในตอนนี้เอง หลงเยว่หงก็ออกแรงที่เอว ทำให้การล้มของตนเองช้าไปจังหวะหนึ่ง

จากนั้นก็เกร็งต้นขาขวาแล้วหวดขึ้นไป

พลั่ก!

ขาขวาเขาเตะใส่หน้าท้องของปีศาจภูเขา ทำให้อีกฝ่ายตัวงออย่างไม่อาจควบคุมตัวเองได้

หลงเยว่หงรีบฉวยจังหวะนี้ใช้แรงสะท้อนเพื่อหมุนตัวกลับมายืนอีกครั้ง

ในระหว่างนี้เขาก็ยังชักปืนพก ‘มอสน้ำแข็ง’ ออกมาด้วย

ปัง! ปัง!

เขาเหนี่ยวไกไม่ยั้ง บุปผาโลหิตเบ่งบานจากร่างของปีศาจภูเขา

เมื่อเห็นว่าศัตรูได้รับบาดเจ็บสาหัสล้มลงกับพื้นไปแล้วและไม่มีอาวุธอื่นอยู่ข้างกาย หลงเยว่หงก็รีบหันไปมองไป๋เฉินเพื่อจะเข้าไปช่วยเหลือ

ในตอนนี้ไป๋เฉินอ้อมไปด้านหลังปีศาจภูเขาอีกคนหนึ่งแล้วเตะเสยขึ้นไปที่หว่างขาเต็มแรง

เปรี้ยง!

ปีศาจภูเขาคนนั้นแสดงสีหน้าเจ็บปวดสุดขั้วหัวใจ ร่างกายงอตัวโดยอัตโนมัติอย่างไม่อาจฝืนได้

ไป๋เฉินรีบใช้จังหวะนี้ชักปืนออกมาจ่อยิงศีรษะ

ในขณะที่สีแดงขาวกระจายเต็มพื้น ทางด้านหานวั่งฮั่วเองก็จัดการกับคู่ต่อสู้ตนเองไปเรียบร้อยเช่นกัน เขาใช้แขนซ้ายตัวเองล่อให้อีกฝ่ายฟันมา จากนั้นก็จับอีกฝ่ายถีบออกไป

ตอนที่ปีศาจภูเขาถลาไปข้างหน้า หานวั่งฮั่วก็ดึง ‘ยูไนเต็ด 202’ ออกมาจากเอวแล้วส่งกระสุนปลิดชีพออกไป

ไป๋เฉินเหลือบมองหลงเยว่หง เมื่อเห็นว่าเขาสบายดีก็รีบไปที่แนวป้องกันแรก หยิบปืนบาซูก้า ‘มัจจุราช’ ที่เจี่ยงไป๋เหมียนทิ้งเอาไว้ขึ้นมา

เธอถือปืนบาซูก้าชันเข่าข้างหนึ่ง มองดูพวกปีศาจภูเขากับมนุษย์มัจฉาด้านนอกที่ดาหน้าเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้ง จากนั้นก็ลั่นกระสุนอย่างใจเย็น

ตูม!

บอลเพลิงลุกไหม้อยู่ท่ามกลางกลุ่มมนุษย์ชั้นรอง กลืนกินไปหลายชีวิต ทำให้กระแสคลื่นที่ถาโถมลดความรุนแรงลงไปบางส่วน

นี่ราวกับเป็นพลุส่งสัญญาณ ยามเมืองของชุมชนศิลาแดงจากสารพัดจุดของแนวป้องกันเริ่มตอบโต้กลับไปบ้าง

เพียงไม่นานนัก ปืนใหญ่ของทางฝั่งชุมชนศิลาแดงก็เริ่มกระหน่ำยิงปูพรมถล่มกลับไป

ตูม! ตูม!

ด้วยการยิงอย่างดุดัน ทำให้การโจมตีของพวกปีศาจภูเขามนุษย์มัจฉาถูกขัดจังหวะ

เพียงไม่นานก็มีเสียงนกหวีดดังขึ้น พวกเขาพากันละทิ้งซากศพพวกพ้อง ถอยหลังกลับไปยังถิ่นฐานเดิม

* * * * *

ฟู่… ผู้ตื่นรู้ในระดับนี้ ร่างกายยังไม่ได้กลายพันธุ์ไปมากซักเท่าไหร่แฮะ… เอ่อ… คิดแบบนั้นไม่ได้ ไม่งั้นเดี๋ยวซางเจี้ยนเย่าจะบอกว่าพูดจาไม่เป็นมงคลอีก… เมื่อเจี่ยงไป๋เหมียนเห็นซางเจี้ยนเย่าทุบจนมนุษย์มัจฉาร่างสูงใหญ่สวมมงกุฎกิ่งไม้สานนอนสลบ ก็ถอนหายใจโล่งอกอย่างไม่อำพราง

เธอรีบวิ่งไปด้านนั้นเพื่อเตรียมการขั้นสุดท้าย

ในตอนนี้ผิวของมนุษย์มัจฉาร่างสูงใหญ่ที่นอนบนพื้นก็บิดตัวไปมาอย่างประหลาด

นี่ราวกับมีปรสิตขนาดยักษ์จำนวนมหาศาลมุดอยู่ภายใน มองดูแล้วน่าสยดสยองเป็นอย่างยิ่ง

วินาทีถัดมา ออร่าซึ่งยากอธิบายกระแสหนึ่งก็ไหลออกมา ทำให้แสงจันทร์ในบริเวณนี้หม่นสลัวไปในทันที

ราวกับมีกระแสน้ำวนหนึ่งสายและหลุมดำหนึ่งหลุมปรากฏขึ้นภายในร่างของมนุษย์มัจฉาร่างสูงใหญ่สวมมงกุฎกิ่งไม้สาน กำลังกลืนกินทุกสรรพสิ่งที่อยู่รายรอบแล้วให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตซึ่งไม่ควรเป็นของโลกใบนี้ขึ้นมา

ชั่ววินาทีนี้ เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกว่าลมหายใจหยุดลง หัวใจก็หยุดเต้นไปชั่วขณะ

ถึงแม้ว่าสิ่งนี้ไม่อาจเทียบได้กับการจ้องมองมาจาก ‘ด้านหลังประตู’ ในตอนที่มุขนายกเรนาโต้ป่วยเป็น ‘โรคไร้ใจ’ ได้ก็ตาม แต่มันก็ยังน่าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง

ตอนนี้ซางเจี้ยนเย่ากลั้นหายใจชักปืนคู่ออกมาราวกับไม่ได้รับผลกระทบ จากนั้นก็เหนี่ยวไกใส่มนุษย์มัจฉาร่างสูงใหญ่อย่างไม่ยั้ง

ปัง! ปัง! ปัง!

เขายิงเข้าเป้าทุกนัด ทว่าราวกับมีม่านบาเรียที่มองไม่เห็นปรากฏอยู่บนผิวกายของมนุษย์มัจฉาที่สวมมงกุฎกิ่งไม้สาน ทำให้กระสุนหยุดนิ่ง ไม่อาจเจาะทะลวงเข้าไปได้

ซางเจี้ยนเย่ายังคงไม่เปลี่ยนท่วงท่า ท่ามกลางเสียงดนตรีโหมโรงคณะมีดสั้น เขากระหน่ำยิงไม่หยุด

ปัง! ปัง! ปัง!

เจี่ยงไป๋เหมียนถูกไวรัสหัวดื้อกับความมุ่งมั่นไม่ย่อท้อนี้ระบาดใส่ จึงก้าวขึ้นไปด้านหน้า ยก ‘ยูไนเต็ด 202’ ขึ้นมาเล็งไปยังมนุษย์มัจฉาร่างสูงใหญ่ที่นอนทอดร่างอยู่บนพื้น

ทั้งสองประเค็นกระสุนใส่อย่างไม่บันยะบันยังโดยไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย

ในที่สุดม่านบาเรียที่มองไม่เห็นก็แตกสลาย หลุมเลือดปรากฏขึ้นบนร่างมนุษย์มัจฉาสวมมงกุฎกิ่งไม้สาน

ร่างเขาบิดกระตุกสองสามครั้งแล้วสิ้นชีวิตโดยสมบูรณ์

สภาวะผิดปกติในร่างเขาหยุดลงโดยฉับพลัน ประหนึ่งว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

* * * * *

หลังจากการโจมตีเพื่อขับไล่มนุษย์มัจฉากับปีศาจภูเขาให้ล่าถอยไปด้วยความเหนื่อยยากแสนสาหัสจบลง หลงเยว่หงก็ถอนหายใจโล่งอกแล้วพูดกับไป๋เฉินหานวั่งฮั่ว

“ผมจะไปตรวจดูหน่อยว่ามีใครยังรอดบ้างไหม”

นี่ก็เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกลอบโจมตีในช่วงเวลาคับขัน

และแน่นอนว่าเป้าหมายของเขานั้นรวมถึงพวกยามเมืองด้วยเช่นกัน ดูว่ามีใครที่ยังพอช่วยชีวิตได้บ้าง

หลังจากตรวจสอบไปรอบหนึ่ง เขาก็พบว่าปีศาจภูเขาซึ่งถูกตนยิงไปสองนัดนั้นยังคงมีชีวิตอยู่

เมื่อเห็นว่าหลงเยว่หงที่สวมหน้ากากหมูอ้วนเดินเข้าไปหาตนเอง ปีศาจภูเขาที่อยู่ในสภาพเจียนตายก็ถอนหายใจออกมา

“เจ้าแข็งแกร่งมาก”

เขาใช้ภาษาปีศาจภูเขา แต่นี่คล้ายกับว่าพัฒนามาจากภาษาแดนธุลี คล้ายกับภาษาท้องถิ่นเป็นอย่างมาก หลงเยว่หงจึงพอจะเข้าใจได้คร่าวๆ

เมื่อได้ยินศัตรูชมเชยตนเอง หลงเยว่หงก็ทั้งดีใจทั้งกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง

“ที่จริงแล้วผมฝีมืออ่อนที่สุดในกลุ่มเลยล่ะ”

ปีศาจภูเขาที่กำลังจะสิ้นลมพลันตะลึงไปชั่วขณะ

“พวกเจ้า… ไม่ใช่คนชุมชนศิลาแดงหรอกหรือ”

“พวกเราเป็นทหารรับจ้างน่ะ” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนั้นใกล้สิ้นใจ หลงเยว่หงจึงตอบกลับอย่างเต็มใจ

“พวกเขา… โชคดีที่จ้าง… ทีมที่แข็งแกร่งอย่างพวกเจ้ามา” ปีศาจภูเขาที่ใกล้ตายเริ่มหายใจติดขัด

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนั้นเหลือเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้าย หลงเยว่หงก็อดถามออกมาไม่ได้

“ทำไมพวกคุณถึงรุกรานชุมชนศิลาแดงล่ะ ทำไมจะต้องเป็นศัตรูกับชาวชุมชนที่นี่ด้วย

“ผมได้ยินว่ามีพื้นที่เพาะปลูก มีเหมืองถ่านหินอยู่บนภูเขา พวกคุณไม่เห็นต้องทำสงครามซักหน่อย”

ปีศาจภูเขาที่ใกล้ตายนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วสูดหายใจ

“นี่คือ… ความถือมั่น… ของบรรพชน… พวกเราชาวภูเขา… ที่สืบทอดต่อกันมา

“ปู่ทวดของข้า… ย่าทวดของข้า… ปู่ย่าของข้า… ตายายของข้า… ทุกคนบอกกับข้า… พูดซ้ำแล้วซ้ำเล่า… พื้นที่ริมทะเลสาบ… ที่อุดมสมบูรณ์นี้… โลกเก่านี้… เมืองนี้… คือบ้านเกิดของพวกข้า

“พวกเขาบอก… บอกว่า… ที่ริมทะเลสาบ… มีลานกว้าง… มีสวนดอกไม้… มีชิงช้า… มีแปลงผักเล็กๆ มีลมโชยแผ่วๆ มีน้ำใสสะอาด… มีนกพิราบ… บินมาจากในเมือง

“บ้านพวกนั้นที่ลานนั่น… มีห้องหนึ่ง… ที่เตรียมเอาไว้… เป็นพิเศษ… สำหรับพวกเด็กๆ โดยเฉพาะ… มีบล็อคไม้… มีภาพต่อจิ๊กซอว์… มีของเล่น… มีการ์ตูน… มีหนังสือ…”

เสียงของเขาค่อยๆ แผ่วลงทุกขณะ จนกระทั่งเงียบหายไป

* * * * *

“เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่” เจี่ยงไป๋เหมียน ‘พึมพำ’ กับตัวเองอย่างไม่ได้คิดว่าจะได้รับคำตอบ

ซางเจี้ยนเย่านั่งยองลงไปค้นตัวศพ ตอบออกมาอย่างจริงจัง

“ศพแปรสภาพ”[1]

“…ฟังมาจากรายการวิทยุสินะ” กล้ามเนื้อใบหน้าเจี่ยงไป๋เหมียนกระตุกก่อนจะถามออกมา

“ใช่” ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน

เจี่ยงไป๋เหมียนถอนหายใจ

“นี่เป็นการแปรสภาพที่เกิดขึ้นหลังจากผู้ตื่นรู้ทุกคนในระดับนี้ตายลง หรือว่าเป็นเพราะเขาเป็นผู้ตื่นรู้ที่ผิดปกติไปจากคนอื่นนะ”

ซางเจี้ยนเย่าตอบออกมาอย่างสัตย์ซื่อ

“คุณต้องถามเขาเอาเอง”

“แล้วนายคิดว่าถามไปแล้วเขาจะตอบกลับมาหรือไงยะ” เจี่ยงไป๋เหมียนเริ่มฉุน

จากนั้นเธอก็พูดเสริมกับตัวเองอีกประโยคหนึ่ง

“กลับไปแล้วคงต้องไปถามผู้แจ้งเตือนซ่งดูเสียหน่อย”

แล้วในตอนนี้ซางเจี้ยนเย่าก็เจอแผนที่ฉบับหนึ่งซึ่งพับไว้อย่างเรียบร้อยอยู่ในกระเป๋าของเสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้มที่ขาดรุ่งริ่ง

ของมนุษย์มัจฉาร่างสูงใหญ่

แผนที่นี้เก่ามาก มองแล้วก็รู้ทันทีว่ามาจากโลกเก่า

ซางเจี้ยนเย่ารีบคลี่แผนที่ออกมา พบว่าเป็นแผนที่แบบเดียวกับที่ผู้แจ้งเตือนซ่งเหอให้มา

พวกมันล้วนแต่เป็นแผนที่นำเที่ยวของเมืองในสมัยก่อน

แผนที่ฉบับนี้ไม่ได้มีเครื่องหมายกำกับเอาไว้มากนัก มีเพียงแค่วงกลมสีแดงที่วงเอาไว้ที่ไหนสักแห่งในเมือง

ด้านนอกวงกลมสีแดงมีตัวหนังสือภาษาแม่น้ำแดงเขียนเอาไว้เป็นคำว่า…

‘บ้าน’

[1] ศพแปรสภาพ (尸变) หมายถึง ศพที่แปรสภาพกลายเป็นผีดิบ

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท