รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 217 ผู้ปกครองของชุมชนศิลาแดง

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 217 ผู้ปกครองของชุมชนศิลาแดง

เลห์แมนโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย ประสานมือทั้งคู่แล้วพูดทีละคำ

“ผมมีเพื่อนอยู่ในชุมชนศิลาแดงอยู่บ้าง พวกเขาได้ยินวีรกรรมยอดเยี่ยมของพวกคุณเมื่อคืน”

เขาไม่กล้าพูดออกมาตรงๆ ว่าคนทั้งชุมชมศิลาแดงต่างก็รู้ว่าพวกเขาเป็นคนสังหารผู้ตื่นรู้ที่แข็งแกร่งคนนั้น ใครก็รู้เรื่องนี้ทั้งนั้น แบบนี้ยังจะเรียกว่าเป็นความลับอีกหรือไง

เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้สานต่อในหัวข้อนี้ เปลี่ยนไปถามเรื่องอื่น

“มิสเตอร์เลห์แมน คุณมาหาพวกเรานี่มีเรื่องอะไรเหรอ”

เลห์แมนพูดด้วยความอึดอัดกระสับกระส่ายอยู่บ้าง

“ผมต้องการมอบหมายภารกิจให้พวกคุณ อาจมีอันตรายนิดหน่อย แต่วางใจได้ จะมีการแจ้งภารกิจผ่านสมาคมนักล่าแน่นอน ให้พวกเขาตรวจสอบและควบคุมภารกิจ”

เจี่ยงไป๋เหมียนครุ่นคิดสองสามวินาที เบื้องหลังหน้ากากเผยรอยยิ้มซุกซน

“ภารกิจนี้เกี่ยวข้องกับสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าหรือเปล่า”

“…” เลห์แมนนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ครึ่งค่อนวันถึงค่อยส่ายหน้า “ไม่น่าจะเกี่ยวนะ”

ซางเจี้ยนเย่าถามต่อ

“แล้วเกี่ยวข้องกับสาเหตุการแพร่ระบาดของ ‘โรคไร้ใจ’ หรือเปล่า”

โอ้… เข้าใจเสียด้วยว่าฉันคิดอะไรอยู่… เจี่ยงไป๋เหมียนแอบชมเขาในใจ

เลห์แมนไม่อาจตามทันความคิดของนักล่าซากอารยะทั้งสองคนเบื้องหน้าได้แม้แต่น้อย ได้แต่ตอบอย่างโง่งม

“เปล่า”

เขาเคยได้ยินมาว่าผู้ตื่นรู้ยิ่งแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ สภาพจิตใจก็จะยิ่งเอาแน่เอานอนไม่ได้มากเท่านั้น หรือไม่ก็มีพฤติกรรมประหลาดผิดมนุษย์

หรือว่าทั้งสองคนนี้จะเป็นอย่างที่คนเขาว่ามา

เพราะแบบนี้ถึงได้สามารถสังหารผู้ตื่นรู้ทรงพลังคนนั้นได้สินะ

เจี่ยงไป๋เหมียนกลั้นหัวเราะ พยายามตอบกลับอย่างเคร่งขรึม

“งั้นพวกเราก็คงไม่รับภารกิจนี้ล่ะ ขออภัยด้วย”

เลห์แมนพลันเข้าใจในทันทีว่าคำถามทั้งสองข้อเมื่อครู่นั้นเป็นเพียงแค่ข้ออ้างในการปฏิเสธ

เขารู้สึกฉุนเฉียวขึ้นมาเล็กน้อย รู้สึกเหมือนถูกอีกฝ่ายปั่นหัวทำให้เขากลายเป็นตัวตลก

แน่นอนว่าในฐานะพ่อค้าของเถื่อนก็ย่อมต้องมีสัญชาตญาณหยั่งรู้ความแข็งแกร่งของเขาของเรา หลังจากครุ่นคิดพิจารณาเขาก็สลายโทสะแล้วพูดด้วยความเศร้าใจ

“น่าเสียดายจริงๆ ค่าตอบแทนไม่น้อยเลยนะ”

เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้ถามว่าค่าตอบแทนคืออะไรเท่าไหร่ ปฏิเสธข้อเสนอของอีกฝ่ายอีกครั้ง

“ทีมเราต้องพักฟื้นน่ะ ตอนนี้ไม่รับภารกิจอะไรทั้งนั้น”

“ก็ได้ ถ้าพวกคุณอยากจะรับเมื่อไหร่ก็มาหาผมได้ตลอดเวลา ผมจะยังอยู่ที่ชุมชนศิลาแดงต่ออีกสองสามวัน” เลห์แมนรู้สึกว่านักล่าซากอารยะเบื้องหน้านั้นคงไม่เปลี่ยนความตั้งใจ จึงได้แต่ยืนขึ้นกล่าวคำอำลาอย่างมีมารยาท

หลังจากพ่อค้าของเถื่อนจากไปแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็พูดอย่างยิ้มแย้ม

“นี่ถ้าเราไม่ได้จองชุดเกราะเสริมแรงเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะพิจารณาเกี่ยวกับภารกิจของเขาก็ได้”

ตอนนี้พวกเขานั้นเป็น ‘ทีมสำรวจเก่า’ ไม่ได้เป็นนักล่าซากอารยะตัวจริงเสียงจริง ไม่ได้อาศัยภารกิจเพื่อการดำรงชีพ

“เป้าหมายของพวกเราต่อจากนี้มีสามเรื่อง หนึ่งคือหาทางติดต่อกับดิมาร์โก้ใน ‘นาวาบาดาล’ ดูว่าที่นั่นมีข้อมูลเกี่ยวกับการทำลายโลกเก่าบ้างหรือเปล่า สองคือไปที่เกาะกลางทะเลสาบ ไปดู ‘เทพ’ หลับใหลสักหน่อย สามคือรวมรวมข้อมูลเกี่ยวกับ ‘สวรรค์จักรกล’ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการติดต่อในอนาคต” ถึงแม้จะป่วยอยู่ แต่กระบวนความคิดของเจี่ยงไป๋เหมียนยังคงชัดเจนแจ่มแจ้ง

ซางเจี้ยนเย่าถอนหายใจด้วยความรู้สึกเสียดาย

“ถ้ามีเกราะเสริมแรงเพิ่มขึ้นอีกชุดก็ยิ่งดี”

“ก็จริง” เจี่ยงไป๋เหมียนครุ่นคิดชั่วขณะแล้วผงกศีรษะ “ทำให้เสี่ยวไป๋แข็งแกร่งขึ้นอีกหน่อยก็ยิ่งดี ของจำพวกเกราะเสริมแรงแบบนี้ มีมากอีกหน่อยก็ไม่มีใครว่ามีเยอะเกินไปหรอก พวกเราเองก็จะได้ใช้ด้วย อืม… ตอนนี้ยังไม่ต้องรีบหรอก ยังไม่จำเป็นต้องไปเสี่ยงอันตราย”

เธอเพิ่งจะปลดหน้ากากถอดเสื้อคลุม เอนตัวนอนบนเตียงแล้วทำตัวเป็นคนไข้ต่อ ก็พลันตรวจจับได้ว่ามีคนกำลังมาทางพวกเขา

“จริงสิ จะให้คนป่วยได้พักผ่อนหน่อยไม่ได้หรือไงเนี่ย” เธออดบ่นออกมาประโยคหนึ่งไม่ได้

ซางเจี้ยนเย่ารีบหากระดาษมาแผ่นหนึ่ง แล้วเขียนข้อความลงไปสองสามคำ

‘กรุณาอย่ารบกวน’

เขาเพิ่งจะเปิดประตูออกมา กำลังจะแปะกระดาษติดไว้ก็เห็นคุณนายเทเรซ่ากำลังจะเคาะประตู

นี่คือภรรยาหม้ายของพ่อค้าอาวุธเฮลเว็กที่ยังคงสวมหมวกที่มีผ้าคลุมสีดำห้อยลงมา ด้านหลังมีคนสวมหน้ากากติดตามมาด้วยสองสามคน ติดอาวุธครบมือ

เทเรซ่าอึ้งไปชั่วขณะ แล้วถามออกมาอย่างไม่อ้อมค้อม

“ได้ยินว่าพวกคุณเอาอาวุธกลับมาได้แล้วงั้นเหรอ”

“ใช่แล้ว” ซางเจี้ยนเย่าพูดอย่างมีความสุข “ครึ่งหนึ่งที่เป็นของคุณอยู่ที่โบสถ์”

ในระหว่างที่พูดเขาก็กวาดสายตามองดูคนที่อยู่ด้านหลังเทเรซ่าไปรอบหนึ่ง

เมื่อคนสองสามคนนั่นรับรู้ได้ถึงสายตาที่มองดู ต่างก็พากันตึงเครียดขึ้นมาทันที ทั้งยังตัวสั่นเล็กน้อยเหมือนกับว่าถ้าพูดผิดหูพวกเขาเมื่อไหร่ก็จะรีบเผ่นไปหาที่ซ่อนตัวโดยไว

เมื่อคืนวานพวกเขาได้ประสบกับตัวเองเลยว่าผู้ตื่นรู้มนุษย์ชั้นรองคนนั้นน่ากลัวขนาดไหน และในตอนนี้ คนที่ยืนอยู่ต่อหน้าพวกเขาก็คือคงที่ลงมือสังหารปลิดชีพผู้ตื่นรู้มนุษย์ชั้นรองคนนั้น!

“การระวังตัวเกินไปไม่ใช่เรื่องดีหรอก” ซางเจี้ยนเย่าแนะนำอย่างจริงใจ

เขาไม่พูดก็ยังไม่เป็นไรหรอก แต่พอพูดออกมาปุ๊บ คนที่ติดตามเทเราซ่ามาก็รู้สึกอยากจะกลับหลังหันวิ่งหน้าตั้งออกไปทันที

ยังดีว่านี่เป็นเพียงแค่ความคิดเท่านั้น ยังไม่ได้วิ่งเตลิดออกไปจริงๆ นี่แสดงให้เห็นว่าพวกเขายังเป็นคนปกติอยู่

เมื่อเห็นเช่นนี้เทเรซ่าก็รีบแนะนำตัว

“พวกเขาเป็นลูกน้องที่ภักดีกับเฮลเว็ก ตอนนี้มีหน้าที่ปกป้องฉันค่ะ”

การสนทนาระหว่างคนทั้งสองเป็นภาษาแม่น้ำแดง

ในตอนนี้เจี่ยงไป๋เหมียนก็เดินมาที่หน้าประตูแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม

“ฉันจะพาพวกคุณไปรับอาวุธที่โบสถ์ตอนนี้เลย เสร็จแล้วก็อย่าลืมไปที่สมาคมเพื่อยืนยันว่าภารกิจสำเร็จด้วยล่ะ”

เทเรซ่าถอนหายใจโล่งอก พูดด้วยความสะเทือนอารมณ์

“คิดไม่ถึงว่าพวกคุณจะแข็งแกร่งขนาดนี้

“เอ่อ… แล้วก็คิดไม่ถึงด้วยว่าพวกคุณเป็นคนภาษาธุลี

“ตอนนั้นฉันกำลังอารมณ์แปรปรวน ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์ของฉันกับเฮลเว็กจะไม่ค่อยดีนัก แต่ถึงยังไงเขาก็เป็นสามี”

เห็นได้ชัดว่าเธอรู้จากชาวชุมชนศิลาแดงที่รอดกลับมาว่าพวกเขาเป็นทีมคนภาษาธุลี

“ไม่เป็นไรหรอก” เจี่ยงไป๋เหมือนเกือบจะลืมหัวข้อสนทนาตอนแรกไปแล้ว

เทเรซ่านิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะถามอีกครั้ง

“พวกคุณหาตัวฆาตกรที่ฆ่าเฮลเว็กได้หรือยัง”

“ยังเลย” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบตามจริง “เพิ่งจะตัดรายชื่อผู้ต้องสงสัยทิ้งไปได้บางส่วน”

เอ่อ… พวกคุณยังทำภารกิจนี้ไม่เสร็จสักหน่อย ทำไมถึงเอาอาวุธครึ่งหนึ่งไปเสียแล้วล่ะ… เดิมทีเทเรซ่าคิดจะพูดเช่นนี้ แต่เมื่อนึกถึง ‘คุณูปการอันยิ่งใหญ่’ ของทีมนักล่าซากอารยะเบื้องหน้าที่ทำไว้เมื่อคืนขึ้นมา เธอก็เข้าใจถึงความประหม่าและกระสับกระส่ายของ ‘ผู้คุ้มกัน’ ที่อยู่ด้านหลัง จึงได้แต่เพียงฝืนยิ้มพูดออกมา

“ดูท่าแล้วอีกไม่นานก็น่าจะเจอตัวฆาตกรแล้วสินะ”

ในตอนนี้เธอได้ตระหนักแล้วว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ชาวชุมชนศิลาแดงบางส่วนรู้สึกเช่นไรเมื่อเผชิญหน้ากับเฮลเว็ก

เผด็จการท้องถิ่น!

ได้แต่ต้องกล้ำกลืนโทสะโดยไม่อาจพูดออกมา!

เจี่ยงไป๋เหมียนยังป่วยอยู่จึงไม่ได้พูดอะไรมาก บอกให้ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงขับรถไปที่โบสถ์นิกายตื่นตัวพร้อมๆ กับพวกเทเรซ่า

หลังจากได้พบกับผู้แจ้งเตือนซ่งเหอ พวกเขาก็ส่งมอบอาวุธเสร็จสิ้นภายในเวลาอันสั้น จากนั้นพวกซางเจี้ยนเย่าหลงเยว่หงก็รออยู่นอกโบสถ์ ยืนอยู่ข้างรถจี๊ปมองดูเทเรซ่ากับลูกน้องช่วยกันตรวจนับอาวุธและวุ่นวายอยู่กับการขนย้ายวัตถุปัจจัย

ซางเจี้ยนเย่ามองๆ ดูไปเรื่อยๆ แล้วก็พลันหันหน้าไปอีกด้าน

วีลที่สูง 160 เซนติเมตร เดินอ้อมด้านข้างโบสถ์ตรงเข้ามาหาพวกเขา

เมื่อเดินมาถึงด้านข้างหลงเยว่หงเขาก็มองดูเทเรซ่าที่กำลังสวดอธิษฐานอยู่ในห้องโถงแล้วหัวเราะเสียงต่ำออกมา

“พวกคุณไม่มีทางนึกถึงตัวตนที่แท้จริงของเธอได้แน่ๆ”

“จริงเหรอ” ซางเจี้ยนเย่าถามอย่างกระตือรือร้น

วีลพูดด้วยรอยยิ้ม

“ในพิธีมิสซาครั้งก่อนน่ะ เฮลเว็กอยากจะรีบทำการค้าอาวุธให้เสร็จ ก็เลยจงใจเผยตัวให้ถูกคนหาเจอเร็วๆ

“หลังจากนั้นไม่นาน คุณนายเทเรซ่าก็ถูกหาตัวเจอเหมือนกัน แต่หลังจากนั้นเธอไม่ได้ออกไปจากโบสถ์หรอก”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ เขาก็แสดงความภาคภูมิใจออกมา

“ผมมองเห็นจากช่องระบายอากาศ เธอเข้าไปในห้องของมุขนายกเรนาโต้

“ฮา ฮา นี่อาจจะเป็นสาเหตุว่าทำไมมุขนายกเรนาโต้ถึงได้รับเทวทัณฑ์ กลายเป็น ‘คนไร้ใจ’ ไป”

“หือ” เป็นเพราะวีลพูดด้วยภาษาแม่น้ำแดง ในช่วงสั้นๆ หลงเยว่หงจึงยังตามไม่ทัน

ไม่กี่วินาทีถัดมา เขาถึงจะเข้าใจความหมาย

มุขนายกเรนาโต้กับคุณนายเทเรซ่าเป็นชู้รักกันอย่างนั้นเหรอ!

เจ้าเด็กวีลใช้ช่องระบายอากาศจนรู้ความลับไปแล้วมากน้อยขนาดไหนเนี่ย

หลงเยว่หงถอนหายใจอย่างเงียบๆ ส่วนซางเจี้ยนเย่าแสดงความคิดเห็นออกมาจากใจ

“ผู้ครองกาลคงงานยุ่งมากเลยนะ”

“คุณล้อเลียนผมงั้นเหรอ” วีลเหลือบมองซางเจี้ยนเย่าแล้วพูดต่อ “แต่ละคนต่างก็มีหน้ากากที่มองไม่เห็นอยู่เยอะแยะเต็มไปหมด มีเพียงแค่ช่องระบายอากาศซึ่งเป็นอีกโลกหนึ่ง ถึงจะมองเห็นตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาตอนที่ถอดหน้ากากออกมาแล้ว”

พูดถึงตรงนี้เขาก็หัวเราะออกมาอีกครั้ง

“อยากรู้ไหมล่ะว่าตัวตนที่แท้จริงของผู้แจ้งเตือนซ่งที่อยู่ข้างใน ‘หน้ากาก’ เป็นยังไง

“พวกคุณต้องคิดไม่ถึงแน่ๆ”

หลงเยว่หงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดก่อนที่ซางเจี้ยนเย่าจะทันได้พูด

“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวกเราสักหน่อย ขอเพียงแค่ผู้แจ้งเตือนซ่งไม่ได้วางแผนลับกับพวกเรา ไม่ว่าเขาจะเป็นคนยังไง ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกเรา”

“ใช่ ใช่” ซางเจี้ยนเย่าเห็นด้วย

“พวกคุณจะพลาดเรื่องสนุกไปหลายเรื่องเลยนะ”

ไม่รู้ว่าซางเจี้ยนเย่าคิดอะไร จู่ๆ ก็ตื่นเต้นขึ้นมา

“งั้นนายเคยไปสำรวจสถานการณ์ของ ‘นาวาบาดาล’ บ้างไหม”

วีลหัวเราะฮาฮา

“ช่องระบายอากาศของ ‘นาวาบาดาล’ น่ะ ทุกช่องถูกป้องกันเอาไว้ ไม่มีทางแอบเข้าไปได้หรอก”

เขานิ่งเงียบไปชั่วขณะก่อนจะพูดพึมพำกับตัวเองอีกประโยคหนึ่ง

“แต่ว่านะ พวกยามที่เฝ้าช่องระบายอากาศไว้ก็พูดคุยเรื่องในชีวิตประจำวันอยู่เหมือนกัน”

โดยไม่รอให้ซางเจี้ยนเย่าถามอะไรต่ออีก เขาก็รีบวิ่งออกไปแล้วหายลับไปด้านหลังกองซากอาคารที่พังถล่มลงมา

จนกระทั่งตอนนี้หลงเยว่หงถึงจะมีปฏิกิริยาตอบสนอง

“ความหมายของเขาก็คือ… เขาพอจะรู้เรื่องราวภายในของ ‘นาวาบาดาล’ อยู่บ้างใช่ไหม”

ซางเจี้ยนเย่าคิดใคร่ครวญแล้วกล่าวออกมา

“ถ้าหากว่าฉันหาตัวเขาพบ เอาชนะเขาได้ เขาจะยอมเล่าเรื่องที่ได้ยินมาให้ฟังหรือเปล่านะ”

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท