รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 221 ขึ้นเกาะ

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 221 ขึ้นเกาะ

“นี่คือ…” ทางด้านข้างของเรือเร็วสีขาวนวล เจี่ยงไป๋เหมียนมองเห็นยามเมืองที่ติดตามหานวั่งฮั่วมา เดินจูงจักรยานสี่คันมาด้วย

หานวั่งฮั่วมองดูพื้นผิวทะเลสาบที่อาบประกายแสงตะวันสีทองอร่าม สูดอากาศของฤดูหนาวที่เย็นชื้นแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม

“ขึ้นเกาะไปแล้วยังต้องไปต่ออีกไกลกว่าจะไปถึงวิหารนั่น ถ้ามัวแต่เดินเท้าไปคงเสียเวลามาก

“ยามเมืองของเราก็เลยเห็นพ้องกันว่าจะให้พวกคุณยืมจักรยานเพื่อใช้เป็นพาหนะสำหรับการเดินทางน่ะ”

เพราะเรือเร็วลำเล็กเพียงแค่นี้ เห็นได้ชัดว่าไม่มีทางบรรทุกรถยนต์ทั้งคันลงไปได้

ซางเจี้ยนเย่าได้ยินแล้วก็รู้สึกซาบซึ้งมาก ทำท่าราวกับว่าอยากตะโกนเรียก ‘พี่น้อง’ ออกมา เจี่ยงไป๋เหมียนจึงรีบเดินมาขวางหน้าเขา มือกุมหน้ากาก ยิ้มเจื่อนๆ แล้วกล่าวหยอกล้อ

“ไม่ง่ายเลยนะที่พวกคุณจะใจกว้างขนาดนี้”

หานวั่งฮั่วตอบออกมาตามตรง

“พวกเราเองก็หวังจะเข้าใจเกี่ยวกับ ‘เทพ’ ที่หลับใหลให้เร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดวันดีคืนดีพวกมนุษย์มัจฉามีผู้ตื่นรู้ที่แข็งแกร่งเหมือนกับวันนั้นขึ้นมา พวกเราก็เจอปัญหาใหญ่แล้ว

“หากเป็นแบบนั้น ความหวังเดียวของพวกเราก็คงต้องวิงวอนให้ ‘ธชียมโลก’ ประทานพรคุ้มครองชุมชนศิลาแดงกันจริงๆ แล้วล่ะ และต้องให้นิกายตื่นตัวส่งคณะมุขนายกแห่งความหวาดหวั่นออกมาช่วยด้วย”

เจี่ยงไป๋เหมียนเข้าใจที่พวกเขากังวลเกี่ยวกับภัยแฝงเร้นเรื่องนี้

“ก็จริง”

จากนั้นหานวั่งฮั่วชี้ไปที่จักรยานทั้งสี่คัน

“ของพวกนี้เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่จาก ‘ยูไนเต็ดอินดัสทรีส์’ ไม่ได้เอามาใช้ร่วมปีแล้วล่ะ

“พวกคุณดูสิ แต่ละคันมีเบาะหลังด้วย เหมือนกับเลียนแบบจักรยานรุ่นแรกๆ ของโลกเก่าเลย ฮ่า ฮ่า ผมสงสัยจริงๆ ว่าทำไมจักรยานโลกเก่ายุคหลังๆ ถึงไม่ทำให้คนนั่งซ้อนท้ายไปด้วย เสียของจริงๆ ของมีประโยชน์แบบนี้ก็ตัดทิ้งไปเสียได้”

เจี่ยงไป๋เหมียนไม่เคยศึกษาปัญหาเรื่องนี้จึงไม่สะดวกแสดงความเห็น ทำได้เพียงรับฟังเท่านั้น

“ในเมื่อมีเบาะหลังให้นั่งซ้อน งั้นเอาไปสองคันก็พอ เรือจะได้ไม่แน่นเกินไป”

หานวั่งฮั่วไม่ได้ค้าน เพียงแค่เสริมขึ้นมาอีกประโยค

“ก่อนหน้านี้พ่อค้าของเถื่อนจาก ‘ยูไนเต็ดอินดัสทรีส์’ ก็มาโฆษณาของที่เรียกว่า ‘สองล้อทรงตัว[1]’ ด้วย มันเล็กมาก พกพาสะดวก แต่ว่านะ… พวกเขาไม่รู้หรือไงว่าสภาพถนนในซากปรักมันแย่ขนาดไหน ขืนเอามาใช้ละก็ แค่เผลอสะดุดนิดเดียว คนก็กระเด็นไปนอนคลุกฝุ่นแล้ว

“เชลยมนุษย์มัจฉาคนนั้นเล่าว่าถนนบนเกาะมีการดูแลรักษาเป็นอย่างดี ดูแล้วน่าจะใช้กับสองล้อทรงตัวได้ไม่มีปัญหา น่าเสียดายที่ตอนนั้นพวกเราไม่ได้ซื้อเอาไว้”

เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้มแล้วก็พูดขึ้น

“นายอำเภอหาน ดูเหมือนคุณจะช่างพูดขึ้นกว่าแต่ก่อนนะ”

หานวั่งฮั่วนิ่งอึ้งไปชั่วขณะก่อนจะหัวเราะเยาะตัวเอง

“คงเป็นเพราะพวกคุณแสดงความแข็งแกร่งออกมา ก็เลยอยากทำให้พวกคุณพอใจซักหน่อยละมั้ง”

พูดคุยกันต่ออีกไม่กี่คำ ซางเจี้ยนเย่าและไป๋เฉินก็จูงจักรยานลงเรือ ส่วนหลงเยว่หงก็ทำหน้าที่แบกลังบรรจุชุดเกราะเสริมแรงด้วยความทุลักทุเล

เพื่อเป็นการประหยัดพลังงานของชุด เขาจึงยังไม่ได้สวมในตอนนี้

เจี่ยงไป๋เหมียนเป็นคนสุดท้ายที่กระโดดลงเรือ จากนั้นก็โบกมือให้พวกหานวั่งฮั่วท่ามกลางเสียงตึกๆๆ ของเครื่องยนต์เรือเร็ว

ผ่านไปสิบกว่าวินาที เรือเร็วสีขาวนวลก็แล่นไปบนทะเลสาบพิโรธที่มองไม่เห็นฟากฝั่ง ลากรอยคลื่นยาวเป็นทางบนผิวน้ำที่เป็นประกายระยิบระยับสีทอง

ลมในทะเลสาบค่อนข้างเย็นทำให้หลงเยว่หงรู้สึกหนาวสะท้านอยู่บ้าง

เขามองไปรอบๆ เห็นชายฝั่งเหลือเพียงแค่เส้นเดียว เกาะต่างๆ ที่อยู่ในทะเลสาบมองแล้วราวกับเป็นสัตว์ประหลาดตะคุ่มตะคุ่ม

“หัวหน้า ทำไมพวกเราไม่เดินทางกันตอนกลางคืนล่ะ ตอนนี้เพิ่งจะบ่าย จะไม่สะดุดตาเกินไปหน่อยเหรอ แบบนี้พวกมนุษย์มัจฉาจะเห็นเราได้ง่ายๆ เลยนะ…” หลงเยว่หงถามในสิ่งที่ไม่เข้าใจ

ในความคิดของเขานั้น ปฏิบัติการเช่นนี้ควรจะดำเนินการในตอนกลางคืนที่มีลมพัดแรงมากกว่า

เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะ มองดูซางเจี้ยนเย่าที่นั่งยองอยู่กราบเรือพยายามจะเอื้อมมือไปจับปลา

“อธิบายให้เสี่ยวหงฟังหน่อยสิ

เธอหยุดไปชั่วแว่บก่อนจะเสริมมาอีกคำ

“เฮ้”

ซางเจี้ยนเย่าหันหน้าที่สวมหน้ากากลิงเจ้าเล่ห์มา พร้อมกับยกคำถามของหลงเยว่หงขึ้นมาพูด

“นายรู้ทางหรือเปล่า”

“ทางอะไร” หลงเยว่หงไม่รู้ว่าจะตอบอะไร

“ทางไปเกาะกลางทะเลสาบน่ะ” ไป๋เฉินทวนความจำให้ประโยคหนึ่ง

“ไม่รู้” หลงเยว่หงตอบออกไปโดยอัตโนมัติ จากนั้นก็กระจ่างได้ในทันที “ในตอนกลางคืนพวกเราจะหาเกาะไม่เจออย่างนั้นสินะ”

เจี่ยงไป๋เหมียนด้านหนึ่งก็คอยมองสังเกต ‘หลักเขต[2]’ ที่พวกหานวั่งฮั่วบอกเอาไว้เพื่อคอยยืนยันว่าไม่ได้แล่นมาผิดทาง อีกด้านหนึ่งก็ผงกศีรษะตอบรับ

“ถูกแล้ว

“ตอนกลางวันพวกเรายังใช้แผนที่ คำอธิบาย และสภาพแวดล้อม เพื่อเปรียบเทียบกับเส้นทางที่จะเดินทางไปที่เกาะได้

“แต่ถ้าเป็นตอนกลางคืน อย่าว่าแต่พวกเราเลย ต่อให้เป็นพวกหานวั่งฮั่วเองก็ยังไปไม่ถูก”

ทะเลสาบนั้นเป็นพื้นที่ซึ่งมนุษย์มัจฉาครองความได้เปรียบอย่างสิ้นเชิง ส่วนชาวชุมชนศิลาแดงไม่ได้หยั่งเท้าลงมาลึกมากนัก

และเรือเร็วลำนี้ก็เป็นแบบธรรมดา ไม่มีระบบนำทางอัจฉริยะ

“แล้วก็นะ ถ้าหากนายเป็นมนุษย์มัจฉา นายจะระวังตัวตอนไหนมากที่สุด” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดต่อทันที “แน่นอนว่าต้องเป็นตอนดึกใช่ไหมล่ะ เพราะกังวลว่าคนของชุมชนศิลาแดงอาจจะใช้ประโยชน์จากความมืดเพื่อปกปิดร่องรอยการลอบโจมตี แต่ถ้าเป็นกลางวันก็จะผ่อนคลายลงบ้าง ทะเลสาบกว้างใหญ่ตั้งขนาดนี้ ขอเพียงพวกเราไม่ได้เข้าใกล้พื้นที่ที่พวกมนุษย์มัจฉาเคลื่อนไหวเป็นหลัก ก่อนเราจะเข้าใกล้เกาะก็ไม่น่าจะมีอันตรายอะไร”

หลังจากฟังอย่างตั้งใจจนจบ หลงเยว่หงก็สรุปออกมาได้ประโยคหนึ่ง

‘การวิเคราะห์ที่แน่นอนย่อมขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่แน่นอน’

เรือเร็วอ้อมไปเป็นวงกว้างทางทิศตะวันตก จากนั้นค่อยเคลื่อนลึกเข้าไปในทะเลสาบพิโรธ

เวลาผ่านไปนาทีแล้วนาทีเล่า ดวงอาทิตย์ค่อยๆ คล้อยตกดินไป

ไม่ทราบว่าผ่านไปนานเพียงใด ในที่สุดพวกซางเจี้ยนเย่าก็เห็นเกาะที่ใหญ่มากเกาะหนึ่ง

กลางเกาะมีภูเขาตั้งตระหง่านเหมือนเป็นเสาหลักหิน

“เกือบจะถึงแล้ว” เจี่ยงไป๋เหมียนเปรียบเทียบกับคำอธิบายลักษณะของเกาะกลางทะเลสาบที่ชาวชุมชนศิลาแดงให้ไว้ และยืนยันได้ว่าที่หมายก็คือข้างหน้านี่เอง

ไป๋เฉินปรับทิศทางของเรือเร็วเล็กน้อยเพื่อให้มั่นใจว่ามันจะไม่เบี่ยงออกไป

ลมจากทะเลสาบพัดกระโชกจนเสื้อผ้าผมเผ้าของพวกเขายุ่งไปหมด

ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงเกาะ มองเห็นท่าเรือเก่าๆ ที่ค่อนข้างทรุดโทรม มีลำน้ำเล็กๆ ไหลเอื่อยๆ อยู่ไม่ไกลจากท่าเรือนัก

แล้วตอนนี้ซางเจี้ยนเย่าก็ลุกขึ้นยืน ก้มตัวเล็กน้อย มองดูในน้ำทางด้านซ้ายด้วยความตื่นเต้น

จากนั้นก็พูดขึ้น

“จิตสำนึกของมนุษย์… มีสามคน”

“ดูท่าน่าจะเป็นมนุษย์มัจฉา” เจี่ยงไป๋เหมียนตรวจจับได้ก่อนหน้านี้แล้ว เพียงแต่ไม่อาจบอกได้ว่านั่นเป็นปลาตัวใหญ่หรือมนุษย์มัจฉากันแน่

“ทำไงกันดี” หลงเยว่หงรู้สึกหัวใจถูกบีบรัด พูดแนะนำขึ้นมา “ตอนนี้รีบขึ้นฝั่งก่อนดีไหม”

ขอเพียงไม่ต้องทำศึกในน้ำกับมนุษย์มัจฉา เขาก็ไม่ได้รู้สึกกลัวเท่าไร

“พวกมันมาแล้ว เร็วมาก” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดอย่างใจเย็น “ดูเหมือนว่าพวกมนุษย์มัจฉาไม่ได้ทิ้งเกาะนี้ไปซะเลยทีเดียว น่าจะส่งคนมาดูสถานการณ์บ้างเป็นครั้งคราว”

ในตอนนี้ซางเจี้ยนเย่าอยู่ในท่าเตรียมพร้อมจะกระโดดพุ่งลงน้ำแล้ว

ไป๋เฉินนั้นด้านหนึ่งก็ควบคุมเรือ อีกด้านหนึ่งก็ชัก ‘ยูไนเต็ด 202’ ออกมา พยายามจะยิงลงไปในน้ำ แต่ภายใต้คลื่นน้ำบนผิวทะเลสาบ เธอไม่อาจหามนุษย์มัจฉาพบว่าอยู่ตรงไหน

หลงเยว่หงก็ทำเช่นเดียวกัน และยังถึงกับมีความคิดประหลาดขึ้นมาด้วย

‘ไม่รู้ว่าชุดเกราะกระดูกเสริมแรงจะกันน้ำได้หรือเปล่านะ…’

เจี่ยงไป๋เหมียนรายงานการเคลื่อนไหวของมนุษย์มัจฉาให้ทุกคนฟัง

“พวกเขาดำลงไปลึก ดูท่าแล้วคงคิดจะเจาะเรือเรา”

เธอเหยียบบนดาดฟ้าเรือแล้วพูดกับซางเจี้ยนเย่า หลงเยว่หง และไป๋เฉิน

“ถอยห่างจากกราบเรือ นอกจากไม้กระดานแล้วห้ามจับอะไรทั้งสิ้น

“พวกเราไม่จำเป็นต้องลงไปสู้กับพวกมนุษย์มัจฉาในน้ำหรอก ไม่คุ้มค่าที่จะเสี่ยง”

ซางเจี้ยนเย่าถอนใจแล้วถอยกลับมา

จนกระทั่งสมาชิกของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ขึ้นไปเหยียบไม้กระดานเสร็จ เจี่ยงไป๋เหมียนก็นั่งยองลงไปแล้วหย่อนมือซ้ายลงไปในทะเลสาบ

วินาทีถัดมา ด้านข้างเรือก็สว่างวาบขึ้นอย่างฉับพลัน ราวกับว่ากลับไปเป็นตอนเที่ยงวันที่มีแสงแดดแรงที่สุด

อสรพิษสายฟ้าสีเงินจำนวนมากมายมหาศาลปะทุออกมาแล้วพุ่งลงไปในทะเลสาบ

เหตุการณ์นี้ดำเนินต่อไปราวสิบกว่าวินาที จากนั้นก็มีปลาหลายตัวหงายท้องลอยขึ้นมา

ห่างออกไปพอควรมีมนุษย์มัจฉาสามคนค่อยๆ ลอยขึ้นมาแล้วรีบว่ายน้ำหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต

ร่างพวกเขาชักกระตุกอย่างไม่อาจควบคุม ดวงตาเหลือกถลน ไม่รู้ตัวว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่

เมื่อเจี่ยงไป๋เหมียนเห็นเช่นนี้ก็ไม่ได้ปล่อยกระแสไฟฟ้าแรงสูงต่ออีก

เธอยังต้องสงวนพลังเอาไว้บางส่วนสำหรับการสำรวจวิหาร

ในเมื่อมนุษย์มัจฉาว่ายออกไปไกลแล้ว ไป๋เฉินจึงขับเรือเร็วไปที่ท่า จากนั้นก็ผูกเรือไว้กับเสา

เจี่ยงไป๋เหมียนกระโดดลงจากเรือเร็วแล้วมองไปรอบๆ ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากพูด ซางเจี้ยนเย่าก็กระโดดออกมาจากเรือวิ่งตรงไปที่ลำน้ำใกล้ๆ แล้วหยิบป้ายโลหะขึ้นสนิมแผ่นหนึ่งชูขึ้นมา

บนแผ่นป้ายมีตัวหนังสือภาษาธุลีเขียนเอาไว้

‘ที่นี่ห้ามใช้ไฟฟ้าช็อตปลา!’

เจี่ยงไป๋เหมียนถึงกับอึ้งไปพักหนึ่ง

จากหางตาของเธอก็เห็นว่าหลงเยว่หงกับไป๋เฉินที่ถอดหน้ากากออกแล้ว กำลังเม้มปากแน่นตัวสั่นเล็กน้อยเหมือนกำลังพยายามกลั้นหัวเราะสุดชีวิต

“มนุษย์มัจฉาไม่ใช่ปลาย่ะ!” เจี่ยงไป๋เหมียนเถียงปกป้องตัวเอง

พอพูดจบปุ๊บเธอก็หัวเราะลั่น ท่าเรือเต็มไปด้วยบรรยากาศความมีชีวิตชีวา

นี่ช่างเป็นเรื่องบังเอิญอย่างเหลือเชื่อ

เจี่ยงไป๋เหมียนรอให้ไป๋เฉินจูงจักรยานสองคันไปที่ท่าเรือ เมื่อซางเจี้ยนเย่าช่วยหลงเยว่หงสวมชุดเกราะกระดูกเสริมแรงเสร็จ เธอก็หยุดยิ้มแล้วออกคำสั่งอย่างจริงจัง

“เสี่ยวไป๋ เสี่ยวหง พวกนายอยู่ที่นี่ หนึ่งคือคอยป้องกันมนุษย์มัจฉาย้อนกลับมาทำลายเรือเร็ว สองคือเป็นทีมสนับสนุน

“เราไม่รู้ว่าในวิหารจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ถ้าหากเข้าไปพร้อมกันทั้งหมดอาจจะโดนกวาดยกทีม พวกนายรออยู่ที่นี่ หากเกิดอะไรขึ้นกับพวกเราก็ยังมีคนช่วยเหลือ อ้อ คอยใส่ใจกับพลุสัญญาณของฉันด้วย แล้วก็ถ้าพวกเราอยู่เกินเวลา พวกนายรีบเข้าไปตามทันที

“แต่ถ้าสุดท้ายพบว่าไม่สามารถช่วยเหลือได้ ให้กลับไปแล้วแจ้งให้บริษัทรู้”

นี่เป็นการแบ่งงานตามปกติภายในทีม การเหลือกำลังคนบางส่วนไว้สนับสนุนเป็นหนึ่งในมาตรการที่มีประสิทธิภาพสำหรับการสำรวจในลักษณะนี้ ไป๋เฉินไม่ได้คัดค้านอะไร

หลงเยว่หงเองก็ไม่มีอะไรจะคัดค้านอยู่แล้ว

เจี่ยงไป๋เหมียนสะพายปืนยิงระเบิด ‘ทรราช’ กับปืนไรเฟิลจู่โจม ‘นักรบคลั่ง’ พาดบ่า ขึ้นคร่อมจักรยานแล้วนั่งลงไป

จากนั้นเธอก็หันหน้าไปมองซางเจี้ยนเย่าโดยอัตโนมัติ และพบว่าอีกฝ่ายพร้อมออกเดินทางแล้ว

ปัญหาเดียวก็คือซางเจี้ยนเย่าที่สวมชุดลายพรางสีเทา รองเท้าบู๊ตหนังสีดำ สะพายปืนไรเฟิลจู่โจมไว้ มีปืนพก ‘มอสน้ำแข็ง’ และ ‘ยูไนเต็ด 202’ ห้อยไว้ที่เอว ดูยังไงก็ไม่เข้ากับ ‘การขี่จักรยาน’ น่าขันอย่างอธิบายไม่ถูก

แต่พอนึกได้ว่าตัวเองก็มีสภาพไม่แตกต่างกัน เจี่ยงไป๋เหมียนก็หัวเราะออกมา อดพูดขึ้นไม่ได้

“พวกเราติดอาวุธรอบตัวเตรียมจะไปลุยสำรวจสิ่งที่ไม่รู้จัก แต่ว่าขี่จักรยานกันไป… รู้สึกประหลาดชะมัด”

ซางเจี้ยนเย่าครุ่นคิดแล้วก็ตอบเธอไปประโยคหนึ่ง

“อย่างน้อยก็ไม่ได้ขับรถแทรกเตอร์นะ”

“…นั่นสิ” เจี่ยงไป๋เหมียนนึกภาพตาม สุดท้ายก็ยอมรับว่าสภาพในตอนนี้ดีกว่าเยอะ

จากนั้นทั้งคู่ก็ปั่นจักรยานออกเดินทางในสภาพอาวุธรอบตัว ตรงไปยังทิศทางของวิหาร

* * * * *

[1] สองล้อทรงตัว (电动平衡车) Electric balance scooter เป็นพาหนะชนิดหนึ่งมีสองล้ออยู่ซ้ายขวาแล้วให้เราขึ้นไปยืนควบคุมอยู่บนแท่นยืนตรงกลาง เนื่องจากไม่มีชื่อผลิตภัณฑ์อย่างเป็นทางการในภาษาไทย จึงมีการเรียกกันอย่างหลากหลาย เช่น รถยืนไฟฟ้า สองล้อทรงตัว รถไฟฟ้าทรงตัว รถไฟฟ้าทรงตัวอัตโนมัติ ฯลฯ แต่ประเทศไทยนิยมเรียกเป็น ‘เซกเวย์’ (Segway) หรือ ‘มินิเซกเวย์’ ซึ่งเป็นชื่อบริษัทผู้ผลิตมากกว่า

[2] หลักเขต (地标) ชื่อเต็มคือ ‘หลักเขตที่ดิน’ หมายถึงวัตถุเด่นชัดหรือภูมิทัศน์เด่นชัดที่เป็นเครื่องหมายชี้ทางหรือเครื่องหมายสถานที่ ต่อมาก็หมายความรวมถึงอาคารสถานที่ซึ่งมีลักษณะเด่นหรือมีความสำคัญ ภาษาอังกฤษเรียกว่า ‘landmark’

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท