แสงอาทิตย์ด้านนอกลอดผ่านผ้าม่านที่ถูกมัดเอาไว้ ส่องเข้ามาด้านในของวิหาร ทำให้เจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่าพอจะมองเห็นคนที่นอนอยู่ในโลงได้อย่างเลือนราง
เขาไว้ผมยาวมาก สวมเสื้อป่านสีขาว ผอมจนเหลือหนังหุ้มกระดูก ประหนึ่งเป็นศพที่ผ่านกระบวนการเก็บรักษามาเนิ่นนานหลายปี
ในสภาพเช่นนี้เจี่ยงไป๋เหมียนมองไม่ออกว่าหน้าตาที่แท้จริงของเขามีลักษณะเช่นไร มองไปก็เหมือนหัวกะโหลก หากไม่ใช้คอมพิวเตอร์ช่วยประมวลภาพดั้งเดิมก็คงบอกได้เพียงแค่ว่าลักษณะเดิมของเขามีความผิดปกติหรือไม่ มีลักษณะพันธุกรรมมนุษย์โบราณหรือไม่ แต่ไม่อาจประเมินได้ว่าหน้าตาหล่อเหลาหรือไม่
นี่ถ้าหากไม่ใช่เพราะมีสัญญาณไฟฟ้าอย่างอ่อนๆ เพื่อยืนยันว่าอีกฝ่ายยังมีกิจกรรมทางชีวภาพ เจี่ยงไป๋เหมียนคงจะคิดว่านี่เป็นเพียงซากมัมมี่ที่ไม่เน่าเปื่อยอันเนื่องมาจากสภาพแวดล้อมแบบพิเศษมากกว่า ไม่น่าจะเป็นสิ่งที่เรียกว่า ‘เทพ’ ที่หลับใหลได้เลย
เธอยังถึงขนาดที่รู้สึกเหมือนได้กลิ่นยากันเน่าจางๆ ลอยเข้าจมูกด้วยซ้ำ
และเมื่อรวมเข้ากับสภาพบรรยากาศในตอนนี้ก็ยิ่งเพิ่มความน่าหวาดหวั่นมากขึ้นเป็นทวีคูณ
เจี่ยงไป๋เหมียนค่อยๆ ก้มมองดู แล้วเห็นว่าข้อมือขวาของ ‘เทพ’ ที่หลับใหลนั้นมีกำไลกิ่งไม้สานสวมอยู่
หัวใจเธอเต้นรัว หันขวับไปมองซางเจี้ยนเย่าทันที
ซางเจี้ยนเย่าที่สวมหน้ากากลิงขนดกปากยื่น จ้องมองดู ‘เทพ’ ที่หลับใหลราวกับเป็นซากศพ
“นายคิดอะไรอยู่ล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็เอ่ยปากถามออกมา
ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างจริงจัง
“ปั๊มหัวใจ ผายปอด ยาชีวภาพ FECA”
“…” เจี่ยงไป๋เหมียนยืนยันได้อีกครั้งว่าตัวเองยังสมองปกติดี ไม่ได้อยู่ในโลกใบเดียวกับซางเจี้ยนเย่า
ไม่กี่วินาทีถัดมาเธอก็พูดอย่างโมโหระคนขบขัน
“บริษัทก็ระบุเรื่องที่ต้องใส่ใจเอาไว้แล้วนี่ บอกว่าถ้าไม่จำเป็นก็ห้ามแตะต้อง ‘เทพ’ ที่หลับใหลนั่นเด็ดขาด”
“บอกว่าห้ามเคลื่อนย้ายต่างหาก” ความจำของซางเจี้ยนเย่านั้นเป็นเลิศมาตลอด
เจี่ยงไป๋เหมียนร้อง “เฮอะ” ออกมาคำหนึ่ง
“เมื่อกี้ฉันก็เพิ่งพูดไปหยกๆ ไม่ใช่หรือไงว่าต้องเผื่อทางหนีทีไล่เอาไว้ด้วย และยังต้องยกระดับให้สูงกว่ามาตรฐานและเข้มงวดกว่าด้วย”
โดยไม่รอให้ซางเจี้ยนเย่าแย้ง เธอก็ร้อง ‘ถุย’ ออกมาคำหนึ่ง
“เพราะนายแท้ๆ ทำเอาเกือบลืมเรื่องสำคัญไปเสียสนิท
“นายรู้สึกบ้างไหมว่ากำไลข้อมือกิ่งไม้สานวงนี้มันดูคุ้นๆ”
ซางเจี้ยนเย่านั้นรู้มาตั้งนานแล้ว
“มงกุฎกิ่งไม้สานที่ผู้ตื่นรู้มนุษย์มัจฉาสวมอยู่”
“ดูท่าแล้ว ความแข็งแกร่งของเขาน่าจะมาจากมงกุฎกิ่งไม้สาน” เจี่ยงไป๋เหมียนถามต่อ “ตอนนั้นนายน่าจะได้จับมงกุฎนั่นด้วยนี่นา ไม่ได้สังเกตเลยเหรอว่ามีอะไรผิดปกติบ้างหรือเปล่า”
ซางเจี้ยนเย่าส่ายหน้า
“เป็นของธรรมดาทั่วไป”
“ก็นั่นสินะ ถ้าหากว่ามันมีอะไรพิเศษจริงๆ นายก็คงไม่ทิ้งมันไว้อย่างนั้นหรอก” เจี่ยงไป๋เหมียนมองดูใบหน้าที่มีหนังหุ้มกระดูกของ ‘มัมมี่’ แล้วพินิจพิเคราะห์อย่างละเอียด “จากคำอธิบายของซ่งเหอ ผู้ตื่นรู้แข็งแกร่งที่สามารถเข้าไปสำรวจใน ‘ทางเดินแห่งจิต’ ได้จะสามารถทิ้งออร่าของตนไว้ใน ‘ทางเดินแห่งจิต’ หรือในโลกจริงก็ได้ สามารถผสานรวมเข้ากับวัตถุสิ่งของ หรือแม้กระทั่งมนุษย์…
“เดิมทีออร่านั้นผสานรวมเข้ากับมงกุฎกิ่งไม้สาน ทว่าหลังจากที่ผู้ตื่นรู้มนุษย์มัจฉาเก็บมันไป ออร่านั้นก็เลยแทรกซึมเข้าร่างเขา ทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นมา จะเป็นแบบนี้หรือเปล่านะ… แต่ว่านี่ก็กลับกลายเป็นว่าได้ทิ้งภัยซ่อนเร้นเอาด้วย ทำให้เขากลายเป็นสัตว์ประหลาดไป…”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี่ เจี่ยงไป๋เหมียนก็พลันเกิดความคิดบางอย่างขึ้นมา
“ถ้าตอนนั้นเราไม่พยายามฝืนยิงออกไป ปล่อยให้ความเปลี่ยนแปลงดำเนินต่อ สุดท้ายแล้วจะเกิดอะไรขึ้นนะ ‘เทพ’ ที่หลับใหลนี่จะตื่นฟื้นขึ้นมาเพราะเรื่องนี้หรือเปล่า
“แต่ถ้ามันง่ายขนาดนั้นจริงๆ งั้นพวกสาวกของเขาก่อนหน้านี้ก็น่าจะทำสำเร็จไปตั้งนานแล้วสิ การจะเอาสิ่งของของเทพติดตัวไปด้วยก็เป็นเรื่องปกติที่ใครๆ ก็ทำกันนี่นา
“หรือว่าข้อกำหนดเบื้องต้นของการผสานรวมออร่าเข้าด้วยกัน จะต้องเป็นผู้ตื่นรู้ในเขตพลังเดียวกัน”
นี่เป็นการเดาล้วนๆ โดยไม่ได้มีหลักฐานสนับสนุนมากนัก เพราะยังมีคำอธิบายอย่างอื่นอีก
อย่างเช่นก่อนที่ผู้ซึ่งอ้างว่าตนเป็นร่างจุติของยมราชจะหลับใหลไป เขาไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น จึงไม่มีการทิ้งคำสั่งเสียอะไรไว้สักอย่าง เหล่าสาวกผู้ศรัทธาก็ไม่กล้าจับต้องร่างกายเขา และไม่แม้แต่จะหยิบฉวยทรัพย์สินของเขาไปสักชิ้น
ซางเจี้ยนเย่าแนะนำวิธีตรวจสอบเรื่องที่เจี่ยงไป๋เหมียนคาดเดาไว้
“ลองดูก็รู้เอง”
“…ไม่ต้องหรอก” เจี่ยงไป๋เหมียนสะกดข่มความอยากลองของตนเอาไว้
เธอรู้ว่าสิ่งที่ซางเจี้ยนเย่าหมายถึงก็คือ…
เขากับผู้ตื่นรู้มนุษย์มัจฉานั้นเห็นได้ชัดว่าไม่ได้อยู่ในเขตพลังเดียวกัน เจี่ยงไป๋เหมียนเองก็ไม่ใช่ผู้ตื่นรู้ ถ้าหากพวกเขาถอดกำไลกิ่งไม้สานเอามาสวมใส่ใช้งานโดยตรงแล้วไม่ถูกออร่าผสานรวม อย่างนั้นก็สามารถอธิบายเรื่องราวได้หลายประการ
แต่วิธีนี้นับว่าอันตราย… อันตรายมาก… อันตรายสุดๆ
เจี่ยงไป๋เหมียนถอนหายใจเสร็จก็ยกมือข้างที่ถือปืนขึ้นมาพลิกดูนาฬิกา
“เหลืออีกเก้านาที”
เมื่อก้าวข้ามธรณีวิหารเข้ามา เธอก็เริ่มจับเวลาแล้ว
นี่ก็เป็นการเผื่อทางหนีทีไล่ไว้เช่นกัน ไม่ได้รอให้เวลาถึง 15 นาที แต่เป็น 13 นาที
ซางเจี้ยนเย่ารีบใช้เวลาที่เหลือนี้ นำเสนอสิ่งที่คิดออกมา
“หัวหน้าคิดว่าเขาจะได้ยินที่พวกเราคุยกันไหม
“ถ้าหากผมเปิดเพลง เขาจะชอบหรือเปล่า จะมีเพลงไหนที่เขาฟังแล้วจะลุกออกจากโลงมาเต้นด้วยกัน”
สำหรับเจ้าหมอนี่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องประหลาด เรื่องน่าขนลุก เรื่องน่ากลัวขนาดไหน ก็กลายเป็นของแปลก กลายเป็นเรื่องตลกไปเสียหมด… แถมยังคิดหลอกให้คนกลัวอีกด้วย… ตอนที่เจี่ยงไป๋เหมียนเห็น ‘มัมมี่’ สวมเสื้อป่านสีขาวในโลงศพเป็นครั้งแรกเธอก็หวาดผวาอยู่บ้าง แต่ในตอนนี้เธอกลับไม่รู้ว่าควรจะแสดงสีหน้าแบบไหนออกมาดี
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เจี่ยงไป๋เหมียนก็ตอบคำ
“ลองคุยดูก็ได้ ส่วนเพลงน่ะ… เอ่อ… เอาไว้ก่อนเถอะ”
ซางเจี้ยนเย่าถอนใจด้วยความเสียดาย จากนั้นก็เดินขึ้นหน้าไปหนึ่งก้าว มองดูในโลงศพแล้วพูดขึ้น
“คุณได้ยินผมหรือเปล่า ถ้าได้ยินก็กะพริบตานะ”
เขาพูดทั้งภาษาแดนธุลีและภาษาแม่น้ำแดง
‘เทพ’ ที่หลับใหลซึ่งสวมชุดเสื้อป่านสีขาวผอมจนหนังหุ้มกระดูกไม่ได้ตอบสนองอะไร
แล้วจู่ๆ ซางเจี้ยนเย่าก็ตะโกนเสียงดัง
“หมวกคุณถูกขโมยไปแล้ว!”
เขาหมายถึงมงกุฎกิ่งไม้สาน
‘เทพ’ ที่หลับใหลซึ่งดูเหมือนมัมมี่ยังคงดูราวกับตายไปหลายปีอยู่เช่นเดิม
“ดูท่าแล้วคงไม่ได้ผล” เจี่ยงไป๋เหมียนตัดสินผลลัพธ์ออกมา
ซางเจี้ยนเย่ายังคงไม่ยอมแพ้ ตะโกนขึ้นมาอีกครั้ง
“เมียคุณหนีตามคนอื่นไปแล้ว!”
หือ… รายการที่ออกอากาศทุกวันนี้ กล้าเอาเรื่องแบบนี้มาออกอากาศด้วยเหรอเนี่ย… เจี่ยงไป๋เหมียนพยายามกลั้นหัวเราะเต็มที่
‘เทพ’ ที่หลับใหลยังคงนอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่ในโลง
ซางเจี้ยนเย่าเปลี่ยนไปใช้ภาษาแม่น้ำแดงแล้วลองดูอีกครั้ง เจี่ยงไป๋เหมียนก็ถอนหายใจ
“นี่ถ้าไม่ใช่เพราะนายรับรู้ได้ว่าเขามีจิตสำนึกของมนุษย์ และฉันเองก็ตรวจจับสัญญาณไฟฟ้าอย่างอ่อนๆ ได้ละก็ ฉันคงไม่เชื่อจริงๆ ว่าเขายังมีชีวิตอยู่
“เขานอนหลับแบบนี้มาอย่างน้อยก็น่าจะสามสิบสี่สิบปีแล้ว แต่ร่างกายก็ยังคงทำงานอยู่ในระดับหนึ่ง หรือว่าจะมีคนคอยฉีดกลูโคสฉีดสารอาหารให้เขาเป็นระยะ”
ต่อให้มนุษย์สามารถฟื้นคืนความสามารถในการจำศีลที่ซ่อนอยู่ในยีนกลับมาได้ ก็ไม่มีทางทำเรื่องแบบนี้ได้อยู่ดี
ซางเจี้ยนเย่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกมา
“เทคโนโลยีไครโอนิกส์ร่างมนุษย์[1]”
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่คุ้นกับคำศัพท์นี้เท่าไหร่ เธอครุ่นคิดไตร่ตรองอยู่ครู่ใหญ่
“ความหมายของนายก็คือ เขาใช้พลังพิเศษบางอย่างหรือไม่ก็ของบางชนิดเพื่อทำให้ร่างกายตัวเองเข้าสู่สภาวะที่คล้ายๆ กับการแช่แข็งนะเหรอ”
เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่การแช่แข็งในสภาพเย็นจัดอย่างแน่นอน เจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่าเพียงแค่รู้สึกเย็นขึ้นนิดหน่อยเท่านั้นในตอนที่ยืนอยู่หน้าโลง
“ก็ต้องปลุกเขาขึ้นมาก่อนถึงจะฟันธงลงไปได้” ซางเจี้ยนเย่ายกมือขึ้นมาลูบคาง
พูดขาดคำเขาก็หันไปมองเจี่ยงไป๋เหมียน
“คุณดูสิ…”
“พอเลย! มาคุณดูฉันดูอะไรของนายยะ!” เจี่ยงไป๋เหมียนตวาดแว๊ด ระแวงขึ้นมาทันที “นายคิดจะทำอะไรของนายละนั่น”
ซางเจี้ยนเย่าตอบออกมาอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ผมอยากจะลองใช้พลังพิเศษผู้ตื่นรู้กับเขาดูน่ะ
“คุณดูสิ… เอ่อ… คุณลองคิดสิ พลังพิเศษผู้ตื่นรู้ของผมสามารถใช้ได้กับสิ่งมีชีวิตที่มีจิตสำนึกของมนุษย์ และเขาเองก็มีจิตสำนึกของมนุษย์เหมือนกัน”
ถึงแม้จะไม่ได้ใช้ความช่วยเหลือจาก ‘ตัวตลกชักจูง’ แต่เจี่ยงไป๋เหมียนก็เข้าใจความคิดของซางเจี้ยนเย่าแล้ว
นอกจากนั้นเธอเองก็ยังคิดขึ้นมาจริงๆ ว่าเป็นเรื่องคุ้มค่าที่จะทดลอง และมีความเป็นไปได้ที่จะประสบความสำเร็จอีกด้วย
“บริษัทบอกเพียงแค่ว่าถ้าไม่จำเป็นก็อย่าไปขยับเขยื้อนร่างของ ‘เทพ’ ที่หลับใหล เงื่อนไขที่ฉันเพิ่มเข้าไปก็คือทางที่ดีก็อย่าไปแตะต้อง…” เจี่ยงไป๋เหมียนครุ่นคิดชั่วขณะ “ส่วนผลกระทบทางจิตวิญญาณและการติดต่อสื่อสารไม่ได้อยู่ในเรื่องที่ต้องใส่ใจ”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ซางเจี้ยนเย่าก็เริ่มตื่นเต้น ถึงกับจะถอดหน้ากากออกแล้วลงมือทำอย่างสุดกำลัง
เจี่ยงไป๋เหมียนรีบพูดเสริมทันที
“‘ตัวตลกชักจูง’ ไม่น่าจะได้ผล เขาคงไม่ได้ยินนายหรอก
“ว่ากันตามทฤษฎีแล้ว ‘คนไร้เหตุผล’ กับ ‘พันธนาการมือ’ ก็น่าจะใช้ได้ทั้งคู่ แต่ฉันแนะนำให้ใช้ ‘พันธนาการมือ’ เพราะพลังอย่างแรกจะทำให้ไร้เหตุผลโดยตรง อาจจะทำให้เกิดเรื่องโดยไม่จำเป็น ส่วนพลังอย่างหลังจะทำการเชื่อมต่อก่อนจากนั้นถึงค่อยส่งผลต่อมือเขา
“อืม ในเมื่อมือเขาขยับไม่ได้ แบบนี้ในระหว่างกระบวนการทั้งหมดก็จะไม่มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน สามารถลดความเสี่ยงจนเหลือน้อยที่สุด”
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่อยากเห็น ‘มัมมี่’ จู่ๆ ก็ลุกพรวดขึ้นมานั่ง
“ได้” ซางเจี้ยนเย่าไม่มีข้อโต้แย้ง
เจี่ยงไป๋เหมียนถอดถุงมือยางที่มือซ้ายออกแล้วกระดิกนิ้ว
“ฉันจะไม่แตะต้องข้าวของในนี้ แต่ยังแตะต้องนายได้
“ฉันจะจับตาสังเกตอาการของนายอย่างใกล้ชิด ถ้าหากมีอะไรผิดปกติก็จะปลุกนายขึ้นมา”
ขณะที่พูด ที่มือซ้ายของเธอก็มีกระแสไฟฟ้าวาบเป็นประกาย
ซางเจี้ยนเย่าเหลือบมองเธอแล้วมุ่งความสนใจไปยัง ‘เทพ’ ที่หลับใหลอยู่ในโลงศพอีกครั้ง
จิตสำนึกของเขาแผ่ขยายออกไปอย่างรวดเร็วและเชื่อมต่อกับจิตสำนึกของอีกฝ่าย
ทันใดนั้นดวงตาของซางเจี้ยนเย่าก็กลายเป็นสีดำสนิท
เขาเหมือนกับว่าได้เข้าไปสู่ ‘ทะเลต้นกำเนิด’ มองเห็นเพียงแค่แสงสลัวเท่านั้น
โดยอาศัยแสงสลัวนี้ เขาก็มองเห็นหน้าต่างบานหนึ่ง นอกหน้าต่างไกลออกไปสุดสายตาเป็นหอคอยที่พุ่งขึ้นไปสูงเสียดชั้นเมฆ
ด้านล่างหน้าต่างมีร่างหนึ่งกำลังนอนคว่ำอยู่ในความมืดมิด ไม่มีการเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย
แล้วทันใดนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมามองซางเจี้ยนเย่า
ในดวงตาเขามีแสงแปลกประหลาด เสียงอ่อนระโหยดังออกมาจากปาก
“ช่วยข้าด้วย!”
* * * * *
[1] เทคโนโลยีไครโอนิกส์ร่างมนุษย์ (人体冷冻技术) Human cryonics technology เป็นการเก็บรักษาศพมนุษย์หรือสมองไว้ที่อุณหภูมิ -196 องศาเซลเซียส โดยหวังว่าในอนาคตจะมีเทคโนโลยีที่ทำให้ฟื้นคืนชีพได้อีกครั้ง