รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 232 เรื่องราวพลิกผัน

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 232 เรื่องราวพลิกผัน

ซางเจี้ยนเย่าไม่เห็นด้วยกับคำอธิบายของโจเซฟมากนัก

“ปกติเขาไม่ได้เสียสติหรือไง”

“นอกจากเรื่องนิสัยโหดร้ายกับขี้โมโหแล้ว ด้านอื่นๆ ของมิสเตอร์ดิมาร์โก้ก็ปกติมากเลยนะ” โจเซฟแย้ง

เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ให้ซางเจี้ยนเย่าเถียงต่อ เธอถามแทรกขึ้น

“งั้นในตอนนั้นพฤติกรรมของมิสเตอร์ดิมาร์โก้ต่างจากปกติยังไง”

“ผมก็เพิ่งพูดไปไม่ใช่หรือไง” สีหน้าโจเซฟกลายเป็นหม่นหมองอีกครั้งราวกับกำลังนึกถึงเรื่องเลวร้าย “เขาโหดเหี้ยมมากกว่าเดิม ไม่ได้เมตตาอารีกับพวกยามอีก ทุกๆ วันที่มาทำหน้าที่พวกเราก็ได้แต่ตัวสั่นงันงก กลัวว่าถ้าเกิดเผลอผายลมออกมาแล้วมิสเตอร์ดิมาร์โก้ได้ยินเข้าก็จะถูกเขาสั่งให้ตาย”

พอล ยามอีกคนหนึ่งแสดงความเห็นใจออกมา

“ก่อนหน้านี้ก็มียามคนหนึ่งที่มิสเตอร์ดิมาร์โก้ไว้ใจมาก เขาถูกเฆี่ยนจนตายเพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แค่นั้นเอง”

โจเซฟเล่าต่อ

“นอกจากเรื่องนี้แล้ว มิสเตอร์ดิมาร์โก้ก็อยากจะมีลูกจนแทบคลั่ง ในเมื่อคนรักเหล่านั้นมีลูกให้ไม่ได้เขาก็เลยหมายตาเหล่าภรรยาของบรรดาคนรับใช้ที่เคยผ่านการมีลูกมาแล้ว… พวกเรา… พวกเราโกรธมากแต่ก็ไม่กล้าปริปากออกมา

“ยังดีที่สภาพแบบนี้ของมิสเตอร์ดิมาร์โก้ไม่ได้เป็นอยู่หลายปีนัก ไม่งั้นพวกเราก็คงจะคิดเรื่อง…”

เมื่อพูดถึงตรงนี้เขาก็หยุดไม่พูดต่อ เริ่มระวังปากคำตัวเอง

เห็นได้ชัดว่าถึงแม้เขาจะคิดว่าซางเจี้ยนเย่าเป็นมิตรมากพอ แต่ก็ไม่กล้าเปิดเผยด้านมืดในใจออกมา

หากดิมาร์โก้เกิดรู้เรื่องนี้เข้า เขาก็จะเป็นคนถัดไปที่ถูกแทรกคิวเอามาฝังไว้ที่หุบเขาแห่งนี้

“ที่ดิมาร์โก้กลับมาเป็นปกติเป็นเพราะในที่สุดเขาก็มีลูกนะเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนถามพร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อย

ยิ่งฟังเรื่องนี้มากขึ้นเท่าไรเธอก็ยิ่งเกิดความรู้สึกว่าความยึดติดของดิมาร์โก้ที่มีต่อเด็กนั้นค่อนข้างผิดปกติ แสดงถึงอาการป่วยอย่างชัดเจน

พึงรู้ว่านอกจากเด็กที่เสียชีวิตไปแล้ว ดิมาร์โก้ก็ยังมีลูกในไส้เหลืออยู่อีกถึงสองคน

“ไม่ใช่” โจเซฟปฏิเสธการคาดเดาของเจี่ยงไป๋เหมียน “อาจเป็นเพราะหลังจากที่มิสเตอร์ดิมาร์โก้ได้ระบายออกมาครั้งแล้วครั้งเล่าก็เลยทำให้เขาค่อยๆ กลับมามีสติสัมปชัญญะเป็นปกติเหมือนเดิม เมื่อห้าเดือนก่อน ในที่สุดภรรยาน้อยของเขาก็ตั้งท้อง”

“ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นลูกเขา” ซางเจี้ยนเย่าเสนอความเป็นไปได้

“ระ… เรื่องนี้… พวกเราก็ไม่รู้” โจเซฟไม่ได้ช่วยแก้ต่างให้ดิมาร์โก้

เจี่ยงไป๋เหมียนมองออกว่าพวกยามของ ‘นาวาบาดาล’ เองก็คงคิดในทำนองนี้เช่นกัน บางทีอาจจะมีเดิมพันกันด้วยก็ได้ว่าใครกันแน่ที่เป็นพ่อที่แท้จริงของเด็ก

เธอคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามขึ้น

“ลูกของมิสเตอร์ดิมาร์โก้อีกสองคนที่เหลือเป็นหญิง ส่วนคนที่ตายไปเป็นเด็กผู้ชายงั้นเหรอ”

นี่เป็นคำอธิบายที่ดีที่สุดเท่าที่เธอจะนึกออกแล้วเกี่ยวกับสาเหตุที่ดิมาร์โก้คลั่งจนแทบเสียสติเพราะการตายของ

ลูกคนสุดท้อง

“เด็กที่ตายไปเป็นเด็กผู้ชายจริงๆ นั่นแหละ” โจเซฟเกาจมูกโตของตัวเอง “แต่อีกสองคนที่เหลือนั่นเป็นหนึ่งหญิงหนึ่งชาย”

เจี่ยงไป๋เหมียนพลันสมองตันขึ้นมาทันที

ซางเจี้ยนเย่าถามอย่างกระตือรือร้น

“พวกเราตามพวกคุณเข้าไปใน ‘นาวาบาดาล’ ได้ไหม”

“ไม่ได้!” โจเซฟกับพอลสั่นศีรษะพร้อมกัน สีหน้าแสดงความตื่นตระหนกอยู่บ้าง

“ทำไมล่ะ” ซางเจี้ยนเย่าแสดงสีหน้าว่าไม่เข้าใจ

โจเซฟอธิบายให้ฟังอย่างรวดเร็ว

“ทางเข้าทุกจุดจะมีการตรวจสอบสามครั้ง มียามเฝ้าอยู่หลายคน ตอนที่พวกเราออกมามีกันแค่สองคน แต่ถ้าขากลับมีตั้งหกคนแบบนี้ แค่มองแว่บเดียวก็รู้แล้วว่ามีปัญหาแน่!”

เขาเข้าใจว่าพวกจางชวี่ปิ้งนั้นต้องการใช้ตัวเองกับพอลเพื่อลักลอบเข้าไปใน ‘นาวาบาดาล’

“ผมคุยกับพวกเขาได้” ซางเจี้ยนเย่าเสนอวิธีแก้ปัญหาออกมาอย่างจริงใจ

โจเซฟยังคงส่ายหน้า

“ไม่มีประโยชน์หรอก พวกเราทุกคนกลัวมิสเตอร์ดิมาร์โก้กันทั้งนั้น ถ้าไม่มีคำอนุญาตของเขา พวกเราก็ไม่กล้าให้คนนอกเข้าไปหรอก”

“ยิ่งกว่านั้น ที่จุดตรวจทุกจุดก็มีกล้องวงจรปิดติดตั้งไว้ด้วย จะมียามชุดพิเศษที่รับผิดชอบห้องกล้องโดยเฉพาะ ถ้าเกิดปัญหาขึ้น ทั้งลิฟต์และพวกอุปกรณ์ต่างๆ จะถูกตัดไฟทันที ทำ ‘นาวาบาดาล’ ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง”

พอลที่เป็นยามอีกคนหนึ่งพูดเสริม

“งานอดิเรกอย่างหนึ่งของมิสเตอร์ดิมาร์โก้ก็คือเฝ้าดูกล้องวงจรปิด

“ดังนั้นเรื่องนี้จึงไม่มีใครกล้าทำลวกๆ กันหรอก”

น่าเสียดายที่ ‘ตัวตลกชักจูง’ ของซางเจี้ยนเย่าไม่สามารถแสดงประสิทธิผลได้ถึงระดับที่ต้องการเมื่อต้องใช้ผ่านกระบวนการแปลงที่ซับซ้อน กล้องวงจรปิดเองก็ไม่มีเสียงด้วยเหมือนกัน… เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกเสียดาย จากนั้นก็พูดด้วยรอยยิ้ม

“พวกคุณเข้าใจเราผิดแล้วล่ะ

“เราไม่ได้มีแผนจะใช้พวกคุณเพื่อแอบลอบเข้าไปใน ‘นาวาบาดาล’ หรอก แค่อยากจะฝากพวกคุณไปบอกมิสเตอร์ดิมาร์โก้หน่อยเท่านั้นเองว่าเราอยากจะไปหาเขาเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับโลกเก่าน่ะ

“นั่นคือวัตถุประสงค์หลักของเรา นอกจากนั้นก็เป็นพวกคำถามเล็กๆ น้อยๆ อีกไม่กี่ข้อ”

โจเซฟกับพอลถอนหายใจโล่งอกพร้อมๆ กัน ร่างกายไม่ได้เขม็งเกร็งอีก

คนแรกถามขึ้นมาอย่างยินดี

“พวกคุณแนะนำตัวเองหน่อยสิ เพราะมิสเตอร์ดิมาร์โก้คงต้องถามเรื่องนี้ด้วย”

“ทีมนักล่าซากอารยะ หัวหน้าทีมคือมาดามเฉียนไป๋” เจี่ยงไป๋เหมียนใช้ภาษาแม่น้ำแดงแนะนำตัวและชี้ไปที่ไป๋เฉิน

โจเซฟกับพอลกวาดสายตาไปมองด้วยความงุนงงสงสัยว่าทำไมหัวหน้าทีมของอีกฝ่ายนั้นทั้งสงบปากสงบคำที่สุด

และมีความสูงที่น้อยที่สุดในทีม

เจี่ยงไป๋เหมียนรู้ดีว่าการแนะนำตัวเพียงเท่านี้ย่อมไม่เพียงพอ จึงโพล่งออกมาอีกประโยค

“เป็นทีมนักล่าซากอารยะที่ก่อนหน้านี้จัดการกับผู้นำสารของมนุษย์มัจฉาเพื่อช่วยชุมชนศิลาแดงเอาไว้น่ะ”

“หือ” โจเซฟกับพอลยิ่งงุนงงมากขึ้นอีก

เห็นได้ชัดว่าพวกเขาอยู่ใน ‘นาวาบาดาล’ จึงถูกจำกัดเรื่องข่าวสาร แทบไม่ทราบเรื่องราวของโลกภายนอกมากนัก

แน่นอนว่านี่เป็นเพียงแค่เฉพาะชนชั้นระดับล่างเท่านั้น ซึ่งคนระดับบนไม่ว่าจะเป็นดิมาร์โก้ พ่อบ้านของเขา และหัวหน้ายาม น่าจะรู้จัก ‘ทีมเฉียนไป๋’ ที่กำลังโด่งดังอยู่ในชุมชนศิลาแดงในช่วงนี้

“แนะนำมิสเตอร์ดิมาร์โก้ไปแบบนี้นี่แหละ” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดเสริม

“ได้” โจเซฟกับพอลตอบตกลง

หลังจากนั้นพวกเขาก็หันไปมองกระสอบที่ใส่ศพของพ่อบ้านคาร์ลทันที เหมือนว่ากำลังลังเลว่าจะรีบกลับไป ‘นาวาบาดาล’ เพื่อรายงานดี หรือว่าควรจะฝังศพก่อนดี

เมื่อเห็นดังนั้น เจี่ยงไป๋เหมียนจึงพูดด้วยรอยยิ้ม

“วางใจเถอะ ในเมื่อทุกคนต่างก็เป็นเพื่อนกันทั้งนั้น เดี๋ยวพวกเราจัดการให้เอง”

เพื่อน… หัวหน้า… คุณไปหัดลูกไม้ของซางเจี้ยนเย่ามาตั้งแต่เมื่อไหร่… หลงเยว่หงแอบค่อนแคะอยู่ในใจสองประโยค

เมื่อโจเซฟกับพอลเห็นอีกฝ่ายรับปากแล้วก็เบาใจ พากันกลับหลังหันเข้าไปในถ้ำทันที

หลังจากมองดูพวกเขาหายลับไปจากสายตาแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็ออกคำสั่งต่อซางเจี้ยนเย่าและหลงเยว่หง

“เอาศพของพ่อบ้านคาร์ลไปไว้ท้ายรถจี๊ป”

“หือ” หลงเยว่หงที่กำลังจะหยิบพลั่วก็พลันชะงักไป

เจี่ยงไป๋เหมียนอธิบายอย่างไม่ใส่ใจ

“เอาไปให้แวร์ตูร์ชันสูตรอย่างละเอียดก่อน ดูว่ามีอะไรแปลกเกี่ยวกับสาเหตุการตายหรือเปล่า”

อย่างนี้นี่เอง… เมื่อครู่นี้หลงเยว่หงหลงเชื่อเสียสนิทใจว่าหัวหน้าทีมตั้งใจจะเล่นบทคนดีไปจนจบ

ตอนนี้ซางเจี้ยนเย่ามองไปที่ถ้ำแห่งนั้นแล้วถอนหายใจ

“น่าเสียดาย…”

“นายกำลังคิดว่าถ้าเป็นแบบนี้ก็จะไม่สามารถใช้ความฉลาดกับพลังผู้ตื่นรู้เพื่อแอบเข้าไปใน ‘นาวาบาดาล’ โดยไม่ให้ใครรู้หรือไง” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดล้อเขาด้วยรอยยิ้ม

ซางเจี้ยนเย่าหันไปชำเลืองเธอ

“ผมเสียดายที่เอาบาซูก้าไปยิงถล่มเพื่อเปิดประตู ‘นาวาบาดาล’ โดยตรงเลยไม่ได้น่ะ”

“นายเป็นคนบ้าระห่ำแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย” เจี่ยงไป๋เหมียนแปลกใจ

ซางเจี้ยนเย่าตอบตามความสัตย์

“ตั้งแต่ไม่กี่นาทีก่อนนี่เอง ตอนนี้ผมคือนายบ้าระห่ำ”

“…” เจี่ยงไป๋เหมียนมองซางเจี้ยนเย่าขึ้นๆ ลงๆ สองสามครั้งแล้วยอมแพ้ที่จะพูดเรื่องนี้ต่อ

หลังจากซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงช่วยกันนำศพพ่อบ้านคาร์ลขึ้นรถจี๊ปเสร็จ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ก็รออยู่พักใหญ่กว่าจะเห็นโจเซฟและพอลจะกลับออกมา

พวกเขายังคงสวมเครื่องแบบสีเขียวมะกอกที่ตัดอย่างเรียบง่ายและถือปืนกลมือเอาไว้

เมื่อมองเห็นซางเจี้ยนเย่ามองตนเองด้วยความคาดหวัง โจเซฟก็พูดอย่างรู้สึกผิด

“มิสเตอร์ดิมาร์โก้ให้มาบอกพวกคุณว่าเขาไม่มีอะไรจะคุยด้วย

“เขาจะติดต่อเฉพาะมุขนายกนิกายตื่นตัวเท่านั้น”

“ไม่เป็นไร” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้ดึงดันเพราะถึงอย่างไรคนที่อยู่ต่อหน้าเธอในตอนนี้นั้นไม่ใช่เจ้าของสถานที่

พวกเขาเดินกลับไปยังจุดที่รถจี๊ปจอดอยู่ ซางเจี้ยนเย่าโบกมือลาโจเซฟกับพอล

หลังจากรถจี๊ปขับออกมาจากเชิงเขาภูเหล็กแล้ว หลงเยว่หงก็อดถามขึ้นไม่ได้

“งั้นจะทำไงกันต่อดีล่ะ คิดหาวิธีแอบเข้าไปใน ‘นาวาบาดาล’ เหรอ”

เจี่ยงไป๋เหมียนมองสังเกตสภาพด้านนอกไปพลาง พูดพึมพำกับตัวเองไปพลาง

“ฉันกำลังคิดถึงปัญหาข้อหนึ่ง

“คุ้มไหมกับการที่จะเสี่ยงเพื่อลงไปพูดคุยกับดิมาร์โก้ใน ‘นาวาบาดาล’

“บรรพบุรุษเขาอาจจะไม่รู้อะไรเลยก็ได้ เป็นแค่เพียงโรคกลัววันโลกแตกจนขึ้นสมองเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นประเด็นเรื่องทรยศชุมชนศิลาแดงก็ดี หรือเรื่องภารกิจที่เลห์แมนมอบหมายก็ดี สำหรับพวกเราแล้วเรื่องพวกนี้ก็ไม่ได้สลักสำคัญอะไรแม้แต่นิดเดียว สืบสวนตรวจสอบให้รู้ชัดก็ดีแหละ แต่ถึงไม่รู้ก็ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย ถึงยังไงพวกเราก็ไม่ได้สัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะ ค่าตอบแทนก็ไม่ได้รับมา”

ไป๋เฉินเห็นด้วย

“เหตุผลหลักที่พวกเราไม่สามารถตรวจสอบเพิ่มเติมได้ก็เพราะนิกายตื่นตัวไม่ให้ความร่วมมือ ไม่ยอมให้พวกเราติดต่อกับดิมาร์โก้โดยตรง นี่เป็นปัญหาของพวกเขา ไม่เกี่ยวกับเราเลย”

“ใช่!” เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันที

“แต่ถึงแม้เราจะไม่เสี่ยงแอบบุกรุกเข้าไป ก็ยังพูดคุยปรึกษาเรื่องแผนได้เหมือนกัน เผื่อว่าในอนาคตอาจไปเจอกับเรื่องอะไรลักษณะแบบนี้เข้า เริ่มคิดไว้ตั้งแต่ตอนนี้ก็ไม่เสียหลาย”

หลงเยว่หงมองซางเจี้ยนเย่าที่นั่งอยู่ด้านข้าง ไม่พูดถึงแผนที่คิดเอาไว้ก่อนหน้านี้ว่าให้ ‘สร้างเพื่อน’ กับพ่อบ้าน จากนั้นก็ซ่อนตัวอยู่ในลังวัตถุปัจจัยที่จะขนเข้าไป

นี่ไม่ใช่เพราะว่าพ่อบ้านคาร์ดตายไปแล้ว แต่เป็นเพราะตอนนี้เขารู้แล้วว่าดิมาร์โก้เป็นคนโหดร้ายขนาดไหน

หากว่าใช้วิธีนี้ล่ะก็ พ่อบ้านที่เกี่ยวข้องคงไม่มีทางรอดแน่

“ช่องระบายอากาศล่ะ” หลงเยว่หงพิจารณาดูแล้วพูดขึ้น “ถึงแม้วีลจะบอกว่าปากทางช่องระบายอากาศทุกช่องจะมียามเฝ้าอยู่ แต่ผมคิดว่าจำนวนคนไม่น่าจะมีมากเท่ากับช่องทางเข้าออกปกติ พวกเราควบคุมตัวยามเอาไว้ก่อนแล้วทำให้หมดสติ เท่ากับว่าเป็นการแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ทำให้เกิดอะไรผิดสังเกต”

มี ‘พันธนาการมือ’ และ ‘คนไร้เหตุผล’ ของซางเจี้ยนเย่าอยู่ เรื่องนี้จึงนับว่าง่ายดายไร้ปัญหา

เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะเบาๆ

“วิธีนี้ก็เป็นไปได้ แต่ต้องตรวจสอบก่อนว่าปากทางช่องระบายอากาศมีกล้องวงจรปิดติดตั้งอยู่หรือเปล่า แล้วถ้ามี จะแก้ยังไง”

ระหว่างการถกประเด็นในกลุ่ม ซางเจี้ยนเย่ากลับยังคงนิ่งเงียบ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

เจี่ยงไป๋เหมียนสังเกตเห็นความผิดปกติของเขา หลังจากลังเลอยู่ชั่วขณะ สุดท้ายก็ตัดสินใจเอ่ยปากถาม

“เฮ้ นายมีแผนอะไรที่ต่างไปจากนี้บ้างไหม”

ซางเจี้ยนเย่าโน้มตัวไปข้างหน้าทันทีแล้วพูดอย่างจริงจัง

“งั้นผมมีคำถามที่ต้องถามให้แน่ใจก่อน

“จุดประสงค์ของเราก็คือต้องการหาวิธีติดต่อกับดิมาร์โก้ แล้วคุยกับเขา ถูกไหม”

หลังจากได้รับคำตอบยืนยันแล้ว เขาก็พูดต่อ

“ดิมาร์โก้บอกว่าเขาจะติดต่อเฉพาะมุขนายกของนิกายตื่นตัวเท่านั้น

“ถ้าเป็นอย่างนั้น วิธีแก้ปัญหาเรื่องนี้ก็ง่ายมาก

“ขอเพียงแค่พวกเราได้เป็นมุขนายกนิกายตื่นตัว ปัญหานี้ก็แก้ไขเรียบร้อย”

เจี่ยงไป๋เหมียนค่อยๆ ผ่อนหายใจออกแล้วพูด

“แค่คิดมันก็ง่ายอยู่แล้ว

“ปัญหาก็คือการได้เป็นมุขนายกนิกายตื่นตัวมันง่ายซะที่ไหนละยะ”

เรื่อง ‘การเฝ้ามองที่ประตู’ นั้นยังเป็นความทรงจำที่เป็นแผลสดสำหรับเธออยู่เลย

ก่อนฟ้ามืด ‘ทีมสำรวจเก่า’ ก็ไปถึงชุมชนศิลาแดงแล้วกลับไปยังย่านที่พัก ช่วงกลางวันนั้นไม่มีเรื่องอะไรให้พวกเขาวิตกกังวล

ทว่าเช้าตรู่วันรุ่งขึ้นก็มีคนมาหาพวกเขา

คนผู้นี้คล้ายกับพ่อบ้านคาร์ล สวมชุดพ่อบ้านสีดำที่ตัดเย็บอย่างประณีต อยู่ในวัยสี่สิบปี หวีผมเรียบร้อย แต่รากผมที่หน้าผากเริ่มถดถอยไปพอควร

ดูจากรูปลักษณ์แล้ว ทำให้คนรู้สึกถึงความจริงจัง

เขากวาดตาสีฟ้ามองดูทุกคนรอบๆ แล้วพูดอย่างแสดงความเคารพ

“ท่านสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ ผมชื่ออูลล์ริช เป็นพ่อบ้านของมิสเตอร์ดิมาร์โก้

“เขาอยากเชิญพวกคุณไปพบกันที่ห้องรับรองพิเศษใน ‘นาวาบาดาล’”

หือ… ที่ประหลาดใจไม่ได้มีเพียงแค่หลงเยว่หงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเจี่ยงไป๋เหมียนและคนอื่นๆ ด้วย

เพียงแค่คืนเดียว ดิมาร์โก้ก็เปลี่ยนใจแล้วเหรอ

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท