รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 239 “เทพจุติ”

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 239 “เทพจุติ”

รถออฟโรดกับรถกระบะอีกสองคันที่เหลืออยู่ท้ายขบวนรีบเบรคจนฝุ่นดินฟุ้งกระจาย ทำให้หยุดรถได้เฉียดฉิวทันเวลาพอดี

ตอนนี้โจรสองสามคนที่รอดชีวิตมาจากรถคันที่สองรีบผลักประตูรถเปิดออกแล้วพุ่งม้วนตัวกลิ้งไปกับพื้นหาที่กำบัง

ถึงแม้ว่าการก้มมุดหลบอยู่ในรถต่อไปน่าจะทำให้รอดพ้นจากการยิงของมือปืนอีกฝ่ายได้ก็ตาม ทว่าเมื่อครู่พวกเขาเพิ่งจะเห็นรถคันหน้าถูกระเบิดถล่มกระจุยคาตา ทำให้รู้ตัวว่าในสถานการณ์เช่นนี้ ตัวรถไม่อาจใช้เป็นเครื่องป้องกันได้อีกต่อไป แต่เป็นโลงศพที่รอบรรจุต่างหาก

ที่บริเวณต้นน้ำซึ่งกลุ่มโจรกำลังรวมตัวกันอยู่นั้น นอกจากเชลยที่ถูกจับตัวไว้ โจรทุกคนต่างก็ลุกพรวดขึ้นมารีบหาที่กำบัง จากนั้นก็เล็งไปยังตำแหน่งหัวมุมหุบเขาที่ถูกบังอยู่

พวกเขาแต่ละคนล้วนเป็นโจรมากประสบการณ์ ถึงแม้พบกับเรื่องไม่คาดฝันแต่ก็ยังแสดงถึงความมีระเบียบแบบแผน

และในตอนนี้ ที่มุมอับสายตาของหุบเขาก็มีเสียงเพลงดังขึ้น

ตามด้วยดนตรีที่มีจังหวะกลองเร่งเร้าเข้มข้นจนทำให้ฮึกเหิมเลือดลมระอุ

ท่ามกลางเสียงกลองก็มีเงาร่างสายหนึ่งปรากฏต่อสายตากลุ่มโจร

เขาสูง 175 เซนติเมตร ลำคอ หน้าอก หน้าท้อง ล้วนถูกปกป้องไว้ด้วยเกราะโลหะสีดำ แขนขามีโครงโลหะหุ้มเอาไว้ มองเห็นกล่องพลังงานขนาดใหญ่ด้านหลังอย่างเลือนลาง แว่นป้องกันที่ส่วนศีรษะเรืองแสงสีแดง

ชุดเกราะกระดูกเสริมแรงทางทหาร!

ในห้วงความคิดของทั้งหัวหน้าโจรและพวกโจรสิบกว่าคนที่มีความรู้มากสุดในกลุ่ม เกิดคำนี้ผุดวาบขึ้นพร้อมกัน

นี่ทำให้ความหวาดกลัวในใจพวกเขาปะทุออกมาอย่างไม่อาจควบคุม

วินาทีถัดมา เสียงห้าวของผู้ชายก็ดังจากหุบเขาที่มีควันลอยอยู่เต็ม

“ฝุ่นจากม้าศึกตลบฟุ้งทางเหนือของเจียงซาน…[1]”

หลงเยว่หงกระโดดลอยตัวขึ้นกลางอากาศทันทีท่ามกลางเสียงดนตรีประกอบ

นี่ทำให้ลูกกระสุนทั้งหมดซึ่งพุ่งตรงไปยังตำแหน่งเดิมของเขาล้วนแต่พลาดเป้าหมายไปทั้งสิ้น

ในขณะที่เสียงเพลงดังกึกก้อง หลงเยว่หงที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศก็ยกแขนขึ้นข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างหนึ่งลดต่ำลง

ข้างที่ยกขึ้นมานั้นคือมือซ้ายที่ถือปืนกลเบา ส่วนที่ลดต่ำลงก็คือมือขวาที่ติดตั้งปืนยิงลูกระเบิด

เสียงปืนยิงปังๆๆ ดังระรัวเป็นชุด ตัวถังรถถูกกระสุนเจาะเป็นรูพรุน กระจกรถแตกกระจาย กดดันจนทำให้กำลังหลักของพวกโจรที่อยู่ห่างออกไปไม่กล้าชะโงกหน้าโผล่ออกมา

ในระหว่างที่กราดยิงด้วยปืนกลเบาอยู่นั้น ปืนยิงลูกระเบิดก็ถูกยิงออกมา ลูกระเบิดลอยไปตกที่ช่องว่างระหว่างรถคันที่สองและสาม

ตูม!

ลูกบอลเพลิงลูกที่เล็กกว่าเมื่อครู่ระเบิดออก กลืนกินร่างของพวกโจรไปหลายคน

ตูม!

ระเบิดอีกลูกหนึ่งพุ่งลอยออกไปหล่นใส่กระจกหน้ารถคันที่สี่ ระเบิดมันจนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เสียงกรีดร้องก่อนหน้านี้เงียบกริบลงในทันที

“ผืนธงมังกร เสียงอาชา ตวัดดาบราวเกล็ดน้ำแข็ง…”

ทันทีที่เสียงระเบิดสงบลง เสียงห้าวดุดันของผู้ชายก็กลับมาครอบครองพื้นที่บริเวณนั้นอีกครั้ง

ระหว่างที่เพลงกำลังขับร้องอยู่ หลงเยว่หงก็ทำตามแผนที่วางไว้ เขายืมกำลังจากผนังหินกระโดดไปยังต้นลำธาร

กำลังหลักของกลุ่มโจรพยายามหยุดยั้งเขา ถึงขนาดใช้ปืนยิงระเบิดใส่ แต่ด้วยความช่วยเหลือจาก ‘ระบบเตือนภัยรอบทิศ’ ทำให้เขาหลบหลีกได้อย่างง่ายดาย

นี่ทำให้หลงเยว่หงซึ่งค่อนข้างประหม่าอยู่บ้าง รู้สึกผ่อนคลายลงไปมาก

ความแข็งแกร่งของชุดเกราะเสริมแรงทางทหารนั้นแสดงออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนในการต่อสู้ลักษณะนี้

กระโดดไปมาสองสามครั้งเขาก็ร่นระยะห่างจากกลุ่มกำลังหลักของพวกโจร จากนั้นก็ใช้ปืนกลเบาในมือซ้ายกราดยิงอีกครั้ง

เมื่อได้เห็นศัตรูในชุดเกราะเสริมแรงเป็นดุจดั่งเทพผีปีศาจ ตอนนี้หัวหน้าโจรก็ถึงกับขวัญหนีดีฝ่อ

เขานั่งยองอยู่ด้านหลังรถออฟโรดของตนเองที่เสริมด้วยแผ่นเหล็กหนาหลายชั้น ตะโกนเสียงดังออกมา

“ถอย!”

แผนถอนตัวนั้นนับเป็นเรื่องปกติ โจรกลุ่มนี้ค่อนข้างมีชื่อในย่านนี้ ไม่ใช่พวกกเฬวรากทั่วไปที่มาจับกลุ่มรวมตัวกัน ลูกสมุนโจรหลายคนที่มีปืนยิงระเบิดและปืนกลมือชะโงกออกมาจากที่ซ่อนตัว คอยยิงใส่ศัตรูที่สวมชุดเกราะเสริมแรงทางทหารอย่างบ้าคลั่ง

ท่ามกลางเสียงปังๆๆ เปรี้ยงๆๆ ตูมๆๆ ที่ดังขึ้นในแต่ละครั้ง ดอกไม้โลหิตพ่นกระฉูดจากร่างโจรมากมาย บ้างก็ล้มลงกลายเป็นซากศพไม่สมบูรณ์

ส่วนทางด้านหลงเยว่หงที่มีความช่วยเหลือจาก ‘ระบบเตือนภัยรอบทิศ’ ได้ใช้การกระโดด ความรวดเร็ว และปฏิกิริยาตอบสนองเหนือมนุษย์ จึงทำให้รอดพ้นอันตรายไร้รอยขีดข่วน

แม้ว่าบางครั้งอาจจะมีกระสุนสองสามนัดที่หลบไม่ทัน แต่เขาก็ยังสามารถลงไปนั่งยอง เอี้ยวตัวยกมือขึ้นมา แล้วใช้โครงโลหะกับเกราะสีดำเพื่อป้องกันอันตรายได้

ทว่าการสละชีพของโจรเจ็ดแปดคนนั่นก็ได้สร้างโอกาสให้กับโจรคนอื่นๆ เช่นกัน พวกมันต่างรีบคว้าอาวุธวิ่งเข้าไปในรถ จากนั้นก็ขับบึ่งตรงไปยังต้นลำธารซึ่งเป็นทางออกอีกแห่งหนึ่งของหุบเขา

รถเคลื่อนตัวออกไปโดยทิ้งวัตถุปัจจัยและเชลยบางส่วนที่นำติดไปด้วยไม่ทันเอาไว้เบื้องหลัง

“เป็นไง อิจฉาไหมล่ะ ไว้กลับไปเมื่อไหร่จะหาให้เธอสักชุดก็แล้วกัน” ที่หัวมุมของผนังหินผา เจี่ยงไป๋เหมียนที่สวมชุดลายพรางสีเทาถามออกมาพร้อมกับส่งยิ้มให้ไป๋เฉินที่อยู่ในตำแหน่งซุ่มยิงข้างตัว

เธอถือปืนบาซูก้าด้วยท่าทีเกียจคร้าน

ถึงแม้ไป๋เฉินจะไม่ได้ตอบคำ แต่นั่นก็คือการตอบรับโดยปริยาย

เธอกำลังหมายหัวศัตรูทุกคนที่สามารถคุกคามหลงเยว่หงได้

การมีชุดเกราะเสริมแรงทางทหารเป็นตัวล่อเป้าอยู่แนวหน้า ทำให้แนวหลังค่อนข้างผ่อนคลายไม่น้อย

ซางเจี้ยนเย่าถือปืนไรเฟิลจู่โจมตะโกนบอกพวกโจรที่ยังเหลือรอดอยู่ให้นั่งยองประสานมือไว้ที่ท้ายทอย

เขาวางลำโพงสีดำก้นสีน้ำเงินตัวเล็กเอาไว้ที่อีกด้านหนึ่งของผนังหินเพื่อไม่ให้มันถูกลูกหลงจากการสู้รบ

สำหรับเจ้าคู่หูตัวน้อยนี้ ซางเจี้ยนเย่าค่อนข้างใส่ใจดูแลมันมาก

เจี่ยงไป๋เหมียนเบนหน้าไปเล็กน้อยเพื่อเหลือบมองไป๋เฉิน จากนั้นก็ใช้ปืนบาซูก้ายิงออกไปด้วยท่าทางเฉื่อยชา

ตูม!

รถคันที่อยู่กลางขบวนของกลุ่มโจรระเบิดเป็นลูกบอลเพลิงสีแดงฉาน

‘มัจจุราช’ เลือกมัน!

รถที่ตามหลังมารีบหักเลี้ยวหลบ ขับอ้อมวิ่งไปยังทางออกหุบเขาโดยไม่คิดจะเหลียวกลับมามองดูแม้แต่น้อย

ในตอนนี้กระสุนที่ยิงกดดันหลงเยว่หงไม่หลงเหลืออีกแล้ว เขายกแขนขวาที่ติดตั้งปืนยิงระเบิดขึ้นมา คิดอยากจะยิงใส่ขบวนรถกลุ่มโจรสักสองสามนัด

ด้วยความช่วยเหลือจาก ‘ระบบเล็งเป้าความแม่นยำสูง’ เขาซูมภาพเข้าไปจนมองเห็นใบหน้าที่ตื่นตระหนกของพวกโจร

หลงเยว่หงลังเลอยู่ชั่วขณะ แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้ยิงออกไป

ในที่สุดขบวนรถของกลุ่มโจรก็แล่นออกไปจากหุบเขาอย่างรวดเร็ว

“อย่าไล่ตามสุนัขจนตรอก!” เจี่ยงไป๋เหมียนตะโกนออกมา

เธอไม่ได้พูดถึงเรื่องที่หลงเยว่หงรามือในครั้งสุดท้าย เพราะเธอเองก็รู้สึกว่าในเมื่อศัตรูเลิกดิ้นรนต่อต้านไปแล้ว จะใจอ่อนสักนิดก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร

หานวั่งฮั่วต้องพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะ ‘เป็นมนุษย์’ ดังนั้นพวกเขาที่ฟ้าประทานความเป็นมนุษย์มาให้ตั้งแต่เกิดจึงไม่ควรเย็นชาอำมหิตและหยิ่งผยอง

แต่แน่นอนว่าความตื่นตัวระแวดระวังก็ยังจำเป็นต้องมีอยู่

* * * * *

หลังจากพวกโจรขับรถแล่นไปอย่างไม่คิดชีวิตได้ระยะหนึ่ง เมื่อเห็นว่าศัตรูที่น่าหวาดผวาพวกนั้นไม่ได้ไล่ตามมา พวกเขาก็ค่อยๆ ชะลอรถลง เริ่มผ่อนคลายขึ้นมาเล็กน้อย

“พวกมันมาจากไหนกันนะ” หัวหน้าโจรหอบหายใจพลางบ่นพึมพำกับตัวเอง

ทีมซึ่งดูเหมือนแกะน้อยที่อ่อนแอไร้เรี่ยวแรง แต่จู่ๆ ก็กลับกลายเป็นปีศาจเขาโง้งพ่นไฟได้!

นี่ถ้าหากรู้ก่อนว่าพวกนั้นมีอุปกรณ์เกราะเสริมแรงทางทหารละก็ เขาจะรีบปั้นหน้าส่งยิ้มให้อย่างไม่ลังเล และพยายามเอาอกเอาใจอีกฝ่ายอย่างแน่นอน

แต่กว่าจะรู้ก็สายไปเสียแล้ว พวกกลุ่มโจรที่กำลังพักอยู่ไม่มีเวลาแม้แต่จะหลบหนี ต้องทิ้งศพเอาไว้เกลื่อนกลาดเป็นค่าตอบแทน

ในตอนนี้โจรซึ่งนั่งอยู่ที่นั่งข้างคนขับก็พูดขึ้นอย่างขวัญหนีดีฝ่อและค้างคาใจ

“ลูกพี่ เหมือนว่าพวกนั้นจะมี… จะมีกันแค่สี่คนเท่านั้น”

ในระหว่างการต่อสู้กันอย่างดุเดือด เขาพอจะสังเกตสถานการณ์ได้อย่างคลุมเครือ

“อะไรนะ สี่คน!” หัวหน้าโจรตกตะลึงในตอนแรก จากนั้นก็ก่นด่าตัวเอง “นี่ขนาดว่ามีคนสวมชุดเกราะเสริมแรงทางทหารเพียงแค่คนเดียวที่ลงมือ ก็ทำพวกเราสาหัสสะบักสะบอมซะขนาดนี้ ถ้าหากว่าอีกสามคนเข้ามาร่วมวงด้วย พวกเราก็คงได้แต่ต้องนั่งยองยกมือประสานท้ายทอย ยอมยกธงขาวสถานเดียว!”

ทีมแบบนี้มันน่ากลัวเกินไปแล้ว!

แน่นอนว่าถ้าหากกลุ่มโจรของตนไม่สนความเป็นความตาย ก็น่าจะพอมีโอกาสลงมือเข่นฆ่าอีกฝ่ายได้สักสองสามคน แต่ทว่ากลุ่มโจรไหนเลยจะมีจิตวิญญาณมุ่งมั่นเช่นนั้นได้

หลังจากหัวหน้าโจรตกอยู่ในห้วงภวังค์ไปสองสามวินาทีเขาก็พูดเสริมขึ้นอีกประโยค

“ฉันเคยได้ยินมาว่าบนแดนธุลีมีทีมนักล่าซากอารยะกลุ่มเล็กๆ บางกลุ่ม พวกเขาแต่ละคนแข็งแกร่งกันมาก หรือไม่งั้นก็มีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัย

“ทีมพวกนั้นสามารถต่อสู้เผชิญหน้ากับทีมจากกองกำลังใหญ่ได้ในระดับหนึ่ง ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นการยังชีพหรือการหาความสำราญใจจึงไม่ใช่ปัญหาแม้แต่น้อย พวกเขารอนแรมอยู่บนแดนธุลี ออกสำรวจซากเมืองต่างๆ เพื่อค้นหาประตูสู่โลกใหม่

“ทีมเมื่อกี้อาจจะเป็นทีมจำพวกนั้นก็ได้”

หากว่าเป็นแบบนั้นจริง การที่ตนเองจะไปขัดขืนก็ย่อมไม่เกิดประโยชน์อะไรสักนิด มีแต่จะทำให้ถูกกวาดล้างยกกลุ่มเท่านั้น

สิ่งที่หัวหน้าโจรพูดออกมาในตอนนี้ไม่ใช่ ‘การยกย่องศัตรู บั่นทอนขวัญกำลังใจตนเอง’ แต่เป็นการยกสถานการณ์ที่พ่ายแพ้จนต้องหลบหนีหัวซุกหัวซุนมาแสดงให้เห็นว่าศัตรูนั้นแข็งแกร่งขนาดไหน เพื่อจะให้การฟื้นฟูจิตใจปลอบประโลมพวกพ้องทุกคนทำได้ง่ายขึ้น

นอกจากนี้ก็ยังเป็นการแสดงถึงว่านี่ไม่ได้เป็นเพราะตนเองที่เป็นผู้นำตัดสินใจผิด ออกคำสั่งพลาด และขี้ขลาดไม่กล้าต่อสู้ แต่เป็นเพราะศัตรูแข็งแกร่งเกินไปต่างหาก

เมื่อเผชิญกับศัตรูเช่นนี้ การหนีไปให้ไกลย่อมเป็นเรื่องปกติวิสัยอยู่แล้ว

* * * * *

เชลยชายหญิงที่ถูกโจรปล่อยทิ้งไว้ต่างก็มองหลงเยว่หงด้วยความงุนงงและตกตะลึง ราวกับได้เห็นเทพจุติก็ไม่ปาน

เมื่อครู่นี้พวกเขาเพิ่งจะคิดไปว่าอีกฝ่ายมีรถเพียงแค่คันเดียวกับคนไม่กี่คน ไม่มีทางช่วยเหลือพวกตนได้แน่ แต่ใครจะรู้ เพียงแค่ชั่วพริบตาเท่านั้น พวกกลุ่มโจร ‘จิ้งจอกภูเขา’ ที่มีทั้งคนทั้งอาวุธเพียบพร้อมขนาดนั้นกลับถูกอีกฝ่ายที่ใช้เพียงแค่คนเดียวถล่มเสียยับเยินจนต้องรีบเผ่นกระเจิงเพื่อหนี

เอาชีวิตรอด ทิ้งศพไว้เกลื่อนกลาดและพวกพ้องอีกจำนวนหนึ่ง

ชุดเกราะเสริมแรงทางทหารนี่นับว่าเป็นอาวุธสงครามอย่างแท้จริง!

เมื่อความคิดเช่นนี้ผุดวาบขึ้นในใจของแต่ละคน ความคิดอย่างอื่นก็ติดตามมาด้วยเช่นกัน

‘พวกเขาจะจับเราเป็นเชลยแล้วเอาไปขายหรือเปล่า’

ในหมู่พวกเขามีผู้เฒ่าอายุครึ่งร้อยผมเผ้าขาวหงอกค่อยๆ ยักแย่ยักยันยืนขึ้นมา

เขาสวมเสื้อลินินและกางเกงขายาวสีดำ มือสองข้างถูกมัดไพล่หลังเอาไว้

สายลมหนาวที่พัดผ่านหุบเขา ทำให้เขาหนาวสั่นอยู่บ้างเล็กน้อย

ด้วยร่างกายที่สั่นเทา เขาใช้ดวงตาสีฟ้ามองดูเจี่ยงไป๋เหมียนและไป๋เฉินที่กำลังจับพวกโจรที่ถูกทิ้งเอาไว้ จากนั้นก็เริ่มพูดแนะนำตัวเอง

“ผมชื่อมีนส์ เป็นผู้จัดการของสือฟางพาณิชย์จาก ‘สมาพันธ์หลินไห่’”

เขาพูดด้วยภาษาแดนธุลีอย่างคล่องปาก

“สมาพันธ์หลินไห่เหรอ…” เมื่อได้ยินคำนี้ เจี่ยงไป๋เหมียนก็หมดข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องที่ว่าทำไมภาษาแดนธุลีของมีนส์ถึงได้ลื่นไหลนัก

‘สมาพันธ์หลินไห่’ นั้นตั้งอยู่ทางใต้ของ ‘ยูไนเต็ดอินดัสทรีส์’ มีพื้นที่ครึ่งหนึ่งอยู่ในลุ่มน้ำทองคำ ส่วนอีกครึ่งอยู่ชายฝั่งตอนใต้

มันเป็นนครรัฐที่ก่อตั้งโดยชาวแดนธุลี ภาษาราชการก็คือภาษาแดนธุลี และแน่นอนว่าสำเนียงพวกเขาย่อมต่างไปจากสำเนียงของพนักงาน ‘ผานกู่ชีวภาพ’

ภายใน ‘สมาพันธ์หลินไห่’ ก็ยังมีนครรัฐของชาวแม่น้ำแดงและชาวชายฝั่งทะเลด้วยเช่นกัน นับเป็นกองกำลังใหญ่แห่งหนึ่งซึ่งมีทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นสิ่งธรรมดาสามัญ สามารถผลิตของเลียนแบบที่เป็นผลิตภัณฑ์ระดับต่ำและเก่าแก่โบราณได้ ทว่าผลิตภัณฑ์ระดับสูงนั้นจำเป็นต้องนำเข้า

ทรัพยากรที่พวกเขาขาดแคลนก็คือถ่านหินและโลหะ

คนชายฝั่งทะเลก็คือเชื้อสายแขนงหนึ่งของชาวแดนธุลี มีสีผิวที่คล้ำกว่า ภาษาที่พูดก็ฟังยากกว่าเล็กน้อย

“ใช่แล้ว” มีนส์ตอบคำถามที่เจี่ยงไป๋เหมียนถามแทนคำตอบ และด้วยความช่วยเหลือจากสหายผู้หนึ่งจึงทำให้เชือกที่พันธนาการมือทั้งสองของเขาหลุดออก

หลังจากนั้นร่างเขาก็กระตุกราวกับถูกน้ำร้อนลวก เหมือนว่ากำลังเต้นด้วยท่าทางประหลาดพิกล

หลังจากออกท่าทางช่วงสั้นๆ เสร็จ ชายสูงวัยอายุครึ่งร้อยผมเผ้าขาวหงอกก็เอ่ยปากพูด

“ขอออร่าแห่งเทพอาบชโลมพวกคุณ”

ซางเจี้ยนเย่าที่เพิ่งจะเก็บลำโพงตัวเล็กเสร็จ กำลังขับรถจี๊ปเข้ามาก็ทันได้เห็นฉากนี้เข้าพอดี ดวงตาเขาเป็นประกายเจิดจ้าขึ้นมา

* * * * *

[1] เพลง 精忠报国 (จิงจงเป้ากั๋ว – จงรักภักดี แทนคุณชาติบ้านเมือง) โดย 屠洪刚 (ถูหงกัง)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท