รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 245 เกอนาวา

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 245 เกอนาวา

เมื่อเห็นว่ากล้องวงจรปิดพูดได้ไม่ยอม ‘พูดคุย’ กับเขา ซางเจี้ยนเย่าจึงเดินกลับมาข้างเจี่ยงไป๋เหมียนด้วยความผิดหวัง

เจี่ยงไป๋เหมียนมองดูกลุ่มโจรที่ตะลึงงันอยู่แล้วเธอก็หัวเราะเหอะๆ ออกมา

“พวกนายกำลังจะไปไหนกันเหรอ”

ในช่วงเวลานี้เธอรู้สึกอธิบายไม่ถูก ราวกับว่าตัวเองเหมาะที่จะรับบทจอมวายร้ายจริงๆ

หัวหน้ากลุ่มโจร ‘จิ้งจอกภูเขา’ พานาเนียฝืนยิ้มออกมา

“พวกเรากำลังว่าจะไปเยี่ยมเยียนผู้การเกอนาวาสักหน่อยน่ะ เขาเป็นเจ้าเมืองทาร์นันแล้วก็เป็นกัปตันของยามจักรกลด้วย”

เขาเอ่ยชื่อนี้ออกมาเพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้ตัวเอง

เจี่ยงไป๋เหมียนคลี่ยิ้มทันที

“แหม บังเอิญจริง พวกเราเองก็กำลังจะไปเยี่ยมเยี่ยนเจ้าเมืองเกอนาวาอยู่เหมือนกัน”

พูดจบเธอก็ชี้ไปที่ยอร์เกนเซ่นกับพวก ทำราวกับว่าเธอเพิ่งเคยเจอกลุ่มโจรตรงหน้าเป็นครั้งแรก แล้วก็เจตนาพูดออกมาประโยคหนึ่ง

“เราจับโจรพวกนี้ได้ระหว่างทาง เตรียมจะเอาไปส่งมอบให้กับเจ้าเมืองเกอนาวาจัดการน่ะ”

พานาเนียรู้สึกราวกับถูกตบหน้าฉาดใหญ่ พยายามกล้ำกลืนเพลิงที่ลุกโหมอยู่ในใจฝืนยิ้มออกมา

“นั่นสินะ ที่ทาร์นันก็มีคุกอยู่ด้วยจริงๆ”

เขาแสร้งทำเป็นไม่เคยรู้จักพวกเจี่ยงไป๋เหมียนมาก่อน รวมถึงยอร์เกนเซ่นกับลูกน้องคนอื่นๆ ด้วย

เขากลัวว่าถ้าตนเองยอมรับว่าโจรสามสี่คนนั่นเป็นพรรคพวก จะถูกกลุ่มนักล่าที่อยู่เบื้องหน้าลงไม้ลงมือโดยตรง จากนั้นก็ค่อยสร้างหลักฐานโดยอ้างว่าเป็นการจับกุมโจร หรือไม่ก็รายงานกับกล้องวงจรปิดสมองกลของ ‘สวรรค์จักรกล’ เพื่อขอให้หุ่นยนต์ที่เป็นผู้รักษากฎระเบียบในท้องที่ลงมือจับกุม

พานาเนียไม่เคยมีประสบการณ์กับทั้งสองเรื่องนี้มาก่อน ไม่ทราบว่าหุ่นสมองกลของ ‘สวรรค์จักรกล’ จะดำเนินการกับเรื่องนี้อย่างไร จึงไม่กล้าเสี่ยง

ยอร์เกนเซ่นกับพวกมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่บ้าง ยังดีว่าที่นี่ไม่ต้องให้พวกเขาเอ่ยปากอะไร

เจี่ยงไป๋เหมียนไม่พูดอะไรอีก เธอกวาดตามองพานาเนียกับพวกโจรคนอื่นแล้วยิ้มให้

“ในเมื่อพวกเราต่างก็จะไปเยี่ยมเยียนเจ้าเมืองเกอนาวา งั้นเชิญพวกคุณก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวพวกเราไว้รอทีหลังก็ได้”

เสแสร้ง… เสแสร้งชัดๆ! หลงเยว่หงแอบเสียดสีอยู่ในใจ

“นายกำลังนินทาหัวหน้า!” ซางเจี้ยนเย่าหันหน้าขวับราวกับจับได้ว่าหลงเยว่หงกำลังทำความผิด

“ปละ… เปล่านะ!” หลงเยว่หงร้องอย่างตะกุกตะกัก

พลังของเจ้าหมอนี่มันเปลี่ยนเป็นอ่านใจได้หรือไงเนี่ย

เมื่อได้ยินคำตอบติดๆ ขัดๆ ของเขา ซางเจี้ยนเย่าก็หัวเราะออกมา

“นายติดกับจริงๆ ด้วย!”

ฉันนี่มันโง่ชะมัด โง่จริงๆ… หลงเยว่หงกินปูนร้อนท้อง รีบเถียงเสียงแข็ง

“ไม่ใช่สักหน่อย!”

การสนทนาระหว่างพวกเขาทั้งคู่ทำให้พวกโจรรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ส่งผลอะไรต่อพานาเนียที่ตอบสนองต่อคำพูดของเจี่ยงไป๋เหมียน

“ไม่รีบ พวกเราไม่รีบ พวกเรายังมีเรื่องอื่นต้องไปทำก่อน”

“แหม เห็นท่าทางคุณเป็นคนป่าคนเถื่อนหยาบกระด้างแบบนี้ คิดไม่ถึงเลยว่าที่จริงแล้วยังมีมารยาทอีกด้วย” เจี่ยงไป๋เหมียนพูด ‘ชม’ เขาออกมาประโยคหนึ่งแล้วก็หมุนตัวเดินไปบ้านพักเดี่ยวของเกอนาวา

ภาพพานาเนียผมบลอนด์ยาวเป็นมันเยิ้ม ผิวหน้าหยาบกร้าน ในมือถือหมวกที่มีเขาวัวยื่นออกมา ดูแล้วให้ความรู้สึกของคนป่าคนเถื่อนจริงๆ

หัวหน้าทีมทำตัวไร้มารยาทได้ ทว่าซางเจี้ยนเย่าทำไม่ได้ เขาโบกให้กับพวกกลุ่มโจร ‘จิ้งจอกภูเขา’ พลางพูดว่า

“ไว้เจอกันใหม่!”

จะให้ดีชาตินี้อย่าได้เจอะเจอกันอีกเลย… แม้ว่าพานาเนียจะเกลียดชังเต็มอก อยากล้างแค้นคืน แต่ครั้นย้อนนึกถึงการเผชิญหน้าครั้งก่อนก็รีบสลัดความคิดจะล้างความอัปยศทิ้งไปทันที

ถ้าเป็นแค่เรื่องชุดเกราะเสริมแรงทางทหารเรื่องเดียว เขาก็คิดว่ายังพอจะมีโอกาสอยู่บ้างหากกลุ่มโจรของตนเตรียมการให้ดี แต่ว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือพวกกลุ่มนักล่าซากอารยะที่อยู่ตรงหน้านี้มีเพียงคนเดียวที่ลงมือในตอนนั้น ส่วนอีกสามคนที่เหลือเพียงแค่คอยช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ แถมยังผ่อนคลายกันมากด้วย ทั้งเดินไปมา ทั้งจับตาเฝ้าเชลย ทั้งเปิดเพลงฟัง

ตราบใดที่ทั้งสามนั่นไม่ได้อ่อนแอกว่าคนที่สวมชุดเกราะเสริมแรงทางทหารคนนั้น การที่กลุ่มโจรของเขาต้องการชำระแค้น นั่นก็เท่ากับว่ารนหาที่ตายชัดๆ

ฉายา ‘จิ้งจอกภูเขา’ ไม่ใช่ได้มาเพราะจับฉลากหยิบชื่อผิดมา แต่เป็นเพราะชื่อนี้มีความนัยถึงความเจ้าเล่ห์เพทุบายและระวังตัว

ระหว่างที่ในใจกำลังคิดเรื่องเหล่านี้ พานาเนียกับพวกโจรก็เห็นว่าชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ใบหน้าหล่อเหลาบาดตาคนนั้นยังคงยืนอยู่ที่เดิม จ้องมองพวกเขาไม่วางตา

หัวใจพวกเขาร่วงลงไปที่ตาตุ่มอีกครั้ง

ขณะที่ความคิดกำลังวิ่งพล่านว่าจะทำยังไงดี พานาเนียก็ค่อยๆ ยกมือขวาขึ้นมาโบก

“ไว้เจอกัน”

ซางเจี้ยนเย่ารู้สึกพอใจ จากนั้นก็หมุนตัวรีบตามเจี่ยงไป๋เหมียนกับคนอื่นๆ ไป

“…” บรรดาโจรทั้งหลายต่างพากันอึ้งไป รู้สึกทั้งอัดอั้นและไร้สาระชอบกล

“สบายใจแล้วสิ ทำแล้วสนุกหรือไง” เจี่ยงไป๋เหมียนแสดงความเห็นออกมาประโยคหนึ่ง

ซางเจี้ยนเย่าส่ายหน้า

“ตอนนี้ผมเป็นนายมารยาท ต้องรักษามารยาทอย่างเข้มงวด”

มุมปากเจี่ยงไป๋เหมียนกระตุกเล็กน้อย จากนั้นก็ไหลไปตามน้ำ

“พวกเขาคงต้องรู้สึกซาบซึ้งขอบคุณอาจารย์ซางมากเลยล่ะ”

ไป๋เฉินด้านข้างเหลือบมองพวกเขาอย่างเงียบๆ แล้วตัดสินใจว่าขอไม่มีส่วนร่วมในการสนทนาด้วยเพราะเกรงว่าสภาพจิตใจตัวเองอาจจะติดเชื้อ เกิดความผิดปกติไปด้วยอีกคน

ไม่นานนัก ‘ทีมสำรวจเก่า’ ก็นำตัว ‘ทหารรับใช้’ มาถึงบ้านพักเดี่ยวของเกอนาวา เดินผ่านสนามหญ้าที่ยังคงเขียวชอุ่มแม้เป็นฤดูหนาว มาถึงหน้าประตูบ้าน

ที่นี่ไม่มียามคุ้มกัน

“ได้เวลาแสดงมารยาทของนายแล้ว” เจี่ยงไป๋เหมียนหันหน้ามามองซางเจี้ยนเย่า

ซางเจี้ยนเย่าไม่ทำให้ผิดหวัง เขาเดินขึ้นหน้าสองก้าวแล้วกดกริ่ง

เสียงกริ่งดังติ๊งต่อง ติ๊งต่อง บานประตูเปิดออกให้เห็นร่างหุ่นยนต์ตัวหนึ่งปรากฏต่อหน้าพวกเขา

หุ่นยนต์ตัวนี้สูงประมาณ 190 เซนติเมตร โครงโลหะเป็นสีดำเงิน สวมเครื่องแบบทหารสีเขียวแก่ ดวงตาเป็นไฟสีน้ำเงินวูบวาบ

เนื่องจากทั่วทั้งตัวมีเสื้อผ้าห่อหุ้มอยู่ เจี่ยงไป๋เหมียนมองไม่ออกว่ามันมีชิ้นส่วนใช้งานอะไรบ้างและติดตั้งโมดูลอาวุธอะไรเอาไว้

“พวกคุณคือ…” หุ่นยนต์ตัวนี้ถามด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มของผู้ชาย

น้ำเสียงของมันนั้นมีระดับเสียงสูงต่ำขึ้นๆ ลงๆ ราวกับมนุษย์ แต่ก็ยังเจือความเป็นเสียงสังเคราะห์อย่างชัดเจนและไร้ซึ่งอารมณ์

“พวกเราเป็นนักล่าที่เพิ่งเคยมาทาร์นัน ก็เลยแวะมาเยี่ยมเยือนเจ้าเมืองเกอนาวาน่ะครับ” ซางเจี้ยนเย่าเลียนแบบน้ำเสียงตามปกติของเจี่ยงไป๋เหมียนด้วยสีหน้าเจือรอยยิ้ม

หุ่นยนต์ร่างสูงใหญ่ในเครื่องแบบทหารสีเขียวแก่ผงกศีรษะเบาๆ

“เป็นผมเอง เชิญเข้ามาก่อนสิ”

แล้วมันก็ถามต่ออีกประโยค

“รับเป็นกาแฟหรือชาดีล่ะ

“พวกมันมาจากเขตภูเขาทางตอนเหนือของ ‘สมาพันธ์หลินไห่’ น่ะ”

“ขอกาแฟค่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนคำนึงถึงว่านอกจากตัวเธอเองแล้ว ลูกทีมทั้งสามของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ น่าจะไม่เคยลิ้มลองรสชาติกาแฟกันมาก่อน เธอจึงเกิดความคิดซุกซน เลือกเป็นเครื่องดื่มชนิดนี้

ที่ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ นั้น ในช่วงตอนสิ้นปี บรรดาพนักงานยังพอหาแลกใบชามาได้บ้าง ถึงแม้ว่าในชุมชนศิลาแดงนั้นใบชาจะเป็นสินค้าส่งออกอย่างหนึ่งที่ลักลอบส่งไป ‘ฟิวเจอร์อินเทลลิเจนซ์’ แต่ก็ยังไม่ถึงกับเป็นของหายากมากนัก

เกอนาวา หุ่นสมองกลที่สวมเครื่องแบบทหารสีเขียวแก่เบี่ยงตัวเปิดทางให้พร้อมกับตะโกนเข้าไปในบ้าน

“ซูซานน่า ช่วยเตรียมกาแฟให้แปดแก้วด้วย”

“สี่แก้วก็พอครับ พวกเขาไม่ต้องหรอก” ซางเจี้ยนเย่าพูดอย่างมีมารยาท

ดวงตาเรืองแสงสีน้ำเงินของเกอนาวามองไปที่ยอร์เกนเซ่นกับพวก แล้วแก้ไขคำพูด

“สี่แก้ว!”

หลงเยว่หงกับไป๋เฉินฟังบทสนทนาของพวกเขาแล้วก็เกิดความรู้สึกยากอธิบายประการหนึ่ง นี่ถ้าหากว่าใบหน้า ลำคอ มือ ของเกอนาวาถูกปิดเอาไว้จนหมดก็แทบจะรู้สึกว่าเหมือนมีมนุษย์มายืนคุยอยู่ต่อพวกเขาเลยทีเดียว

สมาชิกของ ‘สวรรค์จักรกล’ ตนนี้ ที่เป็นทั้งเจ้าเมืองทาร์นันและกัปตันยามจักรกล ช่างทำตัวเหมือนมนุษย์เกินไปแล้ว

นี่ก็คือหุ่นสมองกลรุ่นล่าสุดจาก ‘สวรรค์จักรกล’ งั้นหรือ… ทั้งเจี่ยงไป๋เหมียน หลงเยว่หง และไป๋เฉิน ต่างก็มีความคิดเช่นนี้วาบขึ้นในใจโดยพร้อมเพรียงกัน

หลังจากเข้าไปในบ้านแล้ว พวกเขาก็เดินไปที่ห้องนั่งเล่น นั่งลงบนโซฟายาว ส่วนพวกยอร์เกนเซ่นยืนอยู่ข้างหลัง

เกอนาวานั่งที่โซฟาเดี่ยว ยกขาขวาขึ้นมาวางพาดบนต้นขาซ้าย

“พวกคุณมีเรื่องอะไรกันเหรอ”

เจี่ยงไป๋เหมียนเริ่มเปิดการสนทนาด้วยเรื่องที่ไม่สลักสำคัญ เธอชี้ไปที่ยอร์เกนเซ่นกับพวก

“เราเจอโจรพวกนี้ระหว่างทางที่มาทาร์นัน ก็เลยจับตัวไว้น่ะ คิดว่าจะเอามาส่งให้พวกคุณ”

เกอนาวาไม่รู้สึกแปลกใจ ผงกศีรษะรับ

“เดี๋ยวผมจะให้เจ้าหน้าที่ส่งคนพวกนี้ไปเข้าคุกก่อน อีกสองสามวันค่อยพิจารณาคดี”

เมื่อยอร์เกนเซ่นกับพวกได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกโล่งใจ

พวกเขารู้ว่าการตัดสินโทษพวกโจรของทาร์นันไม่เข้มงวดมากนัก โดยเฉพาะพวกที่ไม่เคยก่ออาชญากรรมในเมือง อย่างมากก็แค่ถูกจำคุกสักปีสองปีและถูกบังคับใช้แรงงานในระดับหนึ่ง

ถึงแม้ว่าการสูญเสียอิสรภาพไปสองปีจะทำให้เกิดความลำบากต่อโจรเหล่านี้อยู่บ้าง ยายแก่ที่บ้านก็ไม่ทราบว่ายังจะรอพวกเขาอยู่หรือเปล่า แต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าถูกฆ่าตายหรือขายให้ไปทำเหมืองอยู่มาก นี่ทำให้พวกเขาพอใจกับผลลัพธ์เช่นนี้

หลังจากสนทนาเรื่องนี้จบแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็เปลี่ยนหัวข้อ

“บริเวณตะวันตกเฉียงใต้ของภูชีลาร์มี ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ปรากฏตัว กองคาราวานการค้ากับกลุ่มนักล่าซากอารยะก็เลยไม่กล้าใช้เส้นทางนั้นกัน”

เกอนาวาขยับลำคอที่ทำจากโลหะ

“ผมเพิ่งจะรู้เรื่องนี้เมื่อตอนค่ำนี่เอง พรุ่งนี้จะส่งพวกยามไปจัดการ

“แต่ถึงยังไงก็ต้องขอบคุณพวกคุณที่ส่งข่าวแจ้งเรื่องนี้ให้ทราบ”

ในระหว่างที่พวกเขากำลังพูดคุยสนทนากันนั้นก็มีหุ่นยนต์สวมกระโปรงยาวสีขาวตัวหนึ่งเดินออกมาพร้อมกับถือถาด

มาด้วย

ร่างมันเป็นโลหะสีเงิน สูงราว 175 เซนติเมตร รอบคอมีสายสร้อยเพชรแบบโลกเก่าเส้นหนึ่งสวมไว้ ดวงตาเป็นแสงสีน้ำเงินวูบวาบ

บนถาดมีแก้วอยู่ทั้งหมดห้าใบ ส่งกลิ่นหอมของกาแฟเข้มข้นลอยคลุ้งออกมา อีกทั้งยังมีกลิ่นบางอย่างที่เจี่ยงไป๋เหมียนค่อนข้างคุ้นเคย

“สวัสดีค่ะ” หุ่นยนต์สีเงินซึ่งกำลังแสดงบทบาทเป็นผู้หญิงก้มตัวลงหยิบแก้วกาแฟทั้งสี่แก้ววางไว้ข้างหน้าพวกซางเจี้ยนเย่า แล้วเลื่อนอีกหนึ่งแก้วที่เหลือไปให้เกอนาวา

“นี่คือภรรยาผม ซูซานน่า” เกอนาวาแนะนำ

“สวัสดีครับ มาดามซูซานน่า” ซางเจี้ยนเย่าทักทายอย่างมีมารยาท

ซูซานน่ารู้สึกยินดีกับเรื่องนี้มาก

“คุณเป็นคนหนุ่มที่มีมารยาทมาก”

เจี่ยงไป๋เหมียน หลงเยว่หง และไป๋เฉิน ต่างก็กล่าวทักทาย จากนั้นก็กลับไปมองที่เกอนาวาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

พวกเขาสงสัยเป็นอย่างมากว่าหุ่นสมองกลตนนี้จะดื่มกาแฟยังไง

เกอนาวาใช้มือข้างหนึ่งถือแก้วขึ้นมา ส่วนอีกมือหนึ่งแหย่เข้าไปในปากแล้วหมุนสวิทช์

หลังจากนั้นก็เทของเหลวจากแก้วลงไปเล็กน้อย

ในตอนนี้นี่เองที่เจี่ยงไป๋เหมียนพบว่าของเหลวนั้นข้นหนืดกว่ากาแฟมาก

ในฉับพลันนั้นเธอก็กระจ่างขึ้นมาทันทีว่ากลิ่นที่คุ้นเคยที่ผสมอยู่ในกลิ่นหอมของกาแฟคืออะไร

กลิ่นน้ำมันเครื่อง!

ถึงจะดูเหมือนว่าเกอนาวากำลังดื่มกาแฟ แต่ที่จริงแล้วเขากำลังหยอดน้ำมันหล่อลื่นและบำรุงรักษาเครื่องยนต์อยู่สินะ… เจี่ยงไป๋เหมียนกับไป๋เฉินต่างก็รู้สึกแปลกพิกลจนไม่ทราบว่าจะอธิบายเช่นไร

ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงไม่ได้มีปฏิกิริยาต่อเรื่องนี้มากนัก เป็นเพราะพวกเขาเคยเห็นอาจารย์เซนจิ้งฝ่าหยอดน้ำมันหล่อลื่นเข้าร่างระหว่างที่กำลังเทศนาอรรถาธิบายหลักธรรมมาแล้ว

แล้วในตอนนี้แสงไฟสีน้ำเงินในดวงตาเกอนาวาก็กะพริบวูบวาบสองสามครั้งอย่างนุ่มนวล

มันถอนหายใจออกมาด้วยอารมณ์

“อร่อยจริงๆ”

“…” เจี่ยงไป๋เหมียนพยายามควบคุมมุมปากอย่างสุดกำลัง จากนั้นก็หยิบแก้วกาแฟขึ้นยกขึ้นมาจิบเงียบๆ

* * * * *

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท