รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 261 จัดการความวุ่นวาย

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 261 จัดการความวุ่นวาย

เพียงไม่กี่นาทีต่อมา โจวเยว่ก็ได้รับอุปกรณ์ต่างๆ มาจนครบถ้วน

บนเชือกป่านที่มัดรอบเอวของชุดคลุมยาวสีขาวของเธอนั้นแขวนอุปกรณ์ที่มีขอบนอกริมสุดเป็นลวดลายยันต์แปดทิศ

ของโลกเก่า ตรงกลางเป็นวัสดุที่เหมือนกระจกธรรมดา มือซ้ายถือไฟฉายกระบอกสีดำ มือขวามีขวดพลาสติกใสใส่น้ำเอาไว้ เป็นน้ำสกปรกที่มีขี้เถ้าลอยอยู่ และสะพายกระสอบหลวมโพรกไว้ที่หลัง

การผสมผสานอันสุดแสนพิลึกพิลั่นที่ดูไม่เข้ากันเป็นอย่างยิ่งนี้ ทำให้คนอื่นๆ ในอารามรู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูก เจินเหลียนอดเอ่ยปากถามขึ้นไม่ได้

“เจ้าอารามจะออกไปปราบผีเหรอ”

“เป็นอะไรที่น่ากลัวกว่านั้นอีก” โจวเยว่ตอบกลับอย่างเคร่งเครียด

หัวใจเจินเหลียนกระตุกวูบ รีบพูดขึ้นทันที

“งั้นคุณไม่เอากระบี่ไม้ท้อ ไปด้วยล่ะ”

“ของนั่นไม่มีประโยชน์หรอก” โจวเยว่ตอบ ไม่ทราบว่าอ้างอิงจากพื้นฐานในเรื่องใด

เมื่อเห็นเจินเหลียนซึ่งไม่ได้เป็นผู้ตื่นรู้มีอาการงุนงงอยู่บ้าง เธอก็ส่ายหน้าคลี่ยิ้มให้

“สรรพสิ่งเป็นมายา จะจริงจังไปไย”

พูดจบเธอก็เปิดสวิทช์ไฟฉาย ทำให้ลำแสงส่องไปยังลานบ้าน

จากนั้นเธอก็ย่างเท้าก้าวออกจากอารามหนานเคอไป

เมื่อออกมาถึงด้านนอก โจว่เยว่ก็ใช้นิ้วโป้งมือขวาปิดปากขวดน้ำพลาสติกที่ไร้ฝาไว้ เหลือช่องว่างเอาไว้เล็กน้อย

ขณะที่เดินไปเธอก็เขย่าขวดไปด้วย ทำให้น้ำมนต์กระฉอกออกไปทั้งด้านหน้าและด้านซ้ายขวา

ในระหว่างนี้ไฟฉายที่อยู่ในมือเธอก็แกว่งกราดไปรอบทิศไม่มีหยุด ทั้งซ้ายขวาบนล่าง ประหนึ่งว่ากำลังมองหาศัตรูที่ซ่อนกายอยู่ในม่านรัตติกาล

ส่วนไฟถนนสองข้างทางนั้นเธอไม่ได้เหลือบแลพวกมันแม้แต่น้อย

ในขณะที่เดินไปเธอก็ส่ายเอวพลิ้วไหวไปด้วย เพื่อทำให้กระจกแปดทิศที่ห้อยไว้กับเชือกป่านมัดเอวคอยสะท้อนภาพรอบตัว

นี่ถ้าหากว่าเจี่ยงไป๋เหมียนอยู่ที่นี่ด้วย จากประสบการณ์ความรอบรู้เกี่ยวกับโลกเก่าของเธอ ไม่แน่ว่าอาจจะเข้าใจว่าเจ้าอารามโจวเยว่กำลัง ‘รำถวายเทพ ’ ก็เป็นได้

* * * * *

ภายในบาร์ ‘พิราบไพร’ หลงเยว่หงมองเห็นดวงตาแต่ละคู่ที่ขุ่นมัวดุจดั่งสัตว์ร้ายของ ‘คนไร้ใจ’ นี่ถ้าหากว่าเขาไม่รู้ล่วงหน้ามาก่อนว่าสิ่งที่เห็นอาจเป็นเพียงภาพหลอน ก็อาจกระทำผิดพลาดเช่นเดียวกับจางเก้า ชักปืนออกมากระหน่ำยิงใส่ไปแล้ว

ส่วนอีกด้านหนึ่ง เมื่อเจี่ยงไป๋เหมียนได้ยินคำแนะนำจากซางเจี้ยนเย่าว่าให้ ‘ปิดไฟ’ สิ่งแรกที่แว่บผุดขึ้นในใจเธอนั้นไม่ใช่ ‘ตานี่หาเรื่องอีกแล้ว’ แต่เป็นความคิดว่าวิธีนี้จะได้ผลหรือไม่

เมื่อดับไฟลงทุกคนก็จะมองไม่เห็นคนอื่น เมื่อมองไม่เห็นก็ย่อมไม่ทำเหมือนว่าอีกฝ่ายเป็นสัตว์ประหลาดหรือเป็น ‘คนไร้ใจ’ ดังนั้นก็จะไม่โจมตีอย่างบ้าคลั่งไร้สติเพื่อป้องกันตัวเอง…

หากมองจากมุมนี้ การดับไฟก็นับว่าเป็นวิธีการแก้ปัญหาที่ไม่เลวนัก

ภาพลวงตานั้นโดยหลักๆ แล้วจะส่งอิทธิพลต่อประสาทสัมผัส การมองเห็นก็เป็นหนึ่งในประสาทสัมผัสที่สำคัญที่สุดของมนุษย์

แต่ปัญหาก็คือพลังพิเศษของ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นมีขีดจำกัดแค่ไหน

ถึงขนาดที่ทำให้ผู้คนยังคงมองเห็นสัตว์ประหลาด ‘ปลอม’ ในที่ไร้ซึ่งแสงสว่างได้หรือไม่ สามารถบิดเบือนข้อมูลจากกลิ่นและเสียงโดยตรงเพื่อไปเชื่อมต่อกับศูนย์กลางการมองเห็นได้หรือเปล่า หรือว่าสามารถสร้างฉากต่างๆ ขึ้นในจิตใจของเป้าหมายได้โดยตรงเลยไหม

ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง เช่นนั้นการปิดไฟนอกจากจะไม่สามารถแก้ไขผลจากภาพลวงตาได้แล้ว กลับยิ่งทำให้เกิดความตึงเครียดและปั่นป่วนวุ่นวายมากขึ้นอีกด้วยซ้ำ

แล้วถ้าหากว่า ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นแอบเข้ามาข้างในตอนที่ไม่มีแสงสว่างล่ะ…

เพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ ความคิดมากมายปะทุขึ้นในใจของเจี่ยงไป๋เหมียนไม่หยุดหย่อน

ด้วยประสบการณ์และลางสังหรณ์ เธอรีบตัดสินใจในพริบตา

“ไม่ต้อง!”

ในขณะที่ตะโกนสองคำนี้ออกไป เธอก็รีบเคลื่อนไหวเพื่อเปลี่ยนตำแหน่งของตัวเองอย่างรวดเร็ว แล้วออกคำสั่งต่อเนื่องโดยไม่รีรอ

“แผนสอง!

“ปิดประตู! ปิดหน้าต่าง! Nakdanin!”

แผนสองก็คือมาตรการรับมือทั่วไปรูปแบบที่สองของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ เนื้อหาก็คือ…

“ให้แต่ละคนหาที่กำบัง คอยสังเกตสถานการณ์ ไม่ให้โจมตี รอรับคำสั่งเพิ่มเติม”

การรวมประโยคต่างๆ เหล่านี้จนเหลือเพียงแค่คำว่า ‘แผนสอง’ ทำให้ลดเวลาอธิบายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในสถานการณ์เช่นนี้ ทุกวินาทีสามารถชี้เป็นชี้ตายได้ทุกเมื่อ

และนอกจากนี้การใช้คำว่า ‘แผนสอง’ แทนคำสั่งที่ระบุอย่างเฉพาะเจาะจงก็สามารถป้องกันไม่ให้ศัตรูเข้าใจว่า ‘ทีมสำรวจเก่า’ ต้องการทำอะไรกันแน่ เพื่อไม่ให้ถูก ‘ปลอมแปลง’ ด้วยมายาลวงตา

การไม่โจมตีก็ยังหมายถึงพวกเขาจะไม่พลั้งมือทำร้ายสหายอีกด้วย

ส่วนคำสั่งที่สองนั้นถูกกำหนดออกมาหลังจากที่เจี่ยงไป๋เหมียนสิ้นสุดการเคลื่อนไหวรอบแรกไปแล้ว เข้าไปหลบอยู่ด้านหลังบานประตู เธอถึงจะตะโกนออกคำสั่งมา

ในตอนนี้ซางเจี้ยนเย่า หลงเยว่หง และไป๋เฉิน ต่างก็แยกย้ายไปหาที่กำบังของตนเองเพื่อซ่อนตัวกันหมดแล้ว มีทั้งด้านหลังกำแพงเตี้ยๆ ซึ่งแบ่งพื้นที่ภายในออกเป็นส่วนๆ มีทั้งเสาค้ำอาคาร มีทั้งมุมห้องที่มีอิฐหนาจนทำให้ผู้คนรู้สึกอัศจรรย์ใจ

วินาทีถัดมาเสียงปืนก็ดังขึ้น

ในสายตาของพวกเขา นั่นเป็นการยิงมาจาก ‘คนไร้ใจ’ ตนหนึ่งซึ่งชักปืนตัวเองออกมาโดยแรงขับเคลื่อนของสัญชาตญาณนักล่า ยิงไปที่บริเวณประตู

โชคดีที่ทาร์นันไม่อนุญาตให้มีการต่อสู้กันเอง อีกทั้งยังมีกล้องวงจรปิดอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง ดังนั้นชาวบ้านร้านถิ่นจึงเคยชินกับการไม่พกพาอาวุธ เพราะพกไว้ก็ใช้ไม่ได้ นี่ส่งผลให้ความปั่นป่วนโกลาหลไม่ได้เลวร้ายลงไปอย่างฉับพลัน

ทว่าก็ยังมีชาวเมืองส่วนน้อย นักล่าต่างถิ่น และสมาชิกกองคาราวานที่รู้สึกไม่วางใจในความปลอดภัย ถึงแม้จะไม่ถึงกับพกพาปืนไรเฟิลหรือปืนกลมือเอาไว้เพราะยากต่อการปกปิด แต่ก็ยังมีปืนพกติดตัวไว้สักกระบอกสองกระบอกอยู่บ้าง

ดังนั้นในตอนนี้หลังจากที่พบว่าตนเองถูกพวก ‘คนไร้ใจ’ ห้อมล้อมเอาไว้ ปฏิกิริยาแรกของพวกเขาก็ย่อมต้องเป็นการชักปืนออกมาอย่างไม่ต้องสงสัย

แต่ในขณะเดียวกัน ‘คนไร้ใจ’ พวกนั้นเองก็ตอบโต้กลับมาเช่นกัน ทำให้พวกเขาคิดจะชักปืนออกมาก็ทำไม่ได้อย่างที่ใจต้องการ

มีเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่ชักปืนออกมาได้สำเร็จ บ้างก็ยิง ‘สัตว์ประหลาด’ ที่อยู่หน้าประตูทางเข้าออก บ้างก็จัดการกับ ‘คนไร้ใจ’ ใกล้ตัว

หลังจากเสียงปืนดังปังขึ้นสองสามครั้ง ‘คนไร้ใจ’ สองสามตนก็ทรุดล้มลงไป เลือดอาบทั่วร่าง

พวกคนที่ชักปืนออกมาได้สำเร็จต่างก็ไม่ได้พัวพันหรือรั้งรออยู่ต่ออีก พวกเขาต่อสู้ไปพลาง ถอยหลังไปพลาง มุ่งตรงไปยังทางออกที่ตนเองเลือกไว้

ในสายตาพวกเขา ที่นี่มี ‘คนไร้ใจ’ มากเกินไป แถมบางตัวก็ยังถือปืนไว้ด้วย ปล่อยให้พวกยามจักรกลมาจัดการเองดีกว่า

ณ เวลานี้ ซางเจี้ยนเย่า หลงเยว่หง ไป๋เฉิน ที่ได้ยินคำสั่งจากเจี่ยงไป๋เหมียนแล้ว ต่างก็ก้มตัวเดินเข้าไปใกล้หน้าต่างเพื่อปิดพวกมัน

หลังจากทำจนเสร็จสิ้น พวกเขาก็รีบเข้าไปหลบหลังที่กำบังที่ใกล้ที่สุด ปลดเป้ยุทธวิธีที่สะพายหลังหยิบยาชนิดหนึ่งออกมาใส่ปากกลืนลงไป

เจี่ยงไป๋เหมียนเองก็ปิดประตูทางเข้าออกเสร็จตั้งแต่ก่อนหน้านี้ไปแล้ว เธอก้มคลานและกลิ้งม้วนตัวรุกคืบเข้าไปในบริเวณที่ปั่นป่วนวุ่นวายมากที่สุด

เธอไม่ได้เข้าไปร่วมวงด้วย เพียงแต่อาศัยเวทีเต้นรำและกำแพงเตี้ยๆ รอบโต๊ะไพ่เพื่อกำบังตัว จากนั้นก็ยกมือซ้ายขึ้นและเหยียดออกไปเล็กน้อย

เสียงปืนดังขึ้นเป็นครั้งคราว ‘คนไร้ใจ’ กลุ่มนั้นยังคงต่อสู้นัวเนียกันอยู่ ตกอยู่ในสภาพหวาดหวั่นขวัญผวา

เจี่ยงไป๋เหมียนกลั้นหายใจ ไม่เข้าไปแทรกแซงยุ่งเกี่ยว ย้ายที่เปลี่ยนตำแหน่งตัวเองเป็นครั้งคราวเพื่อเข้าใกล้กับคนในแต่ละกลุ่ม

ในที่สุดมือปืนส่วนน้อยก็ถอยร่นไปยังหน้าต่างแต่ละบาน ต้องการจะปีนออกไปให้พ้นจากสถานที่อันตรายแห่งนี้

พลั่ก!

มือปืนคนหนึ่งถูกกระแทกเข้าที่กกหู สิ้นสติไปอย่างฉับพลัน

เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นฝีมือของใครที่โจมตีมา

ซางเจี้ยนเย่านั่งยองลงไปแล้วอธิบายเหตุผลให้เขาฟัง

“ข้างนอกอันตรายกว่านี้อีก คุณนอนสลบอยู่ในนี้สักพักดีกว่า”

ที่หน้าต่างบานอื่น หลงเยว่หงกับไป๋เฉินก็ทยอยจัดการเหล่ามือปืนที่ตื่นตระหนกให้หมดสติไปทีละคน

นี่ก็คือเนื้อหาโดยนัยของคำสั่งที่สอง

‘ปิดประตู’ ‘ปิดหน้าต่าง’ นั้นหมายความว่าไม่อนุญาตให้ใครเปิดประตูหน้าต่างได้ หากพบสถานการณ์เช่นนี้ สามารถลงมือจัดการได้ตามความเหมาะสม

เวลาผ่านไปนาทีแล้วนาทีเล่า เหล่า ‘คนไร้ใจ’ ที่กำลังคลุกนัวเนียทั้งกอดทั้งกัดกันเป็นพัลวันก็ค่อยๆ หมดเรี่ยวแรง ลืมตาไม่ขึ้น

“เจ้าแบกสัมภาระ ส่วนข้าจะขี่ม้าไป… ”

ในระหว่างที่เสียงเพลงจากลำโพงตัวจ้อยของซางเจี้ยนเย่าดังขึ้น ‘คนไร้ใจ’ ก็ค่อยๆ ทรุดฮวบลงไปกับพื้นตนแล้วตนเล่า ราวกับคนกินยาสลบที่รายการวิทยุใน ‘ผานกู่ชีวภาพ’ เคยออกอากาศ

ถูกต้อง… พวกเขาทั้งหมดล้วนสูดดมแก๊สกล่อมประสาทที่ปล่อยออกมาจากมือซ้ายของเจี่ยงไป๋เหมียน

พวกซางเจี้ยนเย่าได้กินยาปรับสภาพให้เป็นกลาง Nakdanin เตรียมเอาไว้ล่วงแล้ว

นี่เป็นวิธีการที่ดีที่สุดเท่าที่เจี่ยงไป๋เหมียนคิดออกมาได้ในขณะนี้สำหรับการปกป้องผู้คนในที่แห่งนี้

ด้วยเหตุนี้เธอจึงให้ซางเจี้ยนเย่า หลงเยว่หง และไป๋เฉิน ช่วยเหลือด้วยการปิดประตูหน้าต่าง

“เฮ่อ…” เจี่ยงไป๋เหมียนถอนใจโล่งอกเมื่อเห็นว่าบรรดา ‘คนไร้ใจ’ ทั้งหลายต่างก็สิ้นสติไปหมดแล้ว

จากนั้นเธอก็พูดเสียงดัง

“ไม่มีคนเข้ามา!”

‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นไม่ได้ฉวยโอกาสจากความวุ่นวายเมื่อครู่เพื่อแฝงตัวเข้ามาในบาร์ ‘พิราบไพร’!

นี่เป็นการประเมินโดยอาศัยการตรวจจับสัญญาณไฟฟ้าของเธอ

เธอมั่นใจว่า ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นไม่มีทางเข้าใจเทคโนโลยีในด้านนี้แน่ๆ และไม่มีทางรู้ด้วยว่ามีเรื่องเช่นนี้ เพราะในเวลานี้มีเพียงแค่ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ เท่านั้นที่ควบคุมเทคโนโลยีดังกล่าว ดังนั้นต่อให้อีกฝ่ายจะ ‘บิดเบือน’ ประสาทสัมผัสของเธอ เพื่อ ‘ปกปิด’ ร่องรอยของตัวเองเอาไว้ แต่เนื่องจากการ ‘ไม่รู้ความ’ ของตนนั้นย่อมทำให้ไม่รู้เกี่ยวกับสัญญาณไฟฟ้าทางชีวภาพ จะต้องหลงเหลือช่องโหว่ให้เห็นได้อย่างแน่นอน

ทว่าหลังจากที่ตรวจสอบเมื่อครู่ เจี่ยงไป๋เหมียนสามารถระบุได้ว่าไม่มีสัญญาณไฟฟ้าชีวภาพจากภายนอกเข้ามาในร้าน

นี่มันน่าแปลกแฮะ

หรือว่า ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ นั่นค่อนข้างระวังตัวมาก ก็เลยจะรอให้ทุกคนในนี้บาดเจ็บสาหัสหมดเสียก่อน ถึงจะเข้ามาล่า… ขณะที่เจี่ยงไป๋เหมียนเพิ่งจะบังเกิดความคิดนี้ผุดขึ้นมา ซางเจี้ยนเย่าก็ตะเบ็งเสียงดังแทรกเสียงดนตรีขึ้นมา

“เขากลัวคุณ!”

ถุย! กลัวบ้านนายนะสิ!

เจี่ยงไป๋เหมียนถ่มน้ำลาย ก่อนจะชะงักเพราะนึกอะไรขึ้นได้

หรือว่าที่ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ นั่นไม่ได้ฉวยโอกาสลักลอบเข้ามาล่า เป็นไปได้ไหมว่ามันกลัวของอะไรสักอย่าง…

ในร้านมีอะไรบางอย่างที่ทำให้มันกลัว…

เมื่อมนุษย์ตื่นรู้ขึ้นและได้รับพลังพิเศษมาก็ต้องสละบางสิ่งไป อย่างนั้นการที่ ‘คนไร้ใจ’ ได้รับพลังพิเศษมา จะมีกฎเกณฑ์อะไรทำนองนี้ด้วยหรือเปล่านะ

แต่การกลายเป็น ‘คนไร้ใจ’ ก็อาจนับได้ว่าเป็นการสละเหมือนกัน…

ขณะที่ความคิดเจี่ยงไป๋เหมียนกำลังวิ่งพล่าน ซางเจี้ยนเย่าก็แหงนหน้าขึ้นไปพูดกับกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งอยู่ในบาร์

“แกพูดอะไรหน่อยสิ ทำไมถึงไม่พูดล่ะ”

ใช่แล้ว ในบาร์ก็มีกล้องวงจรปิดนี่นา ไม่รู้ว่ามันเชื่อมต่ออยู่กับเครือข่ายของทาร์นันหรือเปล่า… สรุปก็คือต้องหาวิธีแจ้งข่าวไปที่ยามจักรกลกับพวกโบสถ์นิกายใหญ่ต่างๆ ให้รู้เรื่องผิดปกติที่เกิดขึ้น พวกเขาต้องมีวิธีจัดการแน่… เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกว่าไม่ควรนั่งรอเรื่อยเปื่อยอยู่ในบาร์ ‘พิราบไพร’ แต่ก็รู้ดีว่าไม่ควรทะเล่อทะล่าออกไปข้างนอกเช่นกัน

ในขณะเดียวกันเธอก็รู้สึกโชคดีที่ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นยังไม่ได้ทำให้พวกเขาหูฝาด ‘ทีมสำรวจเก่า’ จึงยังสามารถสื่อสารกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะยังคงเห็นคนอื่นๆ เป็น ‘คนไร้ใจ’ อยู่ก็ตาม

แต่สถานะเช่นนี้จะดำเนินต่อไปอีกหรือไม่ และจะดำรงอยู่อีกนานแค่ไหน นั่นไม่อยู่ในวิสัยที่เจี่ยงไป๋เหมียนจะคาดเดาได้ ดังนั้นเธอจึงต้องพยายามเค้นหาวิธีออกมาให้ได้ก่อนที่สถานการณ์จะเลวร้ายลงไปกว่านี้

* * * * *

ณ โรงแรม ‘ฝันนิทรา’ ถึงแม้ว่าไอนอร์เจ้าของโรงแรมจะไม่ได้เหลียวหน้ากลับมามอง แต่ก็รู้สึกได้ว่ามีคนเดินไปเดินมา บางครั้งก็เข้ามาใกล้ ขยับเข้ามาถึงต้นคอ บางครั้งก็ถอยห่างออกไปจนทำให้เกิดลมหยินพัดไหว

ไอนอร์จ้องมองหน้าจอคอมพิวเตอร์เขม็ง พูดพึมพำละล่ำละลักอย่างหวาดกลัว

“ถ้า… ถ้ายังเข้ามาอีก… ฉัน… ฉันจะไม่เกรงใจแล้วนะ

“ถึงฉันจะ… จะมองไม่เห็น ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน แต่… แต่ก็โจมตีไปมั่วๆ ได้นะ!”

* * * * *

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท