รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 265 เปลี่ยนวิธีคิด

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 265 เปลี่ยนวิธีคิด

สิ่งที่หลงเยว่หงสามารถคิดได้นั้น เจี่ยงไป๋เหมียนก็ย่อมต้องคิดได้เช่นกัน

เธอหัวเราะออกมา

“งั้นนายก็ต้องแน่ใจก่อนว่าคนที่จะโจมตีนายหลังจากนี้จะต้องเป็น ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นแน่ๆ ถึงจะใช้วิธีนี้ได้

“แต่ถ้าเกิดเราดันไปเจอหมาป่าหิวโซที่ออกมาล่าอาหารช่วงหน้าหนาวเสียก่อน ขืนมัวแต่เต้นให้มันดูก็คงกลายเป็นอาหารนอนอยู่ในท้องมันแล้วล่ะ หรือไม่งั้นก็ต้องสวดอธิษฐานให้มันเห็นแบบนั้นก็มัวแต่ยืนงง ไม่กระโจนเข้ามาขย้ำเราสักคำสองคำ”

ส่วนเรื่องวิธีการเปลี่ยนปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งเร้าหรือการตอบสนองตามสัญชาตญาณนั้นไม่ได้อยู่ในขอบเขต

การอภิปราย

เพราะเรื่องพวกนี้สามารถใช้ ‘ตัวตลกชักจูง’ มาซ้อนทับลงไปได้

ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้รู้สึกลำบากใจกับปัญหาข้อนี้แม้แต่น้อย เขาตอบกลับอย่างลื่นไหล

“เราสามารถแบ่งงานเพื่อร่วมมือกันได้ ให้สองคนยอมรับข้อเสนอนี้ เตรียมไว้รอรับมือกับ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้น ส่วนอีกสองคนยังเป็นเหมือนเดิม จะได้คอยจัดการเรื่องไม่คาดคิดระหว่างทาง

“พูดง่ายๆ คือถ้าเกิดไปเจอหมาป่าหิวโซในฤดูหนาว ก็จะมีสองคนเต้นให้มันดู ส่วนอีกสองคนจะป้อนลูกตะกั่วให้มันกิน”

เจี่ยงไป๋เหมียนใคร่ครวญตามแล้วพบว่าหากไม่นับภาพเหตุการณ์ที่ดูพิลึกลั่นนั่น วิธีนี้ก็สามารถใช้การได้จริงๆ

นี่เป็นกระบวนการคิดเพื่อแก้ปัญหาของซางเจี้ยนเย่าที่เป็นเขาตามปกติ

ซึ่งนั่นก็คือทำให้คนทั้งทีมทำตัวเหมือนคนเสียสติ

พอคิดขึ้นมาได้ เจี่ยงไป๋เหมียนก็ถ่มน้ำลายทันที

“เกือบโดนนายปั่นหัวเข้าแล้ว!

“งั้นฉันขอถามหน่อย นายกล้ารับประกันไหมว่าลบคูณลบจะได้บวก”

“มั่นใจสิ นี่เป็นปัญหาทางคณิตศาสตร์” ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างมั่นอกมั่นใจ

เจี่ยงไป๋เหมียนสูดหายใจเข้าช้าๆ แล้วผ่อนออก

“แล้วถ้าหากว่าสัญชาตญาณที่ผิดเพี้ยนนั่นไม่ได้เปลี่ยนจากการเต้นเป็นชักปืน แต่ดันพัฒนาให้กลายเป็นร้องเพลงแทนล่ะ”

ซางเจี้ยนเย่าอ้าปากแล้วส่งเสียงออกมา

“ปัง!”

“…” เจี่ยงไป๋เหมียนถึงกับหมดคำพูด

เธอรู้ว่าความหมายของซางเจี้ยนเย่าก็คือให้ทำเสียงเลียนแบบเสียงปืนเพื่อให้คู่ต่อสู้ตกใจ จะได้หลบไปหาที่กำบัง นั่นจะทำให้ผลกระทบของพลังพิเศษของอีกฝ่ายลดลง

หลังจากสงบสติอารมณ์ลงได้แล้วเธอก็พูดอย่างจริงจัง

“แผนนี้ก็พอจะมีความเป็นไปได้อยู่เหมือนกัน แต่มันมีตัวแปรที่ไม่แน่นอนมากเกินไป เอาไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉินก็พอ

“ฉันมีวิธีแก้ปัญหาที่ง่ายกว่านั้น นั่นก็คือชะลอปฏิกิริยาตอบสนองของตัวเอง

“ถ้าใช้ประโยคทั่วๆ ไปมาอธิบายก็คือ ‘คิดก่อนทำ’”

ไป๋เฉินครุ่นคิดถึงการประยุกต์ใช้แผนนี้…

“หมายถึงให้ควบคุมสัญชาตญาณตัวเอง คิดให้ถี่ถ้วน จากนั้นค่อยๆ ลงมือทำ แบบนี้ใช่ไหม”

“ถูกต้อง” เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะเบาๆ “ที่จริงวิธีนี้ก็ยังมีปัญหาใหญ่อยู่เหมือนกัน คือมันจะทำให้เราพลาดโอกาสเหมาะไป อาจจะทำให้เราจัดการปัญหาไม่ทันการ พูดโดยสรุปก็คือให้คิดแบบนี้ให้ขึ้นใจจนกลายเป็นความคิดปกติ ควบคู่ไปกับวิธีของซางเจี้ยนเย่า”

เมื่อพูดถึงตรงนี้เธอก็ถอนใจ

“เมื่อเทียบกันแล้ว พลังที่สร้างภาพหลอนนั้นยากที่จะเจาะทำลายได้ แถมยังมีพลังพิเศษชนิดที่สามที่พวกเรายังไม่รู้อยู่อีก นั่นเป็นอันตรายแฝงเร้นที่นับว่าร้ายแรงทีเดียว”

พลังพิเศษที่สามารถบิดเบือนข้อมูลแวดล้อมเพื่อสร้างภาพหลอนนั้นไม่ใช่สิ่งที่เพียงแค่ทำร้ายตัวเองก็หลีกเลี่ยงได้ นั่นเพราะความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นก็สามารถจำลองขึ้นมาได้เช่นกัน

“เฮ้อ ก็ยังคงต้องอาศัยการยิงให้ครอบคลุมบริเวณกว้างเพื่อบีบไม่ให้ศัตรูใช้พลังพิเศษได้นั่นแหละ” ซางเจี้ยนเย่าช่วยพากษ์เสียงให้

ซึ่งประโยคนี้ก็เป็นสิ่งที่เจี่ยงไป๋เหมียนกำลังคิดอยู่ เธอจึงไม่ได้กลอกตาใส่เขา

“กลับไปแล้วต้องไปปรึกษาเจ้าอารามโจวดูอีกที” เจี่ยงไป๋เหมียนสรุปในท้ายสุด

หลังจากถกเรื่องนี้กันเสร็จ เธอก็มองทุกคนรอบๆ ก่อนจะพูดอีก

“ในตอนนั้นก่อนที่ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ นั่นจะคำรามแล้วเผยตำแหน่งตัวเองออกมา ก่อนที่ภาพหลอนจะหายไปน่ะ พวกนายรู้สึกถึงปฏิกิริยาตอบสนองแปลกๆ บ้างไหม”

“รู้สึก” ซางเจี้ยนเย่ามักตอบคำถามก่อนคนอื่นเสมอ “เดิมทีผมว่าจะรอให้จบเพลงก่อน พอเริ่มเพลงใหม่ค่อยออกไป แต่ควบคุมตัวเองไม่ได้”

“ใช่” หลงเยว่หงเห็นพ้องด้วย “ผมรู้อยู่แล้วว่าพวก ‘คนไร้ใจ’ ที่เห็นอยู่ ที่จริงแล้วก็เป็นคนธรรมดาทั้งนั้น ไม่ควรโจมตีใส่พวกเขา ถึงแม้ว่าการกระทำของพวกเขากับสภาพแวดล้อมที่เป็นอยู่จะทำให้ผมเกิดแรงกระตุ้นขึ้นมาบ้าง แต่ผมก็มั่นใจว่าสามารถควบคุมความคิดเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี แต่แล้วจู่ๆ ผมก็รู้สึกหัวร้อนขึ้นมา อยากจะกระหน่ำยิงใส่ ‘คนไร้ใจ’ พวกนั้นอย่างอดไม่ได้”

ไป๋เฉินพูด “อืม” ออกมาคำหนึ่ง

“ฉันเองก็เป็นเหมือนกัน จู่ๆ ก็ทำตามความคิดที่เก็บเอาไว้ลึกๆ ในใจออกมา ตอนนั้นนึกเพียงแค่อยากจะซ่อนตัวรอให้ภาพหลอนจบๆ ไป”

“ก็ประมาณนั้นแหละ” เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะ “นี่เป็นปฏิกิริยาที่ปลดปล่อยแรงกระตุ้นในใจที่ระงับไว้ออกมา ไม่ได้มุ่งเป้ามาที่พวกเราโดยตรง ไม่งั้น ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นคงไม่คำรามออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ไม่สลายภาพหลอนไปอย่างไม่มีเหตุผล”

“นี่มัน…” หลงเยว่หงเริ่มค่อยๆ เข้าใจขึ้นมาว่าเกิดอะไรขึ้นในขณะนั้น

ซางเจี้ยนเย่าถอนหายใจพูดอย่างจริงจัง

“พยัคฆ์ซ่อนมังกรซุ่มในทาร์นัน!”

“อย่าแย่งบทพูดฉันสิ” เจี่ยงไป๋เหมียนด่าเขาด้วยรอยยิ้ม “เรื่องในตอนนี้ไม่ใช่อะไรที่พวกเราอยากจะหลีกเลี่ยงก็หลีกเลี่ยงได้ ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปพวกเราค่อยเริ่มงานกันอย่างจริงจัง หวังว่าจะจัดการภัยซ่อนเร้นได้โดยเร็วที่สุด”

เธอหยุดไปอึดใจก่อนจะพูดเสริม

“คืนนี้ทั้งสามห้องนอนไม่ต้องปิดประตู พวกเราทุกคนจะสลับกันอยู่เวรกลางคืน”

หลังจากจัดลำดับเวรยามเสร็จ พวกซางเจี้ยนเย่าก็ไปล้างหน้าแปรงฟัน แยกย้ายเข้าห้องไปทีละคน

* * * * *

ณ ‘ทะเลต้นกำเนิด’ ซึ่งสะท้อนแสงเป็นประกายระยิบระยับ บนเกาะที่มีภูเขา ลำธาร หญ้าเขียวขจี

ซางเจี้ยนเย่านั่งอยู่บนเก้าอี้เอน นอนอาบแสงตะวันอันอบอุ่น รับสายลมโชยอันสดชื่น สัมผัสความรู้สึกของวันหยุดเหมือนกับที่รายการวิทยุเคยอธิบายไว้

ทว่าสภาพแวดล้อมและวิวทิวทัศน์แบบเดิมๆ ที่ไม่เปลี่ยนแปลงนั้น สุดท้ายแล้วย่อมทำให้ผู้คนรู้สึกเบื่อหน่ายได้อยู่ดี

ไม่ทราบว่าผ่านไปนานเท่าใด จู่ๆ ซางเจี้ยนเย่าก็ผุดลุกขึ้นมานั่ง

ร่างของเขามีร่างแยกออกมา มีซางเจี้ยนเย่าคนแล้วคนเล่าเดินออกมาจากร่างเดิม

ซางเจี้ยนเย่าเหล่านี้ต่างก็สวมเสื้อผ้าแบบเดียวกัน แต่งตัวแบบเดียวกัน มองไม่เห็นความแตกต่างแม้แต่น้อย

ซางเจี้ยนเย่าสามคนสร้างม้านั่งของตัวเองขึ้นมาก่อนจะนั่งลงไปข้างๆ เก้าอี้เอนหลังเพื่อตั้งวงเล่นไพ่กับซางเจี้ยนเย่าร่างต้น

ซางเจี้ยนเย่าอีกสองคนเอาลำโพงกับโทรโข่งออกมา ท่ามกลางเสียงดนตรีบรรเลง ทั้งคู่ก็สลับกันร้องเพลง นายร้องท่อนหนึ่งฉันร้องท่อนหนึ่ง

และด้วยการบรรเลงเพลงเช่นนี้ ซางเจี้ยนเย่าอีกสามคนที่เหลือก็พากันเต้นอย่างเข้าจังหวะ

ทั่วทั้งเกาะแห่งนี้กลายเป็นครึกครื้นมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที

ทว่าหลังจากความครึกครื้นผ่านไปจนจบ ซางเจี้ยนเย่าก็ยังคงไม่เจอสัตว์ประหลาดอยู่ดี ไม่มีภัยพิบัติ ไม่มีเหตุไม่คาดฝันใดๆ เกิดขึ้นแม้แต่น้อย

ท้ายที่สุดซางเจี้ยนเย่าทั้งเก้าก็กลับรวมคืนสู่หนึ่ง จากนั้นก็โจนลงไปใน ‘ทะเลต้นกำเนิด’ อีกครั้ง ออกว่ายไปต่อ

ไม่ทราบว่าว่ายไปนานเพียงใด ก็พลันมีเกาะอีกแห่งปรากฏต่อหน้าเขา

เกาะแห่งนี้มีภูเขา ลำธาร หญ้าเขียวขจี แสงแดดอบอุ่น สายลมชุ่มชื่น เฉกเช่นเดียวกับเกาะก่อนหน้านี้ทุกประการ

ซางเจี้ยนเย่าขึ้นมายืนริมเกาะ ตกอยู่ในห้วงคำนึง

* * * * *

เช้าตรู่รุ่งขึ้น ซางเจี้ยนเย่าเล่าประสบการณ์ของตัวเองให้พวกเจี่ยงไป๋เหมียนฟัง

เจี่ยงไป๋เหมียนกล่าวอย่างครุ่นคิด

“หรือว่าสัตว์ประหลาดก็คือตัวเกาะ

“รูปลักษณ์ที่แสดงออกมาก็คือกับดักเพื่อจับนาย”

“ถ้างั้นผมก็คงต้องลองคุยกับมันดีๆ ดูเสียหน่อย” ครั้นเมื่อซางเจี้ยนเย่าได้พบแนวทางใหม่ๆ ก็พลันรู้สึกตื่นเต้นคึกคักขึ้นมา

เจี่ยงไป๋เหมียนรีบเตือนเขาออกมาประโยคหนึ่งทันที

“นี่เป็นแค่การคาดเดาเท่านั้น มีโอกาสผิดพลาดสูง ถึงยังไงนายก็ต้องทดลองดูก่อน”

เธอเพิ่งจะพูดจบ โทรศัพท์ในห้องก็ดังขึ้น

หลงเยว่หงรีบไปรับสายอย่างขมีขมัน แล้วพูดขึ้นอย่างผู้ชำนาญการ

“ฮัลโหล ไม่ทราบว่านั่นใครเหรอครับ”

“นายต้องพูดให้หนักแน่นอีกหน่อย” ซางเจี้ยนเย่าแสดงความคิดเห็น “ในเวลาแบบนี้ นายต้องพูดว่า ‘ฮัลโหล นั่นใครน่ะ’”

เสียงเขาดังลั่นจนทำให้หลงเยว่หงถึงกับหูอื้อตาลาย

“อื้อ เสียงดูปวกเปียกไปหน่อย” ครั้งนี้เจี่ยงไป๋เหมียนเห็นด้วยกับซางเจี้ยนเย่า

ไป๋เฉินไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไรเพราะเธอรู้จักเพียงแค่วิทยุสื่อสารเท่านั้น ไม่เคยมีประสบการณ์ในการใช้โทรศัพท์มาก่อน และไม่ค่อยได้ฟังรายการวิทยุมากนัก

แล้วในตอนนี้เสียงของไอนอร์เจ้าของโรงแรมก็ดังขึ้นมาจากปลายสาย

“เมื่อกี้เสียงใครตะโกนซะลั่นละนั่น

“อ้อ มียามจักรกลมาหาพวกคุณน่ะ”

“ทราบแล้ว” หลงเยว่หงฟื้นสติจากการถูกโจมตี รีบตอบกลับไปโดยเร็ว

“ยามจักรกลเหรอ…” เจี่ยงไป๋เหมียนพึมพำกับตัวเอง จากนั้นก็พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม “เก็บข้าวของกันก่อนเถอะ แล้วก็เอาของที่จำเป็นติดตัวลงไปด้วย”

ที่รออยู่ที่ล็อบบี้โรงแรมนั้นไม่ใช่หุ่นสมองกล แต่เป็นหุ่นยนต์ผู้ช่วย มันมาเพื่อถ่ายทอดคำพูดของเกอนาวา

“ผู้การเกอนาวาขอเชิญพวกคุณไปพบที่ศาลาว่าการ”

ว่าแล้วเชียว… เจี่ยงไป๋เหมียน ซางเจี้ยนเย่า และคนอื่นๆ ต่างมองสบตากัน จากนั้นก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม

“ได้สิ”

* * * * *

ณ ชั้นบนสุดของศาลาว่าการ ห้องทำงานของเจ้าเมือง

พวกเจี่ยงไป๋เหมียนมาพบเกอนาวาอีกครั้ง เขายังคงสวมเครื่องแบบทหารกับรองเท้าขี่ม้า นั่งอยู่บนเก้าอี้ที่เสริมโลหะให้แข็งแรงเป็นพิเศษ

“มีเรื่องอยากจะขอความช่วยเหลือจากพวกคุณหน่อยน่ะ” เกอนาวาพูดเข้าประเด็นทันทีโดยไม่อ้อมค้อม

สมาชิกทั้งสี่ของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ซึ่งหาที่นั่งเรียบร้อย ต่างก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจแม้แต่น้อย ใบหน้าเจี่ยงไป๋เหมียนยังคงประดับด้วยรอยยิ้มอย่างมีมารยาท เอ่ยปากถามขึ้น

“เรื่องอะไรเหรอคะ”

เกอนาวาโน้มตัวมาข้างหน้า ประสานมือทั้งสองเข้าด้วยกัน

“เมื่อคืนนี้ผมได้หารือกับประธานกู้จากสมาคมนักล่า รวมทั้งผู้รับผิดชอบนิกายใหญ่ในท้องที่ เกี่ยวกับเรื่อง ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้น ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่าต้องรีบจัดการปัญหานี้โดยเร็วที่สุด

“จากข้อเสนอของเจ้าอารามโจว เธอบอกว่าควรแยกกันเพื่อค้นหาและตามล่า ห้ามปะปนกัน ไม่อย่างนั้นจะถูกอีกฝ่ายนำจุดนี้มาใช้ประโยชน์

“แผนสุดท้ายที่สรุปกันก็คือให้จัดตั้งทีมของตัวเองขึ้นมาเพื่อรับผิดชอบการป้องกันพื้นที่นอกเมือง จากนั้นก็ผลัดกันค้นหา ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ที่อาจจะซ่อนตัวอยู่”

หลังจากอธิบายโดยสังเขปไปแล้วว่าต้องการให้ทำอะไร เกอนาวาก็แจ้งคำขอของตนออกมา

“ทาร์นันไม่ได้ขาดแคลนกำลังคน แต่ขาดคนที่แข็งแกร่งมากพอ ผมอยากเชิญคุณมาเข้าร่วมกองกำลังเพราะเกรงว่าสิ่งมีชีวิตอันตรายนั่นอาจจะสร้างความวุ่นวายขึ้นมาอีก ทำให้ชาวเมืองผู้บริสุทธิ์ต้องบาดเจ็บล้มตาย”

ซางเจี้ยนเย่าลุกขึ้นยืนทันทีพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงของผู้ผดุงความยุติธรรม

“นี่เป็นเรื่องที่พวกเราสมควรทำอยู่แล้ว”

พูดแล้วเขาก็กำหมัดงอแขนชูขึ้นมา

“เพื่อช่วยมนุษยชาติ!”

ดวงตาเรืองแสงสีน้ำเงินของเกอนาวาจับจ้องมองเขา ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองไปชั่วขณะ

ซางเจี้ยนเย่าพูดเสริมขึ้นอีกหนึ่งประโยค

“และถ้ามีพวกข้าวสารอาหารแห้ง แป้ง เนื้อสด เนื้อแช่แข็ง พืชผัก อะไรพวกนั้นเป็นรางวัลให้ด้วย ก็จะยิ่งดีเข้าไปอีก”

เกอนาวายังคงมองนิ่งอยู่เหมือนเดิมราวกับว่าระบบเขาค้างไปแล้ว

ผ่านไปหลายวินาทีกว่าที่เขาจะพูดตอบกลับมา

“คำขอของพวกคุณนับว่ามักน้อยมาก…”

“ไม่ได้มักน้อยหรอก” เจี่ยงไป๋เหมียนเผยรอยยิ้มที่ทำให้หลงเยว่หงรู้สึกหวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูก

เกอนาวาหันมามอง เห็นเธอยังคงรักษารอยยิ้มไว้ไม่เปลี่ยนแปลง

“สองวันมานี้ฉันพยายามครุ่นคิดมาตลอด ก่อนหน้านี้ ‘ซอร์สเบรน’ บอกว่าจะไม่พบใครใช่ไหมล่ะ”

“ถูกต้อง” เกอนาวาตอบเพื่อยืนยัน

รอยยิ้มของเจี่ยงไป๋เหมียนยิ่งเห็นได้ชัดเจนมากขึ้น

“แต่ไม่ได้บอกว่าจะไม่คุยกับมนุษย์ใช่ไหมล่ะ

“งั้นก็ให้เราสื่อสารสนทนากันผ่านทางโทรศัพท์ ถามคำถามโดยไม่ต้องเจอกันก็ได้นี่!”

เกอนาวานิ่งเงียบไปอีกครั้ง ผ่านไปครู่หนึ่งถึงจะค่อยๆ พูดอย่างเชื่องช้า

“ผมช่วยส่งคำขอนี้ให้พวกคุณได้”

* * * * *

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท