รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 272 ภาพลวงตาอันแปลกประหลาด

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 272 ภาพลวงตาอันแปลกประหลาด

เมื่อได้ยินคำพูดของซางเจี้ยนเย่า เจี่ยงไป๋เหมียนก็ร้อง “เอ่อ”

“เรื่องนี้ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน

“เขาต่างไปจากคนอื่นๆ ที่นายเคยใช้ ‘ตัวตลกชักจูง’ เมื่อก่อนอยู่บ้าง

“เมื่อกี้ฉันเองก็ยังแปลกใจที่มันสามารถสร้างอิทธิพลทำลายภาพลวงตาได้”

การโต้ตอบของภาพลวงตานั้นคล้ายกับระบบปัญญาประดิษฐ์ที่มีจิตสำนึกมาก ส่วนการจะระบุลงไปอย่างเจาะจงว่าจะเกิดผลอะไรนั้น ซางเจี้ยนเย่าไม่เคยผ่านประสบการณ์ด้านนี้มาก่อน เจี่ยงไป๋เหมียนเองก็ไม่สามารถหาเหตุผลออกมาได้เช่นกัน

“ไม่ต้องสร้างเพื่อนกันหรอก แค่ทำให้เขาไม่พุ่งเป้ามาที่พวกเราก็พอแล้วล่ะ” หลงเยว่หงอดพูดออกมาไม่ได้

ถ้าขืนให้ซางเจี้ยนเย่ากลายเป็นเพื่อนกับ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ที่แข็งแกร่งขนาดนั้น จะไหวเหรอนั่น… เกิดเขาเดินกร่างไปทั่วทาร์นัน นึกอยากจะรังแกใครก็รังแก อยากจะแกล้งใครก็แกล้ง นี่มันหายนะชัดๆ

การที่หลงเยว่หงเพิ่งฉี่ราดกางเกงต่อหน้าสมาชิกในทีมไปเมื่อก่อนหน้านี้ ทำให้เขาเกิดบาดแผลในใจ

“ก็หวังว่านะ” เจี่ยงไป๋เหมียนมองดูผืนฟ้ายามวิกาลอันมืดมิดที่มีจุดแสงอยู่ประปราย “ไปเฝ้ายามกันต่อเถอะ”

เมื่อซางเจี้ยนเย่าได้ยินก็พิงรถจี๊ปด้วยความผิดหวัง

เวลาล่วงเลยไปทีละนาที ทีละวินาที จู่ๆ ไป๋เฉินก็เอ่ยปากพูดขึ้น

“ดูนั่นสิ”

พวกเจี่ยงไป๋เหมียนทำตามแผนที่เตรียมไว้ มองไปยังบริเวณที่ไป๋เฉินเฝ้าตรวจตราอยู่ด้วยคติว่า ‘คิดก่อนทำ’

ที่แห่งนั้นมีอาคารไม่สูงนักปรากฏขึ้นมาเรียงรายหลายหลังตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ

อาคารเหล่านี้สร้างขึ้นมาในรูปแบบที่โลกเก่าเรียกว่า ‘แมนชั่น’ ‘อาคารชุด’ ‘คอนโด’ พวกมันถูกโอบล้อมด้วยแมกไม้เขียวขจี

ณ ขณะนี้ ม่านรัตติกาลทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างมองดูอึมครึมไม่ชัดเจน มีเพียงแสงที่ส่องออกมาจากด้านหลังกระจกหน้าต่างของอาคารที่ทำให้เกิดความรู้สึกอบอุ่นและวางใจได้

“นะ…นี่… นี่เป็นภาพหลอนใช่ไหม” หลงเยว่หงพูดกับตัวเองอย่างไม่แน่ใจ

“นอกจากภาพหลอนแล้วก็คงไม่มีใครเนรมิตคอนโดพวกนี้ให้เกิดขึ้นมาได้ในพริบตาหรอก” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบยืนยันให้เขา

“มีสิ ความฝันไง” ซางเจี้ยนเย่า ‘ช่วย’ แก้ไขคำพูดให้เธอ

ทุกคนมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าอาคารชุดที่อยู่เบื้องหน้าในตอนนี้ไม่ได้เป็นของทาร์นัน

มันเพิ่งโผล่ออกมาจากอากาศ

“‘คนไร้ใจขั้นสูง’ นั่นทำไมถึงได้สร้างภาพหลอนที่มองดูแว่บเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นของปลอมแบบนี้ขึ้นมาล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนมองไปยังอาคารชุดอันเงียบสงัดพวกนั้น กล่าวด้วยความสงสัยใจ

ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะ ‘ครุ่นคิด’

“ทักทายพวกเรางั้นเหรอ

“หรือว่าเขาจะคิดว่าผมเป็นเพื่อนกันแล้ว”

เจี่ยงไป๋เหมียนอยากจะแย้ง แต่แล้วก็กลืนคำที่คิดจะพูดลงไป

“ก็เป็นไปได้” ไป๋เฉินสนับสนุนคำพูดของซางเจี้ยนเย่า

ถึงอย่างไรเธอก็เคยพบพานความมหัศจรรย์แห่งพลัง ‘ตัวตลกชักจูง’ มากับตัวเองแล้ว

“งั้นผมควรจะตอบสนองยังไงดี” ซางเจี้ยนเย่ารู้สึกลำบากใจ

“รอดูก่อนว่าจะมีอะไรต่อ” เจี่ยงไป๋เหมียนตกลงใจเลือกกลยุทธ์ปลอดภัยไว้ก่อน

เธอเพิ่งจะพูดขาดคำ ไฟทุกดวงในอาคารแห่งนั้นก็พลันดับวูบลงพร้อมกัน

ไม่สิ ยังมีไฟอยู่ เสมือนเป็นดั่งเรือลำน้อยที่ล่องลอยอยู่ในทะเลสาบอันกว้างใหญ่

มันเบ่งบานอย่างเงียบเชียบด้วยแสงสีเหลือง กลายเป็นจุดที่เด่นสะดุดตาที่สุดในค่ำคืนอันมืดมิด

“‘คนไร้ใจขั้นสูง’ นั่นอยากให้พวกเราเข้าไปในห้องนั้นงั้นเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนพยายามคาดเดาความหมายของการเปลี่ยนแปลงนี้

เธอหมายถึงห้องที่ยังมีแสงไฟอยู่

“อ๋อ…” จู่ๆ ซางเจี้ยนเย่าก็กระจ่างขึ้นมา “ที่แท้เขาอยากเชิญเราไปเที่ยวบ้านนี่เอง”

“หยุดก่อน” เจี่ยงไป๋เหมียนรีบขัดความกระตือรือร้นของซางเจี้ยนเย่าทันที “ถ้านายถูกผลจากภาพหลอนโง่ๆ แบบนี้จนเดินไปเหยียบกับระเบิดตัวเองเข้า ฉันจะเขียนบนป้ายหลุมศพนายว่า ‘เจ้าหมอนี่ตายเพราะความโง่’”

‘ทีมสำรวจเก่า’ วางกับระเบิดและขุดหลุมกับดักเอาไว้มากมาย ถ้าหากว่าตกอยู่ในภาพหลอนก็คงมีแต่ผีที่รู้ว่าพวกเขาจะเดินหลงทิศผิดทางหรือเปล่า

“ผมรู้สึกว่าเขาไม่ได้มีเจตนาร้าย” ซางเจี้ยนเย่ากล่าวออกมาจากใจจริง

พูดจบเขาก็หันไปชำเลืองมองหลงเยว่หง

“ถ้าอยากจะเป็นสายลับไปสอดแนม นายก็ไสหัวไปเองเถอะ!” หลงเยว่หงตอบอย่างระแวง

“ได้!” ดูเหมือนว่าซางเจี้ยนเย่าจะเฝ้ารอคำตอบเช่นนี้อยู่แล้ว ทว่าเจี่ยงไป๋เหมียนรีบรั้งเขาไว้เสียก่อน

เจ้าหมอนี่วางแผนไว้แบบนี้งั้นเรอะ… หลงเยว่หงถึงกับชะงักไป

แล้วในตอนนี้เอง อาคารที่อยู่ลึกเข้าไปในความมืดเบื้องหน้าเขาก็พลันขยายใหญ่ขึ้นมา ระยะห่างระหว่างพวกเขาหดสั้นลงทันที

เพียงไม่กี่วินาที พวกเจี่ยงไป๋เหมียนซางเจี้ยนเย่าก็เข้ามาอยู่เบื้องหน้าอาคารชุดแห่งนี้แล้ว อยู่ที่ด้านล่างของอาคารที่มีหลอดไฟส่องสว่างเพียงดวงเดียว

“ใจร้อนจริงเชียว…” ซางเจี้ยนเย่าชื่นชมจากใจ

พูดแล้วเขาก็ถอนหายใจ

“น่าเสียดายที่เขากินคน แถมยังกินไปไม่น้อย ไม่อย่างนั้นก็คงจะเป็นเพื่อนกับเขาได้จริงๆ”

ดีที่นายยังมีมโนธรรมขั้นต่ำอยู่บ้าง… เจี่ยงไป๋เหมียนพึมพำอยู่ในใจก่อนจะร้องเตือนออกมา

“อย่าเพิ่งไปไหน ถ้าเขาอยากให้เราเข้าไป เดี๋ยวเขาก็ทำให้พวกเราเข้าไปเอง ถ้าเขาอยากให้เราเห็นอะไร เดี๋ยวเขาก็ทำให้พวกเราเห็นเองนั่นแหละ”

“อืม” หลงเยว่หงรู้สึกว่าแบบนี้ตรงกับความคิดของตัวเองมากที่สุด

คำพูดของเจี่ยงไป๋เหมียนได้รับการยืนยันอย่างรวดเร็ว สมาชิกทั้งสี่ของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ถูก ‘เคลื่อนย้าย’ เข้าไปในอาคารโดยตรง

ระหว่างขั้นตอนนี้พวกเขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังขึ้นลิฟต์ไปชั้นบน

เพียงไม่นานพวกเขาก็มาถึงชั้นบนซึ่งเป็นชั้นที่ 11

ชั้นนี้มีอยู่เพียงยูนิตเดียว ประตูห้องนั้นทั้งกว้างทั้งสูง เป็นสีแดงเลือดนก

หน้าต่างที่อยู่สูงจากทางเดินฉายแสงจางๆ ทำให้เกิดเส้นสายลายเงาคนพาดไปมา

พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นมนุษย์ มีทั้งหญิงชาย มีทั้งชราเยาว์ แต่งกายแตกต่างกันไป ล้วนเป็นสไตล์การแต่งตัวแบบโลกเก่าทั้งสิ้น

ในขณะนี้พวกเขาต่างก็เบียดเสียดอออยู่หน้าประตู พยายามยื้อแย่งแอบมองเข้าไปในห้องจากช่องรอยแยกราวกับคนเสียสติ

“นี่… กำลังทำอะไรกันน่ะ” หลงเยว่หงถึงกับงุนงงจับต้นชนปลายไม่ถูกไปชั่วขณะ

“นี่เป็นการแสดงจิตใต้สำนึกอันบ้าคลั่งของ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ นั่นออกมาให้เห็นงั้นเหรอ”

ซางเจี้ยนเย่าส่ายหน้าแล้วพูดอย่างจริงจัง

“นี่แสดงว่าข้างในนั้นเกิดเรื่องอะไรบางอย่าง…”

เขายังพูดไม่ทันจบ สมาชิกทั้งสี่ของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ก็ถูก ‘ดึงทะลุ’ ผ่านบานประตูสีแดงเลือดนกที่ไม่มีอยู่จริงเข้าไปข้างใน

หลงเยว่หงเหลียวหน้ากลับมามองตามจิตใต้สำนึก

ช่องประตูนั้นราวกับมีดวงตาหลากหลายคู่จ้องมองเข้ามาข้างใน

ซี้ด… หลงเยว่หงรู้สึกขนลุกเกรียวเสียวสยองอย่างบอกไม่ถูกขึ้นมาอย่างฉับพลัน

แล้วในตอนนี้เอง สายตาของพวกเจี่ยงไป๋เหมียนก็มองข้ามฟากจากห้องนั่งเล่นอันกว้างขวางตระการตาไปยังหน้าต่างสูงที่สุดปลายห้อง

หน้าต่างสูงบานนั้นจมอยู่ในความมืดมิด โดยมีใบหน้ามนุษย์นาบติดแผ่นกระจกอย่างเบียดเสียดเต็มไปหมด

สีหน้าพวกเขาต่างก็บิดเบี้ยว ดวงตาฉายแววความกระเหี้ยนกระหือรือที่อธิบายไม่ถูก

นี่ประหนึ่งว่าด้านนอกหน้าต่างนั้นเป็นเวที คนเหล่านี้เบียดเสียดแออัดอยู่ตรงนั้น พยายามมองผ่านหน้าต่างเข้ามาภายใน

อีกด้านหนึ่งนั้นเป็นหน้าต่างที่เปิดกระจกออก เงาร่างสายหนึ่งกำลังนั่งอยู่ที่ราวระเบียง

เธอเป็นหญิงสาวร่างผอมบาง ผมยาวสีดำยุ่งเป็นกระเซิง ใบหน้าถูกปกคลุมด้วยความมืดทำให้มองเห็นได้ไม่ชัด

เวลานี้หญิงสาวผู้นั้นกำลังร่ำไห้สะอึกสะอื้น พูดเพียงประโยคเดียวซ้ำไปซ้ำมา

“พวกคุณต้องการให้ฉันตายสินะ… พวกคุณต้องการให้ฉันตายสินะ…”

“ไม่ใช่นะ!” ซางเจี้ยนเย่ารีบตอบไปทันที

ทว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ฟัง เธอหยัดร่างขึ้นมาแล้วกระโดดออกจากหน้าต่างไปทันที

ซางเจี้ยนเย่ายื่นมือออกไปคว้าไว้ แต่เป็นเพราะระยะทางที่ห่างเกินไปทำให้ไม่อาจไปถึงได้

ในตอนนี้เจี่ยงไป๋เหมียนผู้ซึ่งรู้ว่านี่เป็นเพียงภาพลวงตา กำลังกวาดสายตามองไปรอบๆ

เธอเห็นว่าบนพื้นที่อยู่ไม่ไกลนักมีแท็บเล็ตเครื่องหนึ่งวางไว้

หน้าจอแท็บเล็ตเปิดอยู่ มีภาพถ่ายและข้อความแสดงอยู่บนหน้าจอ

ภาพถ่ายนั่นเหมือนเป็นภาพหญิงสาวสวมหมวกกำลังขึ้นรถ มีข้อความเขียนเอาไว้ว่า

‘ไอดอลสาวชื่อดัง เจียงเสี่ยวเยว่ แอบไปเดตกับเจ้าสัวใหญ่วัยกลางคน!’

พลั่ก!

หญิงสาวที่กระโดดลงจากหน้าต่างร่วงหล่นกระแทกพื้นเสียงดังสนั่น

ภาพมายาพลันบิดเบี้ยวในบัดดล หลงเยว่หง เจี่ยงไป๋เหมียน ซางเจี้ยนเย่า ไป๋เฉิน รู้สึกเหมือนความคิดถูกดูดเข้าไปในห้วงวังวนพร้อมกันจนราวกับวิญญาณหลุดลอยออกจากร่าง

ในใจพวกเขาตื่นตระหนกอย่างไม่อาจควบคุม ประหนึ่งว่าเผชิญกับความมืดมิดที่กำลังกลืนกินชีวิตตนเองเข้าไป

สติพวกเขาค่อยๆ ดับวูบลง

ฟู่… เจี่ยงไป๋เหมียนดิ้นรนให้ ‘ตื่น’ ขึ้นมา แล้วก็พบว่าตนเองนั้นยังอยู่ข้างรถจี๊ปที่แวดล้อมไปด้วยความมืดมิด มีเพียงหลอดไฟที่สะท้อนกระจกและป้ายไม้เท่านั้นที่ยังส่องสว่างอยู่

เธอเหลือบมองซางเจี้ยนเย่าโดยไม่รู้ตัว เห็นอีกฝ่ายเตรียมจะเขย่าปลุกตนเอง

“นายก็หลุดมาจากภาพหลอนได้งั้นเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนถามเขาไปพลาง เดินไปพลาง เธอเดินไปสองก้าวแล้วพยายามปลุกไป๋เฉินที่อยู่ห่างไปไม่ไกล

“อืม” ซางเจี้ยนเย่าเปลี่ยนเป้าหมาย หันไปทางหลงเยว่หง

หลงเยว่หงรู้สึกตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว รู้สึกวิงเวียนตาลายเป็นอย่างมาก

ผ่านไปหลายวินาทีเขาถึงจะฟื้นสติโดยสมบูรณ์

“พอแล้ว!

“ไม่ต้องเขย่าแล้ว!”

“ว้า นายตื่นซะแล้ว” ซางเจี้ยนเย่าพูดด้วยสีหน้าเสียใจราวกับว่าเขาเพิ่งจะได้ใช้วิธีที่เตรียมไว้ไปแค่ไม่กี่อย่าง

หลงเยว่หงรีบตอบกลับไปอย่างมึนๆ งงๆ

“ตื่นแล้ว!”

เมื่อเจี่ยงไป๋เหมียนเห็นสมาชิกทุกคนปลอดภัยไร้กังวลก็ถอนใจโล่งอกแล้วพูดรำพันกับตัวเอง

“ภาพลวงตาเมื่อกี้ต้องการจะสื่ออะไรกันแน่”

“นั่นน่าจะเป็นฉากเหตุการณ์จากโลกเก่า” ไป๋เฉินพูดอย่างครุ่นคิด “‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้น กับไอดอลชื่อดังเจียงเสี่ยวเยว่มีความเกี่ยวข้องกันยังไงนะ”

“เธอก็เห็นข่าวที่อยู่บนแท็บเล็ตนั่นเหมือนกันเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนถามเพื่อยืนยัน “แต่ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ นั่นอายุปาเข้าไปตั้ง 80-90 แล้ว ไม่น่าจะใช่เขา… อืม… ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยมีตัวอย่างให้เห็นว่า ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ จะมีอายุยืนยาวได้ อย่างมากก็แค่นานกว่า ‘คนไร้ใจ’ ทั่วไปนิดหน่อยแค่นั้นเอง เอ่อ… ยกเว้นเสี่ยวชงน่ะ”

หลังจากมนุษย์ป่วยเป็น ‘โรคไร้ใจ’ แล้ว เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิต สภาพร่างกาย รวมถึงเงื่อนไขต่างๆ จึงทำให้อายุขัยพวกเขาลดลงอย่างเห็นได้ชัด

จนกระทั่งเจี่ยงไป๋เหมียนบรรยายถึงสิ่งที่ตนเองได้เห็นจนจบแล้ว ซางเจี้ยนเย่าก็ผงกศีรษะ

“เขาอาจเป็นลูกชายของเจียงเสี่ยวเยว่ก็ได้”

“…” เจี่ยงไป๋เหมียนถามต่อ “งั้นทำไมเขาถึงดึงดันจะเข้าไปในทาร์นันให้ได้ล่ะ”

“ที่นี่เป็นบ้านเกิดของเจียงเสี่ยวเยว่ เป็นที่ที่เขาเติบโตขึ้นมา” ซางเจี้ยนเย่าถอนหายใจด้วยความสะเทือนใจ

“…ฉันเกือบจะเชื่ออยู่แล้วเชียว” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดอย่างขบขัน “นายเอาแรงบันดาลใจมาจากเรื่องของมนุษย์มัจฉาปีศาจภูเขา แล้วก็ซากปรักบึงดำหมายเลข 1 จับมายำรวมกันใช่ไหมล่ะ”

“มันก็ไม่ถึงกับเป็นไปไม่ได้นะ” ครั้งนี้หลงเยว่หงสนับสนุนซางเจี้ยนเย่า

เจี่ยงไป๋เหมียนส่ายหน้า

“แต่มันบังเอิญเกินไปหน่อยนะสิ คงเป็นไปไม่ได้ที่เรื่องทุกเรื่องที่เราเจอะเจอมาจะต้องอยู่บนพื้นฐานของเหตุผลเดียวกันใช่ไหมล่ะ”

เป็นเพราะมีเบาะแสไม่เพียงพอ หลงเยว่หงกับไป๋เฉินจึงไม่อาจตอบคำถามนี้ได้

หลังจากหารือกันอย่างเคร่งเครียดจบไป ในที่สุด ‘ทีมสำรวจเก่า’ ก็ตกลงปลงใจว่าจะรายงานเรื่องนี้กลับไปเพื่อดูว่าพวกนิกายใหญ่ๆ ทั้งหลายและ ‘สวรรค์จักรกล’ จะมีความเห็นเช่นไร

บางทีโจวเยว่เจ้าอารามหนานเคอ อาจจะสามารถวิเคราะห์อะไรออกมาได้ก็ได้

ผ่านไปอีกเนิ่นนาน ฟากฟ้าก็ค่อยๆ เรืองรอง รุ่งสางเดินทางมาถึงแล้ว

จากนั้นอีกสิบกว่านาทีก็มียามจักรกลหนึ่งกับมนุษย์อีกสองเดินทางมาจากทิศทางของทาร์นันพร้อมกับหุ่นยนต์ผู้ช่วย

จำนวนมากเพื่อมารับช่วงต่อ

เมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้ เจี่ยงไป๋เหมียนก็เหลือบมองซางเจี้ยนเย่า

“จัดการหน่อย”

* * * * *

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท