รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 274 ความเป็นไปได้ประการอื่น

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 274 ความเป็นไปได้ประการอื่น

เวชระเบียนที่พบจากโรงงานเหล็กเป็นของที่หลงเยว่หงเจอในภารกิจสำรวจซากปรักเป็นครั้งแรก และมีคุณค่าด้านการค้นคว้าในระดับหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงค่อนข้างจดจำฝังใจในเรื่องนี้ ทำให้นึกถึงรายละเอียดที่เกี่ยวข้องต่างๆ ได้ทันที

“ใช่แล้ว มันคล้ายกันมากจริงๆ ด้วย!” เขาตอบรับคำพูดของเจี่ยงไป๋เหมียนอย่างตื่นเต้น “พวกเขาต่างก็ประสบเหตุจนทำให้หลับในสภาพผัก และลงนามเป็นอาสาการทดลอง ถูกส่งไปรับการรักษาในรูปแบบใหม่ที่ไหนสักแห่งในภาคเหนือ”

ทั้งสองกรณีนั้นมีรายละเอียดที่แตกต่างกันมาก แต่นี่ไม่ได้ส่งผลต่อแก่นแท้ของปัญหา

หลงเยว่หงเพิ่งจะพูดขาดคำ ไป๋เฉินก็โพล่งขึ้นมา

“โรงพยาบาลนั่น… ไม่สิ สถานที่แห่งนั้น… มีความลับซ่อนอยู่งั้นเหรอ”

เธอเริ่มสงสัยว่าสถานที่แห่งนั้นอาจจะไม่ใช่โรงพยาบาลก็ได้

โรงพยาบาลเป็นเพียงเรื่องบังหน้าแค่นั้น!

เจี่ยงไป๋เหมียนระงับความตื่นเต้นในใจ หันไปมองซางเจี้ยนเย่า

“นายคิดว่าไง”

จากที่ได้ใช้ชีวิตร่วมกันมานานวัน ทำให้เธอเกิดความรู้สึกว่าความคิดหลุดโลกหรือแหกคอกของซางเจี้ยนเย่านั้นบางทีก็ทำให้เธอเกิดแรงบันดาลใจหรือแนวคิดอื่น

ออกมาไม่น้อย

แม้ว่า 90% ของความคิดเขาจะไร้ค่า ทำให้ผู้คนโมโหจนหัวเราะ แต่อีก 10% ที่เหลือกลับสามารถฝ่าหมอกควันอันเลือนลาง ชี้ตรงเข้าถึงแก่นของปัญหาด้วยวิธีคิดอันพิลึกพิลั่น

ซางเจี้ยนเย่าวางตัวเป็นนักสืบมืออาชีพผู้มาดมั่น เขามองทุกคนรอบๆ แล้วเอ่ยปากขึ้น

“ผมนึกถึงเรื่องอื่นขึ้นมาได้น่ะ”

หืม… เวลาแบบนี้ นี่ถ้ายื่นกล้องยาสูบให้เจ้าหมอนี่ เขาจะสามารถอนุมานข้อเท็จจริงออกมาได้มากกว่านี้ไหมเนี่ย… หลงเยว่หงที่เคยฟังรายการวิทยุเรื่องเดียวกับซางเจี้ยนเย่ามาก่อนพลันเกิดความคิดพิสดารพันลึกขึ้นมา

“เรื่องอะไร” เมื่อคำพูดหลุดออกไป เจี่ยงไป๋เหมียนก็บังเกิดแรงบันดาลใจบางอย่างขึ้นมาทันที

จากนั้นเธอกับซางเจี้ยนเย่าก็พูดขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกัน

“สถาบันวิจัย!”

ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะเล็กน้อย พูดกับไป๋เฉินและหลงเยว่หง

“มาดามเจ้าของโรงแรมเคยบอกว่าก่อนที่โลกเก่าจะถูกทำลาย ประเทศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคนแดนธุลี กับประเทศที่แข็งแกร่งที่สุดของคนแม่น้ำแดง ได้ร่วมกันก่อตั้งสถาบันวิจัยเพื่อเอาไว้ ‘รับมือกับอนาคต’ ทั้งหมดเก้าแห่ง”

“นายกำลังสงสัยว่าพวกเจียงเสี่ยวเยว่นั่นที่จริงแล้วยอมรับการเข้าร่วมการทดลองของสถาบันวิจัยบางแห่งอยู่อย่างนั้น

ใช่ไหม” หลงเยว่หงเข้าใจความหมายที่เพื่อนสนิทพูดมา เขาถามกลับเพื่อยืนยัน

ว่ากันตามตรงแล้วเขายังรู้สึกปรับตัวไม่ค่อยถูกเมื่ออยู่ต่อหน้าซางเจี้ยนเย่าที่เคร่งขรึมจริงจัง ไม่พูดจาชวนหัว ไม่เป็นผู้ป่วยจิตเวช

แต่แน่นอนว่าการมีบุคลิกภาพที่แตกต่าง นั่นก็คืออาการของผู้ป่วยจิตเวชเช่นกัน

“ถูกต้อง” ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะแล้วก้มหยิบโทรศัพท์เพื่อโทรไปที่เคาน์เตอร์ล็อบบี้

แล้วเขาก็เอ่ยปากถามขึ้น

“ฮัลโหล มาดามโรงแรมใช่ไหม”

“เรียกมาดามไอนอร์สิ! มีมารยาทหน่อยไม่ได้หรือไง” ไอนอร์ที่ปลายสายบ่นใส่

ซางเจี้ยนเย่าหัวเราะออกมา ความเคร่งขรึมก่อนหน้านี้มลายไปสิ้น

“ก็ผมคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเราในตอนนี้ ไม่จำเป็นต้องเรียกห่างเหินขนาดนั้นก็ได้”

“พวกเรายังจะมีความสัมพันธ์กันแบบไหนได้อีกหรือไง” แล้วไอนอร์ร้อง “เอ๊ะ” ออกมาคำหนึ่ง

ความสัมพันธ์ของการเชื้อเชิญ… หลงเยว่หงคาดเดาคำตอบของซางเจี้ยนเย่า

ถึงแม้ว่ามาดามเจ้าของโรงแรมอาจจะเพียงแค่พูดเล่น แต่เขาคิดว่าซางเจี้ยนเย่าน่าจะจำได้

“ความสัมพันธ์ที่ดูหนังผีด้วยกันไง” คำตอบของซางเจี้ยนเย่าราวกับอาชาสวรรค์ทะยานฟ้า ยิ่งกว่าเสียอีก

เขารีบถามต่อโดยไม่รอให้ไอนอร์ปฏิเสธ

“สถาบันวิจัยเก้าแห่งที่คุณเคยเล่าให้ฟัง มีที่ไหนอยู่ทางเหนือบ้างไหม”

“ฉันจะไปรู้ได้ไง ฉันรู้แค่ว่าสถาบันวิจัยที่สามอยู่ทางใต้ สถาบันวิจัยที่สองอยู่ทางตะวันตก” ไอนอร์ตอบอย่างฉุนเฉียว ทีหน้าทีหลังถ้ายังจะมากวนตอนฉันดูซีรีส์อยู่ล่ะก็ ต้องจ่ายมาด้วยนะ!”

ตู๊ด… เธอกระแทกหูโทรศัพท์วางสาย

“ไม่มีเบาะแสเพิ่ม” ซางเจี้ยนเย่ายักไหล่แบมือให้พวกเจี่ยงไป๋เหมียน

เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะ พูดกับตัวเองด้วยความสงสัย

“แต่เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องอะไรกับ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นด้วยล่ะ”

ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างจริงจัง

“เขาอาจเป็นลูกชายของเจียงเสี่ยวเยว่ก็ได้”

ครั้งนี้ไม่มีใครเมินคำตอบนี้อีก ไป๋เฉินพูดอย่างใคร่ครวญ

“ความหมายของนายก็คือ การทดลองนั่นประสบผลสำเร็จ เจียงเสี่ยวเยว่ฟื้นขึ้นมาได้ หลังจากโลกเก่าถูกทำลายก็ไปจับคู่อยู่กับใครสักคนแล้วให้กำเนิดเด็กขึ้นมา

จับคู่… ใช้คำว่าแต่งงานไปเลยจะลื่นหูกว่านะ… หลงเยว่หงบ่นในใจ

แต่เขาเองก็รู้ดีว่าสถานที่หลายแห่งบนแดนธุลีนั้น สถานภาพของชายหญิงไม่อาจใช้คำว่า ‘แต่งงาน’ มาอธิบายได้ ใช้คำว่า ‘จับคู่’ จะชัดเจนมากกว่า

“อืม” เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะ “แต่นั่นก็ยังไม่ได้อธิบายว่าทำไมเขาถึงมุ่งมั่นกับทาร์นันอยู่ดีนั่นแหละ ข้อมูลที่พวกเราเพิ่งดูกันไป บ้านเกิดของเจียงเสี่ยวเยว่กับสถานที่ที่เธอกระโดดลงมาฆ่าตัวตายก็คือทางเหนือของทะเลสาบพิโรธ ส่วนที่นี่เป็นทางใต้ของเขตภูชีลาร์ ซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของทะเลสาบพิโรธ”

หลงเยว่หงพูดถึงการคาดเดาของตนเอง

“เป็นไปได้ไหมว่า ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับเจียงเสี่ยวเยว่ แต่เกิดมาจากสถาบันวิจัยที่ลึกลับแห่งนั้น

“จากนั้นเขาก็ได้ใกล้ชิดกับเจียงเสี่ยวเยว่ที่อยู่ในสภาพเจ้าหญิงนิทรา มีข้อมูลโครงการที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน จึงเกิดเป็นความทรงจำขึ้นมา”

“ความเป็นไปได้ในเรื่องนี้ ก็ยังตัดทิ้งไปไม่ได้” เจี่ยงไป๋เหมียนยกขาขึ้นมานั่งขัดสมาธิบนเก้าอี้ ความคิดไหลพล่าน “แต่ฉันคิดว่าน่าจะมีความเกี่ยวโยงที่ลึกมากไปกว่านั้น ไม่งั้นเขาคงไม่ฉายภาพการกระโดดตึกฆ่าตัวตายของเจียงเสี่ยวเยว่ให้พวกเราดูโดยไม่มีเหตุผลหรอก ถึงแม้ว่าเขาจะมีสติปัญญาเหลือเพียงระดับสัตว์ป่า ก็ไม่น่าจะทำเรื่องที่ไร้ความหมาย”

หรือจะพูดให้ชัดเจนยิ่งกว่านั้นก็คือ ยิ่งใกล้เคียงสัตว์ป่ามากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำเรื่องไร้เหตุผลน้อยลงเท่านั้น

ในตอนนี้เจี่ยงไป๋เหมียนอยากจะยกมือขึ้นมาแล้วเอานิ้ววนที่ขมับสองข้างเพื่อ ‘ใช้สมองนั่งสมาธิ ’ แต่เพื่อรักษาภาพลักษณ์หัวหน้าทีมจึงได้แต่เลิกล้มความคิดนั้นไป

“งั้นเราลองมาทบทวนภาพเหตุการณ์นั้นดูอีกที นึกอยู่ในหัวนี่แหละ” ซางเจี้ยนเย่าเริ่มเปลี่ยนกลับมาเป็นจริงจังราวกับว่ากำลังแสดงบทบาทนักสืบชื่อดังอีกครั้ง

“ความคิดดี” เจี่ยงไป๋เหมียนชมเขาแล้วก็หลับตาลง

จากนั้นเธอก็เปิดฉายฉากเหตุการณ์ที่เจียงเสี่ยวเยว่กระโดดลงมาจากหน้าต่างอาคารโดยค่อยๆ เล่นภาพไปทีละเฟรม

ทีละเฟรมอยู่ในใจ

“ไม่เจอเบาะแสอื่นแล้ว…” ไม่ทราบว่าผ่านไปนานเท่าไร หลงเยว่หงก็พูดขึ้นมา

เจี่ยงไป๋เหมียนลืมตา บนใบหน้าเจือรอยยิ้ม

“ไม่หรอก ฉันเจอเบาะแสที่สำคัญมากล่ะ”

“เบาะแสอะไรเหรอ” ไป๋เฉินไม่ได้อำพรางความอยากรู้ของตน

“เป็นทัศนคติของตัวเองที่มีต่อภาพลวงตานั้น หรือไม่ก็เป็นแหล่งกำเนิดของความรู้สึกที่เกี่ยวข้อง” เจี่ยงไป๋เหมียนคลี่ยิ้ม “พวกใบหน้าแต่ละคนบนหน้าต่าง ดวงตาแต่ละคู่ที่ปากประตูนั่น เป็นตัวแทนปาปารัสซีที่พยายามจะตามติดแอบดู เป็นตัวแทนความอยากรู้อยากเห็นของสาธารณชน เป็นตัวแทนการไม่ยอมรับของเหล่าแฟนๆ”

พวกเขาเพิ่งจะเรียนรู้คำว่า ‘ปาปารัสซี’ มาจากการค้นหาและเปิดอ่านข้อมูลที่ได้มา

“นี่มัน… นี่มัน…” หลงเยว่หงรู้สึกตระหนกตกใจ “งั้นนี่มันก็เป็นความรู้สึกของเจียงเสี่ยวเยว่นะสิ!”

ภาพลวงตานั่นดูเหมือนจะเป็นสภาพจิตใจของเจียงเสี่ยวเยว่ก่อนที่เธอจะกระโดดลงมาจากอาคาร!

“‘คนไร้ใจขั้นสูง’ นั่นทำไมถึงรู้ความรู้สึกและการกระทำของเจียงเสี่ยวเยว่ในตอนนั้นได้ล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนตั้งคำถามเพิ่ม

ฉาด!

ซางเจี้ยนเย่าตบมือสองข้างแล้วพูดขึ้น

“คำตอบนั้นง่ายมาก”

เมื่อเห็นหลงเยว่หงกับไป๋เฉินมองมา เขาก็พูดอย่างเคร่งขรึม

“‘คนไร้ใจขั้นสูง’ นั่นที่จริงแล้วก็คือเจียงเสี่ยวเยว่นั่นเอง”

“…” หลงเยว่หงพูดอย่างจนใจ “คนหนึ่งเป็นผู้ชาย ส่วนอีกคนเป็นผู้หญิง”

“ก็ผ่าตัดแปลงเพศไง อย่างเช่นการปลูกถ่ายอวัยวะ สร้างเส้นประสาท แล้วก็อะไรต่อมิอะไร” ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างน้ำไหลไฟดับ

“แล้ว… มีความจำเป็นอะไรถึงต้องทำอย่างนั้น” หลงเยว่หงเถียงเสียงอ่อย

“นี่ก็เป็นไปได้เหมือนกัน” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้รีบปฏิเสธทันที “ตัวอย่างเช่นการโอนถ่ายและเคลื่อนย้ายจิตสำนึกของมนุษย์ซึ่งเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีของ ‘นิรันดร์กาล’ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”

เธอใคร่ครวญครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ

“อืม แล้วก็ยังมีความเป็นไปได้อย่างอื่นอยู่อีก

“เจียงเสี่ยวเยว่กับลูกชายของผู้ป่วยที่โรงงานเหล็กต่างก็อยู่ในสภาพผัก จากนั้นก็ได้รับการรักษาแบบใหม่หรือการทดลองที่ทำให้พวกเขาฟื้นขึ้นมาได้

“ในกระบวนการนี้ เป็นไปได้ไหมที่จะมีเครื่องไม้เครื่องมือที่สามารถนำความทรงจำของผู้ทดลองออกมาเก็บไว้สำหรับขั้นตอนที่จะทำให้ฟื้นขึ้นมา แบบเดียวกับพลังการอ่านความทรงจำของผู้ตื่นรู้ในเขตพลัง ‘ปัจฉิมมรรตัย’”

นี่เป็นการอนุมานที่ขึ้นอยู่กับสถานะบุคคลและการพัฒนาที่เป็นไปได้

“‘คนไร้ใจขั้นสูง’ นั่นเป็นหนึ่งในนักวิจัยหรือเปล่า เขาก็เลยได้รับรู้ความรู้สึกของเจียงเสี่ยวเยว่ที่กำลังจะกระโดดตึกด้วยวิธีนี้” ไป๋เฉินเดาต่อตามแนวทางนี้

เจี่ยงไป๋เหมียนร้อง “อืม” คำหนึ่ง

“นี่ก็เป็นแนวคิดที่ค่อนข้างมีเหตุผล แต่ก็กลับมาที่คำถามเดิมอยู่ดี ว่าทำไม ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ คนนั้นถึงยึดมั่นอยู่กับทาร์นัน และจุดประสงค์ที่ให้พวกเราเห็นภาพหลอนนั้นคืออะไรกันแน่”

ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างจริงจัง

“บางทีเขาอาจจะตกหลุมรักเจียงเสี่ยวเยว่ที่นอนไม่รู้สึกตัว พยายามจะให้เธอฟื้นขึ้นมา ก็เลยกลายเป็นการยึดติดโดยไม่รู้ตัว

“ต่อมาเขาเป็น ‘โรคไร้ใจ’ รู้ดีว่าความปรารถนาจะไม่มีวันเป็นจริงได้ตลอดกาล จึงใช้ภาพลวงตานี้ส่งต่อเรื่องราวเพื่อให้พวกเราสานต่อเจตนารมณ์นี้ให้ลุล่วง”

ระ… เรื่องนี้มันเป็นความรักที่น่าซาบซึ้งตรึงใจมาก… เจี่ยงไป๋เหมียนแสดงความคิดเห็นอยู่ในใจ แล้วเอ่ยปากถามขึ้น

“ตกลงว่ามันเกี่ยวอะไรกับทาร์นัน”

ที่นี่มันเป็นสถานที่วิจัยหุ่นยนต์!

“ผมเข้าใจแล้ว” ซางเจี้ยนเย่าแสดงความรู้แจ้งออกมาทันที “เขาต้องการนำความทรงจำที่ดึงออกมาจากเจียงเสี่ยวเยว่ เอามาใส่ไว้ในโมดูลหลักของหุ่นสมองกล ทำให้มันใช้ชีวิตในฐานะเจียงเสี่ยวเยว่นั่นเอง”

“ซับซ้อนเกินไปแล้ว” เจี่ยงไป๋เหมียนสั่นศีรษะโดยไม่ลังเล “ฟังแล้วไม่เหมือนเป็นแผนการที่ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ นั่นจะคิดออกมาได้เลย”

หลงเยว่หงกับไป๋เฉินเองก็คาดเดาไปต่างๆ นานา แต่สุดท้ายที่คิดเอาไว้ก็ไม่สามารถตอบคำถามได้ทั้งหมด ยังคงมีจุดที่เป็นคำถามอยู่มากเกินไป

การระดมสมองของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ดำเนินต่อไปจนกระทั่งเวลาเย็น แต่ก็ยังคงไม่อาจพบเบาะแสอะไรเพิ่มเติม

“เฮ้อ… เดี๋ยวหารือกันต่ออีกครึ่งชั่วโมงแล้วออกไปหาอะไรกินกันก่อนเถอะ” เจี่ยงไป๋เหมียนชี้ไปที่คอมพิวเตอร์ที่เปิดอยู่ “พวกเรารวบรวมข้อมูลสำคัญทั้งหมดมาไว้ด้วยกันก่อน ดูว่าจะทำให้ได้รับแรงบันดาลใจอะไรขึ้นมาได้บ้าง ฉันจะเขียนก่อนก็แล้วกัน จากนั้นพวกนายก็เสริมเพิ่มลงไป”

เธอเริ่มรัวนิ้วพิมพ์เนื้อหาโดยเขียนเป็นชื่อและประโยคสั้นๆ

‘เจียงเสี่ยวเยว่กระโดดตึก – ลูกชายครอบครัวฟ่านประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ – สภาพผัก – ที่ไหนสักแห่งในภาคเหนือ – วิธีการรักษาแบบใหม่ – สถาบันวิจัย – ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ – ชำนาญด้านภาพลวงตา – แข็งแกร่งทรงพลัง – คาดว่าน่าจะตื่นรู้ในระดับ ‘ทะเลต้นกำเนิด’ หรือไม่ก็เข้า ‘ทางเดินแห่งจิต’ ก่อนจะเป็นโรค – สร้างภาพหลอนที่มีมังกร – ยึดติดกับทาร์นัน…’

ในระหว่างที่เขียนไปเรื่อยๆ เจี่ยงไป๋เหมียนก็ได้ยินเสียงซางเจี้ยนเย่าดังขึ้น

“ผมคิดถึงความเป็นไปได้เรื่องหนึ่ง”

คราวนี้เสียงเขาเบากว่าเดิม มีท่าทางจริงจังเป็นอย่างมาก

หลงเยว่หงกับไป๋เฉินมองตามไปก็เห็นซางเจี้ยนเย่ายืนอยู่ข้างคอมพิวเตอร์ ถูกอาบด้วยแสงตะวันยามสายัณห์ สีหน้าค่อนข้างเคร่งขรึม

เจี่ยงไป๋เหมียนถามด้วยท่าทางจริงจัง

“เรื่องอะไร”

ลักษณะเช่นนี้ของซางเจี้ยนเย่ายากนักที่จะปรากฏออกมาให้เห็น

ซางเจี้ยนเย่ามองดูทุกคนรอบๆ ก่อนจะพูดขึ้น

“ยังจำคำอธิบายของผู้แจ้งเตือนซ่งเกี่ยวกับแก่นแท้ของ ‘ทางเดินแห่งจิต’ ได้หรือเปล่า”

“‘ทางเดินแห่งจิต’ เชื่อมต่อกับจิตวิญญาณของผู้ตื่นรู้ทั้งหมด ประตูแต่ละบานในนั้นเชื่อมโยงกับโลกแห่งจิตหนึ่งโลก…” หลงเยว่หงตอบออกมาราวกับท่องตำรา

เขายังไม่ทันพูดจบ เจี่ยงไป๋เหมียนก็เข้าใจแล้วว่าซางเจี้ยนเย่าต้องการจะสื่ออะไร เธอโพล่งขึ้นมาทันที

“ความหมายของนายก็คือ… ก่อนที่ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ นั่นจะป่วย เขาได้เข้าสู่ ‘ทางเดินแห่งจิต’ ไป แล้วอยู่มาวันหนึ่งเขาก็เปิดประตูที่อยู่ในทางเดินนั่น ด้านหลังของประตูบานนั้นก็คือโลกแห่งจิตวิญญาณของเจียงเสี่ยวเยว่… แบบนี้ใช่ไหม”

* * * * *

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท